ตอนที่ 209 ไทเฮาทรงสงสัย 

 

 

 

 

 

“เจ้าดูถูกจิ่วซือเกินไป ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับนางไม่ใช่ใครฐานะเหนือกว่าใคร แต่เป็นการช่วยเหลือกัน เอาล่ะ คุยเรื่องนี้เจ้าคงไม่เข้าใจแน่ เหมือนดีดพิณให้วัวฟัง” 

 

 

ปิงอวิ๋นไม่เข้าใจจริงๆ นางรู้สึกว่าความรักความผูกพันระหว่างชายหญิงเป็นเรื่องน่าเบื่อ ชาตินี้นางไม่มีวันยุ่งเกี่ยวแน่ 

 

 

“เจ้าออกไปเถอะ! ข้าจะอยู่คนเดียวสักครู่” 

 

 

“ได้ คุณชายพักให้เร็วหน่อย ถ้าจิตใจไม่สบาย ก็จะอยู่ไม่เป็นสุข” 

 

 

“พูดอย่างกับว่าข้าจะไปตาย ถ้าสวรรค์ให้โอกาสข้า ข้าต้องอยู่ต่อไปแน่” 

 

 

กู้เฉินหรงหรี่ตามองไกลออกมา สองมือในแขนเสื้อกำหมัดแน่น 

 

 

ปิงอวิ๋นไม่เข้าใจแววตาของกู้เฉินหรง บางครั้งนางรู้สึกว่านายน้อยคนนี้ช่างเร้นลับเหลือเกิน นางดูไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่บางครั้งก็เป็นคนธรรมดา อย่างเช่นเวลาอยู่กับซูจิ่วซือ เขาเหมือนเด็กอายุสามขวบ 

 

 

สองวันต่อมา เสิ่นไทเฮาก็มีพระบัญชาให้ซูจิ่วซือเข้าเฝ้า แม้ทาแป้งแต่งหน้า แต่ก็ไม่อาจปกปิดความเหนื่อยล้าบนใบหน้าได้ วงสีดำรอบตายังปรากฏชัด 

 

 

“จิ่วซือ ช่วงนี้เจ้าไม่ได้พักผ่อนเต็มที่หรือ เจ็บแผลหรือไม่” 

 

 

ซูจิ่วซือยังคงพันแผลที่นิ้วมือ นางไม่ใช่ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ แต่ไม่ได้พักผ่อนเลยต่างหาก 

 

 

ไม่รู้ว่ากู้เฉินหรงจะไปวันไหน นางอยากถักเชือกลายมงคลให้เขาก่อนไป กู้เฉินหรงเคยขอไว้ แต่นางไม่ได้ทำให้ 

 

 

นอกจากนิ้วหัวแม่มือแล้วนิ้วอื่นยังเจ็บอยู่ การถักเชือกลายมงคลจึงทำลำบาก 

 

 

จื่อหลานจะช่วย แต่นางไม่ให้ช่วย นางใช้ฟันและการช่วยเหลือของจื่อหลาน อดนอนมาสองคืนแล้ว ในที่สุดก็ถักเสร็จเส้นหนึ่ง แม้ระวังเต็มที่ แต่นิ้วมือก็เจ็บขึ้นมาอีก ผ้าพันแผลมีรอยเลือดซึมออกมาให้เห็น 

 

 

“ขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงห่วงใย หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ” 

 

 

“เจ็บที่นิ้วปวดถึงใจ เจ็บนิ้วมือเป็นเรื่องน่ากลัว ข้าให้หมอหลวงสั่งยาสงบใจให้เจ้าก็ยังไม่หาย ผ่านไปตั้งหลายวันแล้ว นิ้วมือเจ้ายังไม่ดีขึ้น ประเดี๋ยวให้หมอหลวงรักษาแผลให้เจ้าอีกครั้ง” 

 

 

เสิ่นไทเฮาทรงสังเกตเห็นรอยเลือดสีแดงสดบนผ้าพันแผลของซูจิ่วซือ พระสุรเสียงมีความห่วงใย 

 

 

“แผลเล็กน้อยไทเฮาทรงห่วงใยปานนี้ หม่อมฉันไม่สมควร หม่อมฉันไม่เป็นไรจริงๆ เพคะ” ซูจิ่วซือนอบน้อม ใบหน้ามีรอยยิ้มจางๆ  

 

 

“เจ้าเด็กคนนี้ไม่ใจเสาะสักนิด จิ่วซือ เรื่องพระสนมโหรวไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า ทำไมเจ้ารับผิดเสียเอง รู้หรือไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร” 

 

 

ตั้งแต่กู้เฉินหรงเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาให้นางฟัง ซูจิ่วซือจึงรู้ว่าถ้านางเข้าวัง ไทเฮาต้องตรัสถามเรื่องนี้ เสิ่นไทเฮาไม่ใช่คนที่จะหลอกได้ง่ายๆ พระนางทรงเอาใจใส่นาง ทรงห่วงนาง แต่ก็ทรงระแวงอยู่ หากนางทำผิดจริง เสิ่นไทเฮาคงไม่ให้อภัยแน่ 

 

 

ซูจิ่วซือคิดไว้แล้วว่าจะทูลอย่างไร จึงรีบคุกเข่าลงกับพื้น ค้อมศีรษะทูลว่า “เวลานั้นในห้องมีเพียงหม่อมฉันกับพระสนมกู้ หม่อมฉันรู้ว่าหม่อมฉันกับนางไม่ได้ทำผิด พระสนมกู้เป็นพี่สาวของหม่อมฉัน หม่อมฉันจึงอยากปกป้องพี่สาวคนนี้” 

 

 

“เจ้ากับนางไม่เคยไปมาหาสู่กันมาก่อน นึกไม่ถึงว่าจะมีความผูกพันกันลึกซึ้งอย่างนี้” 

 

 

ซูจิ่วซือไม่กล้าพูดปด นางทูลอย่างจริงจัง “หม่อมฉันกับพระสนมกู้ไม่คุ้นเคยกัน แต่พระสนมกู้เป็นลูกสาวของท่านป้า หม่อมฉันเคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงท่านป้าบ่อยๆ ท่านพ่อรู้สึกละอายใจมาตลอดเมื่อนึกถึงท่านป้า หม่อมฉันจึงอยากปกป้องพระสนมกู้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนางอยู่แล้ว” 

 

 

ในเมื่อใครต่อใครก็คิดว่าซูหมิงเอาโรคจากหนานเจียงมาติดซูหลิ่วจนตาย การที่ซูจิ่วซือพูดอย่างนี้จึงสมเหตุผล ไม่ได้พูดปด