ตอนที่ 158 ใครคิดจะฆ่าฉันได้ / ตอนที่ 159 ใช้ปากป้อนดีกว่า

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 158 ใครคิดจะฆ่าฉันได้ 

 

 

           ซือเหยี่ยนเอียงหน้ามองเจียงมู่เฉินที่อยู่ข้างๆ เห็นเขาขมวดคิ้วไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เพราะว่าเมื่อคืนได้ยินเจียงมู่เฉินบอกว่าวันนี้มีตัดริบบิ้น ดังนั้นเขาจึงเบนมาสนใจเรื่องนี้ด้วยเป็นพิเศษ 

 

 

           เขาอยู่ที่บริษัทก็ดูถ่ายทอดสดตามไปด้วยตลอด จนกระทั่งหลังจากเจียงมู่เฉินโดนซังจิ่งผลักล้มกะหันทัน ภาพในจอก็มั่วยุ่งเหยิงกันไปหมด จากนั้นก็ไม่เห็นเงาของเจียงมู่เฉินอีก 

 

 

           ในใจเขาเป็นห่วงจนรีบวิ่งบุ่มบ่ามไปที่งานตัดริบบิ้น ที่นั่นเกิดจลาจลขึ้นฉับพลัน แล้วเจียงมู่เฉินก็ไม่อยู่ด้วย 

 

 

           ระหว่างเดินทางไป ซือเหยี่ยนไม่รู้ว่าตัวเองใช้อะไรหล่อเลี้ยงสภาพจิตใจให้พุ่งตรงไปโรงพยาบาลได้ เขากลัวมาก……ว่าเจียงมู่เฉินจะหลบไม่ทัน กลัวมากว่าคนที่บาดเจ็บจะเป็นเจียงมู่เฉิน 

 

 

           เหมือนตอนนั้นไม่มีผิด แม้แต่โอกาสจะช่วยเขาก็ไม่มีให้ตัวเอง 

 

 

           ยังดีที่ไอ้หมอนี่ปลอดภัย ไม่อย่างนั้นซือเหยี่ยนก็ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองจะทำเรื่องอะไรออกมาได้บ้าง 

 

 

           เขาเข้าไปดูที่เกิดเหตุพร้อมกับเจียงมู่เฉิน ดูกันไปรอบหนึ่ง มีคนจัดการเคลียร์เคลียร์พื้นที่ในทุกบริเวณเรียบร้อยแล้ว เจียงมู่เฉินมองดูโดยละเอียด ก็หาเบาะแสที่ประโยชน์ไม่เจอ สุดท้ายทำได้เพียงถอนหายใจ แล้วเอ่ย “ไปกันเถอะ กลับกันไปก่อน พ่อแม่ฉันคงจะรอฉันอยู่ที่บ้านแล้ว” 

 

 

           จนมาถึงที่บ้านตระกูลเจียง คุณพ่อเจียง คุณแม่เจียงนั่งรอที่ห้องรับแขกแล้ว เมื่อเห็นเจียงมู่เฉินเดินเข้ามา ก็โผตัวเข้าหาอย่างตื่นตระหนก 

 

 

           “เฉินเฉิน ลูกไม่เป็นไรใช่ไหม” ดวงตาคู่นี้ของคุณแม่เจียงเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา จับเจียงมู่เฉินไว้แน่น 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้ว่าเรื่องของตัวเองทำให้พ่อแม่เป็นห่วงแล้ว แต่หลังจากที่เข้ามาข้างในถึงได้พบว่าตัวเองคิดง่ายเกินไปแล้ว 

 

 

           ท่าทางราวกับว่าจะล้มหายตายจากกันไปตลอดของแม่เขาทำเขาตกใจกลัวแล้ว 

 

 

           “ผมไม่เป็นไรครับ ซังจิ่งช่วยผมเอาไว้” 

 

 

           คุณแม่เจียงไม่ฟัง ดึงตัวเขามาดูอยู่นานสองนาน เมื่อแน่ใจว่าไม่มีร่องรอยบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียวแล้ว ถึงได้หยุดลง 

 

 

           “เคราะห์ดีๆ ถ้าลูกเกิดเป็นอะไรขึ้นมา แม่จะอยู่ยังไงลูก” 

 

 

           สีหน้าที่คร่ำเคร่งของคุณพ่อเจียงค่อยๆ ผ่อนคลายลงแล้ว เขายื่นมือไปตบไหล่เจียงมู่เฉินเบาๆ “แกไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” 

 

 

           “ขอโทษครับที่ทำให้พ่อแม่เป็นห่วง” 

 

 

           คุณพ่อเจียงส่ายหัว “ฉันกับแม่แกก็มีแค่แกเป็นลูกชายคนเดียว ไม่ห่วงแก แล้วจะห่วงใคร โอเค ในเมื่อไม่มีอะไรแล้วก็รีบไปกินข้าวกันเถอะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้ารับ ตอนนี้เองถึงได้เดินเข้าห้องอาหารด้วยกันกับซือเหยี่ยนสักที 

 

 

           ขณะกินข้าวกันอยู่ คุณแม่เจียงมองเจียงมู่เฉินอยู่ตลอดเวลา กลัวว่าจู่ๆ เขาจะหายไปต่อหน้าต่อตัวเอง 

 

 

           เจียงมู่เฉินตามองแล้วรู้สึกใจหายทีหลัง ถ้าตอนนั้นซังจิ่งไม่ช่วยเขาไว้ เขาก็คงจะไม่มีหนทางได้มานั่งอยู่ที่นี่กินข้าวกันแล้ว 

 

 

           “ฉันได้ยินว่าในที่เกิดเหตุมีทีมงานคนหนึ่งเสียชีวิตคาที่ใช่ไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้ารับ “ใช่ครับพ่อ ระหว่างทางไปโรงพยาบาลช่วยชีวิตนั้น ก็มีประกาศว่าเสียชีวิตแล้ว” 

