วันรุ่งขึ้น คนบ้างานอย่างเฉินหวั่นชิงไม่ได้ไปทำงานอย่างหาดูได้ยาก
ไม่มีเหตุผลอื่น วันนี้เป็นวันเกิดของท่านเฉินชังไห่ ถ้าหลานสาวอย่างเธอไม่ไปออกจะน่าเกลียดไปหน่อย
ความจริง หลายวันมานี้คุณหนูเฉินก็เตรียมพร้อมสำหรับวันนี้เมื่อว่างจากเวลางานอยู่
ดูจากที่เธอยอมทำตามที่ท่านปู่เฉินจดทะเบียนสมรสกับเย่เทียน รู้ได้ไม่ยากว่าเธอเป็นหลานสาวที่กตัญญูจนถึงขั้นตามืดตามัวเชียวล่ะ
และเพราะแบบนี้ แม้ว่าวันนี้เธอไม่ได้ไปที่บริษัท แต่ก็ยังเคาะประตูเย่เทียนอย่างหนักหน่วงตั้งแต่หกโมงเช้า ปลุกเย่เทียนที่ฝึกฝนมาทั้งคืนจนตื่น และโหวกเหวกว่าจะออกจากบ้าน
ประโยคจริงๆของเฉินหวั่นชิงคือ: แม้ว่างานเลี้ยงจะเริ่มตอนเที่ยง แต่ถึงยังไงตัวเอกในวันนี้คือคุณปู่ เธอต้องไปดูความเรียบร้อยก่อน จะได้ไม่มีอะไรผิดพลาด
กับเรื่องนี้ เย่เทียนได้แต่หัวเราะเฝื่อนๆ แล้วยอมอาบน้ำแต่งตัวแต่โดยดีเพื่อขับรถพาเด็กสาวไปยังสถานที่จัดงานในวันนี้ โรงแรมจุนหลิน
จากตอนแรกที่จะจัดงานในคฤหาสน์ตระกูลเฉิน แต่ช่วยไม่ได้ที่ก่อนหน้านี้สองสามวันเฉินหวั่นชิงได้รับลาภลอยจำนวนมหาศาลมา จึงเปลี่ยนสถานที่กะทันหันอย่างใจกว้าง
ยังไงซะถึงคฤหาสน์ตระกูลเฉินจะใหญ่พอ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่คนมาร่วมงานมีแต่คนมีหน้ามีตาฐานะสูงส่ง หากเกิดอะไรขึ้นต้องนำความยุ่งยากมาสู่ตระกูลเฉินเป็นแน่
โรงแรมจุนหลินเป็นหนึ่งในโรงแรมหรูหราแห่งเจียงหนันอันน้อยนิด
ไม่ต้องพูดเรื่องที่ตัวโรงแรมมีข้อดีเยอะแยะมากมายจนเกินจะเปรียบแล้ว สถานที่ตั้งก็ได้เปรียบสุดๆ ห่างจากสถานีตำรวจไม่กี่ถนน
หากเกิดอะไรขึ้นตำรวจมาถึงได้ในเวลาเพียงสิบนาที เทียบกับคฤหาสน์ตระกูลเฉินแล้วปลอดภัยกว่ามาก
หลายวันมานี้เย่เทียนหลงใหลในการฝึกฝน ไม่ค่อยรู้รายละเอียดการเตรียมงานวันเกิดของเฉินชังไห่
แต่จากข่าวอันจำกัดที่เฉินหวั่นชิงเปิดเผยมา งานวันเกิดนี้เธอทุ่มไปเกือบหลักสิบล้าน คิดว่าไม่น่าจะแย่นัก
นี่พอๆกับกำไรหนึ่งฤดูกาลของบริษัทแซ่เฉินเลยล่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเฉินหวั่นชิงไม่ทำอะไรแบบนี้แน่ แต่สองคนก่อนเธอได้กำไรจากตลาดหุ้นหลักพันล้าน จนเธออดมือเติบไม่ได้
เฉินหวั่นชิงในวันนี้แต่งหน้าแต่งตัวมาอย่างดี ผมสีดำขลับของเธอถูกมัดเป็นหางม้าสูง เผยให้เห็นสร้อยคอทับทิมมูลค่าสูง
ชุดทำงานล้าสมัยที่เธอมักจะใส่ก็ถูกแทนที่ด้วยกระโปรงยาวรัดตัวสีดำ เผยให้เห็นทรวดทรงองเอวอรชรเร่าร้อน
รูปโฉมที่งดงามอยู่แล้วของเธอถูกแต่งแต้มสีสัน แม้จะยังเย็นชาเหมือนเดิม แต่ทั้งตัวของเธอมีกลิ่นอายเทพธิดาเหนือมนุษย์แผ่ซ่านอยู่รอบๆ ประหนึ่งเรื่องทางโลกไม่อาจย่างกรายเธอได้ ผู้คนสามารถมองเธอได้จากที่ไกลๆเท่านั้น ไม่อาจเข้าใกล้ได้!
