บทที่ 259 ปัญหาของคนหล่อ

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

วันนี้โรงแรมจุนหลินไม่รับแขกนอก ทั้งโรงแรมถูกเฉินหวั่นชิงผู้ร่ำรวยเหมาไว้หมด เพียงเพื่อฉลองวันเกิดอายุแปดสิบของท่านปู่เฉินชังไห่

ในแวดวงไฮโซมีกฎข้อหนึ่งที่ปฏิบัติตามกันมาแม้ไม่ได้สลักไว้ นั่นก็คือไม่ว่าจะงานมงคลหรืองานศพ ก่อนจะนั่งที่ต้องจัดงานปาร์ตี้แบบตะวันตกด้วย งานวันเกิดของท่านปู่เฉินในวันนี้ก็เช่นกัน

สรุปก็คือเมื่อเย่เทียนมาถึงโรงแรมจุนหลินอีกครั้ง ในห้องจัดเลี้ยงก็มีคนมาถึงกันจำนวนมากแล้ว

ห้องจัดเลี้ยงมีขนาดใหญ่มาก อย่างน้อยหนึ่งพันตารางเมตร ไม่พูดถึงครึ่งห้องแรกที่จัดเป็นงานปาร์ตี้แบบตะวันตก แค่ครึ่งห้องหลังก็มีโต๊ะจัดวางกันถึงหนึ่งร้อยแปดโต๊ะ

ท่านปู่เฉินเป็นคนนึกถึงคืนวันเก่าๆ งานเลี้ยงในวันนี้นอกจากจะเชิญบรรดาไฮโซผู้มีอำนาจมาแล้ว ยังเชิญเจ้าของธุรกิจเล็กถึงกลางที่เคยทุ่มเทช่วยเหลือตระกูลเฉินในยุคที่กำลังก่อร่างสร้างตัวด้วย

ที่วันนี้ตระกูลเฉินมีรากฐานได้ขนาดนี้ก็มาจากเฉินชังไห่ที่ฝ่าฟันมาทีละก้าว

บุญคุณเพียงหนึ่งหยดขอตอบแทนด้วยลำธาร

กับธุรกิจเล็กถึงกลางที่เคยช่วยเหลือบรษัทแซ่เฉิน แม้เฉินชังไห่จะไม่เคยพูดถึง แต่ในใจนั้นไม่เคยลืมเลย ยิ่งครั้งนี้ที่เชิญพวกเขามาโดยไม่กลัวว่าจะถูกนินทา เห็นใจจริงของท่านปู่เฉินได้ชัดเจน

บรรดาเจ้าของธุรกิจเล็กถึงกลางเหล่านี้นอกจากจะรู้สึกปลาบปลื้มแล้ว ยังมาถึงงานเลี้ยงก่อนเวลาตั้งนาน

ยังไงซะหากไม่พูดถึงความสัมพันธ์ในวันเก่า เมื่อเทียบพวกเขากับบริษัทแซ่เฉินในวันนี้แล้วพวกเขาไม่มีค่าอะไรเลย ได้รับการเชื้อเชิญเป็นเรื่องที่มีเกียรติสุดๆ จะกล้าวางมาดได้ยังไงกัน

เมื่อเย่เทียนก้าวเข้ามาในห้องจัดเลี้ยงก็กลายเป็นจุดสนใจของงานอย่างไม่ต้องสงสัย สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องมาที่เขาพร้อมกัน

ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง

ที่ประโยคนี้ถูกกล่าวขานมาตั้งแต่ยุคโบราณจนบัดนี้ย่อมมีความสมเหตุสมผลของมัน

หลังจากโดนจับแต่งตัวด้วยมืออาชีพที่เฉินหวั่นชิงจัดหามาให้แล้ว เย่เทียนเปลี่ยนมาใส่สูทชั้นสูงสไตล์อังกฤษ เผยให้เห็นรูปร่างสูงโปร่งไร้ที่ติ

ทรงผมที่เหนื่อยมากว่าครึ่งชั่วโมงยิ่งเพิ่มความหล่อเหลาสดใสขึ้นไปอีก ให้ความรู้สึกหนุ่มนักธุรกิจผู้เอาแต่ใจอยู่หน่อยๆ

น่าเสียดายที่หลังจากทุกคนมองอย่างพินิจพิเคราะห์ครู่หนึ่งแล้วก็เบนสายตาออกจากเขาอย่างรู้ตัว แยกย้ายไปยุ่งเรื่องของตัวเอง

นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เย่เทียนยังถือถุงพลาสติกสีดำถูกๆในมืออยู่ล่ะ

บวกกับคนที่มาถึงงานแล้วส่วนใหญ่เป็นเจ้าของธุรกิจเล็กถึงกลาง ดูไม่ออกหรอกว่าชุดสูทไร้แบรนด์บนตัวเย่เทียนเป็นงานฝีมือชั้นสูงโดยแท้ จึงอดเห็นเย่เทียนเป็นไอ้โง่ที่จงใจทำตัวเด่นไม่ได้

“ไม่เลว ดูมีชีวิตชีวาดี”

เฉินหวั่นชิงไม่รู้โผล่ออกมาจากตรงไหน เธอมองเย่เทียนตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

ไม่รอให้เย่เทียนตอบอะไร เธอก็เปลี่ยนเรื่อง “ของล่ะ เถ้าแก่ซุนให้นายมามั้ย”

“นี่ไง”

เย่เทียนรีบยื่นถุงพลาสติกสีดำที่มือขวาไปให้และถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เมียจ๋า ตาเฒ่านั้นเป็นใครเหรอ ฉันดูแล้วเขาไม่ธรรมดาเลยนะ”

“สมัยก่อนเถ้าแก่ซุนเป็นถึงช่างสลักเพชรพลอยชื่อดังเชียวล่ะ น่าเสียดายที่ต่อมาเกิดเรื่องบางอย่างที่ทำให้เมียเขาตาย เขาจึงไม่รับงานอีก”

“ถ้าไม่ใช่ว่าหลายปีก่อนฉันช่วยเขาไว้เยอะ เขาคงไม่สลักให้ฉันหรอก”

ในขณะที่อธิบายไปอย่างเรียบง่าย เฉินหวั่นชิงก็เปิดถุงพลาสติกสีดำดู และพยักหน้าอย่างพอใจ

“เถ้าแก่ซุนก็คือเถ้าแก่ซุน ฝีมือดีไม่เปลี่ยน!”

เย่เทียนพยักหน้าอย่างใช้ความคิด ก่อนจะถามหยั่งเชิง “เมียจ๋า ทำไมผมรู้สึกคุ้นหยกแบบนี้จัง”

“ก็หยกเขียวจักรพรรดิที่นายพนันมาได้ตอนที่ฉันไปตลาดหินหยกกับนายไง”

“ฉันเห็นนายทิ้งไว้บนรถนึกว่านายไม่เอา จึงหยิบมาให้เถ้าแก่ซุนช่วยสลักเป็นของขวัญวันเกิดให้คุณปู่ได้พอดี”

เฉินหวั่นชิงพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะมีสีหน้าเย็นยะเยือก

“ทำไมเหรอ นายไม่พอใจรึไง?”

“เปล่าๆๆ ฉันจะไม่พอใจได้ยังไง”

เย่เทียนรีบส่ายหัวปฏิเสธ ในใจนึกอยากจะตบหน้าตัวเอง

ด้วยการเตือนความจำจากเฉินหวั่นชิง เขาก็นึกได้ว่าหยกเขียวจักรพรรดิชิ้นนี้มาได้ยังไง ถ้าไม่ใช่ตอนนั้นจังเวยและหวางซานวางแผนให้นักแสดงสมทบพาตัวเขาไป เขาจะทิ้งหยกเขียวชิ้นนี้ไว้บนรถได้ยังไง

ไม่ว่ายังไงแค่ตัวหยกยังมีมูลค่าเกินสามสิบล้าน ถ้าเอาเงินนี้มาซื้อสมุนไพรหลอมยา เย่เทียนเชื่อว่าอย่างน้อยๆก็ช่วยให้ตัวเองก้าวสู่จุดสูงสุดของฝึกพลังชั้นห้าได้

แน่นอนว่าตอนนี้ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น ดูจากสีหน้าของเฉินหวั่นชิงแล้ว เขาไม่กล้าโต้แย้งใดๆ

เฉินหวั่นชิงมองเย่เทียนด้วยท่าทางเชิดๆ “ถือว่านายรู้หน้าที่”

“สวัสดีครับ ประธานเฉิน”

ขณะนั้น บรรดาผู้ชายที่หลงเสน่ห์เฉินหวั่นชิงพากันเดินเข้ามาทักทายเธออย่างกระตือรือร้น