ระหว่างทางเฉินหวั่นชิงไม่คุยกับเย่เทียนเลย แต่คุยโทรศัพท์กับคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องบางอย่าง
เห็นเด็กสาวกดเบอร์โทรออกไม่หยุด เย่เทียนไม่พูดแทรกอะไรอย่างรู้งาน เขาตั้งใจขับรถต่อไป
แต่จากหูของเขาที่ตั้งชันแล้ว ก็ยังคงแอบฟังเนื้อหาการคุยของเฉินหวั่นชิงอยู่ตลอด
สรุปก็คือ ก่อนที่รถจะไปจอดหน้าโรงแรมจุนหลิน เย่เทียนทำได้เพียงวิเคราะห์จากคำพูดไม่กี่คำว่าวันนี้เฉินหวั่นชิงจะถือโอกาสวันเกิดขอวเฉินชังไห่ทำอะไรสักอย่าง
ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรนั้นเขายังไม่รู้
รถเพิ่งจอดเสร็จ เฉินหวั่นชิงก็วางสายอย่างตรงเวลา ในที่สุดก็หันไปพูดกับเย่เทียนที่ยังไม่ปลดเข็มขัดนิรภัย
“เย่เทียน คุณไม่ต้องตามฉันเข้าไป คุณไปเอาของให้ฉันก่อน แล้วค่อยไปทำผม เปลี่ยนเสื้อผ้า”
“พวกที่อยู่ฉันส่งไปที่มือถือของคุณแล้ว ฉันจะให้เวลาคุณสามชั่วโมง คุณต้องกลับมาก่อนสิบโมง”
พูดจบ ไม่รอให้เย่เทียนตั้งตัว เฉินหวั่นชิงก็เปิดประตูรถและเดินออกไป ก้าวยาวๆไปที่โรงแรมจุนหลิน
เย่เทียนมองร่างบางที่เดินไกลออกไปเรื่อยๆ ตากระตุกเล็กน้อย นึกโมโหในใจ
เมียคนนี้นี่เห็นตัวเองเป็นคนขับรถชัดๆ!
แม้จะพูดเช่นนั้นแต่เย่เทียนก็ไม่ได้เดินลงรถไปด้วย
เดิมทีเขารีบร้อนออกจากบ้านเพราะการเร่งเร้าจากเฉินหวั่นชิง ไม่ได้แต่งตัวอะไรมาก
ไม่ว่ายังไงวันนี้ก็เป็นงานวันเกิดของท่านปู่เฉินชังไห่ เขาในฐานะหลานเชยจะไม่สนใจเรื่องภาพลักษณ์ก็ได้ แต่ก็ต้องคิดในมุมของตระกูลเฉินและเฉินหวั่นชิงไม่ใช่รึ
คิดได้ดังนั้น เย่เทียนล้วงมือถือออกมาดูที่อยู่ที่เฉินหวั่นชิงส่งมาให้ และทันใดนั้นก็ตากระตุกหนักกว่าเดิม และดูเหมือนว่าจะลามไปทั่วหน้าจนหน้าตาแปลกประหลาด
ไม่มีเหตุผลอื่น เฉินหวั่นชิงส่งที่อยู่มาทั้งหมดสามที่ และอยู่ในสามเขตที่เหลือของเมืองเจียงหนัน สถานการณ์ปกติแค่ขับรถก็ต้องใช้เวลาสองชั่วโมงแล้ว ถ้านับเวลาทำผมด้วยสามชั่วโมงไม่เพียงพอเลยสักนิด!
“อย่าให้ฉันสบโอกาสนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะตีเธอให้ก้นลายเลย”
เวลากระชั้นชิด เย่เทียนได้แต่บ่นอุบอิบอย่างเง้างอนและสตาร์ทรถออกเดินทางอีกครั้ง
ระยะทางประมาณสี่สิบนาที เย่เทียนขับรถมาจอดอยู่หน้าโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง และกดโทรหาเบอร์ที่เฉินหวั่นชิงทิ้งไว้ให้
“ใครน่ะ?” หลังจากรออยู่หลายวิ ในที่สุดก็มีคนรับสายและมีเสียงชราเสียงหนึ่งดังมา ได้ยินเสียงโหวกเหวกอยู่ลางๆด้วย
“สวัสดีครับ หวั่นชิงเป็นคนส่งผมมาหาคุณ บอกว่าให้ผมมาเอาของกับคุณ”
“ตอนนี้นายอยู่หน้าโรงเรียนประถมแล้วใช่มั้ย รอก่อน!”
พูดจบ ไม่รอให้เย่เทียนตั้งสติใดๆก็มีเสียงตู๊ดๆดังมาตามสาย อีกสายตัดสายไปซะแล้ว
“โอ้โห โอหังขนาดนี้เชียว?!”
เย่เทียนเหนื่อยใจ วันนี้มันเรื่องอะไรกันเนี่ย สะอึกติดๆกันมาตลอดเช้า วันนี้เป็นวันชงหรือไง?
ก๊อกๆ
ไม่นานนักก็มีคนเคาะหน้าต่างรถ เย่เทียนกวาดสายตามองไปด้านนอกก็เห็นชายชราตัวเล็กคนหนึ่งถือถุงพลาสติกสีดำในมือ
เย่เทียนเลื่อนหน้าต่างรถลง ไม่รอให้เขาได้ไขความข้องใจ ชายชราตัวเล็กก็โยนถุงพลาสติกสีดำเข้ามาเสียก่อน
“ดูก่อนว่าสภาพเป็นไง”
เย่เทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาหยิบของในถุงพลาสติกสีดำออกมาด้วยสีหน้าประหลาด เมื่อมองเห็นจนชัดเจนแล้วว่าคืออะไรก็ตาค้างไปในบัดดล
ไม่มีเหตุผลอื่นใด นี่คือเทพซิ่วที่ปั้นด้วยหยกเขียวจักรพรรดิของแท้ขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือ
เทพซิ่วถูกสลักอย่างมีจิตวิญญาณ โฉมหน้าถูกสลักไว้อย่างประณีต แม้แต่คราวขาวที่คางยังเห็นเป็นเส้น
โดยเฉพาะใบหน้ายิ้มแย้มสดใสนั่น ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็รู้สึกเหมือนเทพซิ่วกำลังยิ้มให้ตัวเอง ช่างเป็นรูปปั้นสลักที่หาได้ยากเสียจริง
แม้จะมีขนาดเท่าฝ่ามือเท่านั้น แต่ด้วยวัสดุและฝีมือการสลัก ราคาขั้นต่ำคงอยู่ที่ประมาณยี่สิบล้าน!
เย่เทียนกำลังจะชม “พ่อเฒ่า ท่านเป็นคนสลักรูปปั้นหยกนี้เหรอครับ? นี่…..”
แต่ไม่รอให้เขาพูดจบ ชายชราตัวเล็กก็ขัดจังหวะทันที
“ทำไมรึ อยากเรียนรึ? มาขายปาท่องโก๋กับฉันสักสิบปีก่อน แล้วฉันจะพิจราณาสอนนาย…..”