แต่น่าเสียดาย สิ่งที่พวกเขาได้กลับมามีเพียงคำทักทาย “สวัสดีค่ะ” เรียบนิ่งจากเฉินหวั่นชิง

ท่าทีเย็นชาดั่งน้ำแข็งของคุณหนูเฉินทำให้คนมากมายต้องสะอึกกลับไป พวกเขาต้องรีบยิ้มแก้เก้อและชิ่งออกไปโดยไว

กระทั่งจะขอจับมือพวกเขายังไม่กล้า

“ฉันนึกว่าพวกเรามาเร็วแล้วนะ ไม่คิดว่ามีคนมาเร็วกว่าเราอีก”

กว่าเฉินหวั่นชิงจะสลัดคนพวกนั้นหลุดได้ เย่เทียนถึงพูดเสียงจิ๊จ๊ะ

“ยังไงซะพวกเขาก็ไม่ใช่เจ้าของธุรกิจใหญ่โต ถ้าไม่ใช่ว่าคุณปู่ยืนกรานพวกเขาไม่ได้รับบัตรเชิญด้วยซ้ำ ที่เลือกจะมาเร็วๆก็เป็นเรื่องปกติ”

เฉินหวั่นชิงอธิบายเรียบๆ

ขณะนั้น มีบริกรถือถาดผ่านมาพอดี เย่เทียนรีบหนีบลังกระดาษด้วยมือเดียว และใช้อีกมือยกแก้วไวน์พร้อมยื่นให้เฉินหวั่นชิงด้วยทีท่าสุภาพบุรุษ

เมื่อเด็กสาวรับไวน์มา เย่เทียนถึงยกอีกแก้วและจิบไวน์ในนั้น ทันใดนั้นสีหน้าเขาก็แปลกประหลาดขึ้นมา

“เมียจ๋า ถ้าฉันเดาไม่ผิดนี่น่าจะเป็นMouton wineปีเก้าศูนย์ใช่มั้ย”

เฉินหวั่นชิงได้ฟังก็มองเย่เทียนด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

“เมื่อก่อนฉันไม่ยักรู้ว่านายรู้เรื่องไวน์ด้วย”

สิ่งที่เย่เทียนแสดงออกมาเกินความคาดหมายของเธอนิดหน่อย ชิมแค่จิบเดียวก็รู้ปีของไวน์ ต้องเป็นคนที่รู้ลึกเรื่องไวน์เท่านั้นถึงจะทำได้

เมื่อได้รับการยืนยัน มุมปากเย่เทียนก็กระตุกขึ้นมา และอุทานในใจว่าผู้หญิงนี่ผลาญเงินเก่งกันทั้งนั้น

ราคาตลาดของMouton wineอยู่ที่ห้าพันต่อขวดโดยประมาณ ถ้าแค่ขวดสองขวดคงไม่เป็นไร

แต่ นี่แค่ไวน์รองานเริ่มนะ ถ้าพูดถึงทั้งงานวันเกิด แค่ค่าเหล้าค่าไวน์คงต้องใช้อย่างน้อยสามล้าน

อุทานส่วนอุทาน เย่เทียนไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนัก หยกเขียวจักรพรรดิสามสิบล้านยังให้ได้ กับแค่สามล้านจะเป็นไรไป

“นายเดินเล่นเองไปก่อนนะ ข้าไปหากล่องใส่รูปปั้นหยกนี้ก่อน”

เฉินหวั่นชิงไม่สนหรอกว่าเย่เทียนคิดอะไรอยู่ เธอบอกเรียบๆและเดินไปหาคนดูแลโรงแรมที่นี่ที่อยู่ห่างไปไม่ไกล

เย่เทียนส่ายหัวอย่างอ่อนใจ แต่ก็รู้ดีว่าวันนี้สำคัญกับเฉินหวั่นชิงขนาดไหน จึงหาที่นั่งเอง และในขณะที่กรอกเหล้าเข้าปากเรื่อยๆ นัยน์ตาสีนิลของเขาก็กวาดไปรอบๆ

“คนหล่อ ดื่มเป็นเพื่อนฉันสักแก้วได้มั้ย”

ทว่า ผ่านไปไม่กี่นาที เสียงผู้หญิงเย้ายวนก็ดังขึ้นข้างหูและเรียกสติเย่เทียนได้

เย่เทียนได้ยินแล้วอดถอนหายใจไม่ได้ หน้าตาหล่อนี่เรียกแขกจริงๆ