 

 

           คุณพ่อเจียงเอ่ยอย่างไตร่ตรอง “เรื่องนี้แกจัดการด้วยตัวเองแกเองเลย ถึงอย่างไรเรื่องก็เกิดขึ้นในพิธีตัดริบบิ้นของตระกูลเจียงเรา จึงจำเป็นต้องมีการชี้แจง” 

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “เดิมทีผมก็คิดแบบนี้เหมือนกัน” 

 

 

           “แล้วก็ซังจิ่งทางนั้น เจียดเวลาไปขอบใจเขาสักหน่อยนะ ถ้าไม่ได้เขาเป็นคนช่วยแก เกรงว่าจะเลวร้ายกันไปยิ่งกว่านี้” 

 

 

           ถึงแม้ว่าเจียงมู่เฉินจะไม่เต็มใจจะพบซังจิ่งอีก แต่ครั้งนี้ซังจิ่งมีบุญคุณกับเขาจริงๆ เรื่องนี้เขาทำเป็นไขสือไม่ได้ 

 

 

           “พ่อ พ่อวางใจเถอะ ผมจัดการเองได้” 

 

 

           ซือเหยี่ยนก็เอ่ยปากด้วย “ถ้ามีอะไรต้องการให้ผมช่วย บอกผมได้ตลอดเลยนะครับ” 

 

 

           คุณพ่อเจียงพยักหน้าด้วยความพอใจ “งั้นก็รบกวนเสี่ยวเหยี่ยนด้วยแล้วกัน” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มรับ “ไม่รบกวนหรอกครับ สมควรอยู่แล้ว” 

 

 

           ‘ช่วยแฟนตัวเอง เป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว ต่อให้เจียงมู่เฉินไม่พูด เขาก็สามารถช่วยได้ทั้งนั้น’ 

 

 

           อาบน้ำเสร็จออกมา เจียงมู่เฉินยืนอยู่ที่ระเบียงไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ซือเหยี่ยนเช็ดหยดน้ำบนผมอย่างลวกๆ แล้วเดินตามเข้าไป 

 

 

           เขายืนพิงอยู่ข้างๆ เจียงมู่เฉิน เอียงคอมองเจียงมู่เฉินด้วยสีหน้าจริงจัง “เป็นไรไป กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ หมุนตัวหันกลับมาพิงระเบียง “นายว่าใครคิดจะฆ่าฉัน” 

 

 

            

 

 

  ตอนที่ 159 ใช้ปากป้อนดีกว่า 

 

 

           “ไม่กี่ปีมานี้ถึงคุณจะก่อเรื่องไม่น้อย แต่ไม่น่าจะถึงขั้นที่ทำให้คนมีใจอยากจะฆ่าคุณได้” 

 

 

           “นายว่าใครก่อเรื่องไม่น้อย” เดิมทีเจียงมู่เฉินคิดว่าอีกฝ่ายจะคิดอวยเขาสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าไอ้หมอนี่จะเปลี่ยนมาเหน็บแนมเขาแทน 

 

 

           “วีรกรรมของคุณชายน้อยเจียงไม่กี่ปีมานี้ คงไม่ต้องให้ผมพูดหรอก” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเสียหน้า ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนไม่ยี่หระอะไรบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ร้ายแรงไร้มนุษยธรรมนี่   

 

 

           เส้นตายของเขายังสูงมากอยู่ 

 

 

           “สูบบุหรี่ไหม” ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ซือเหยี่ยนหยิบบุหรี่ออกมา 

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองแวบหนึ่ง ยังอยากสูบอยู่บ้างจริงๆ 

 

 

           “เอา แต่ว่า นายช่วยฉันหน่อย” เขายังจำเรื่องที่ซือเหยี่ยนบอกว่าเขาเป็น ‘ตัวก่อปัญหา’ ได้อยู่ 

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมุมปากขึ้น เขาหยิบบุหรี่มวนหนึ่งมาใส่ไว้ในปาก เขากัดบุหรี่เล็กน้อยมองเจียงมู่เฉิน แค่เพียงเวลาสั้นๆ ยังดูน่าดึงดูดใจไม่เบา 

 

 

            แสงไฟฉายกระทบใบหน้าคมเข้มของซือเหยี่ยน เขาสูบเข้าเบาๆ แล้วปล่อยควันจางๆ ออกมา 

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว นี่คือตัวเองจะสูบเองไม่คิดจะให้เขาเหรอ 

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้ม กวักมือเรียกเขา 

 

 

           เจียงมู่เฉินขยับเคลื่อนตัว เข้าใกล้ซือเหยี่ยนอีกนิด เขาคิดว่าซือเหยี่ยนจะเอาบุหรี่ที่เพิ่งจะจุดไฟแล้วเมื่อครู่นี้ให้เขา แต่เจียงมู่เฉินคิดไม่ถึงว่าซือเหยี่ยนจะสูบเข้าลึกๆ หลังจากนั้นเอาบุหรี่ลง ล็อกเอวเขาไว้ แล้วประกบปากเขาในทันใด 

 

 

           ควันบุหรี่เข้มข้นตลบอบอวนอยู่ในโพรงปากของคนทั้งคู่ แนบแน่นไม่อาจแยก 

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนเขาผลักติดผนังด้านหลังแล้วกดจูบลงไป 

 

 

           จนกระทั่งรสของใบยาสูบในปากเจือจางลง ซือเหยี่ยนถึงได้ปล่อยคนตรงหน้า เขาแนบชิดริมฝีปากของเจียงมู่เฉิน ก้มหน้าหายใจหอบ “ผมคิดแล้วคิดอีก ว่าใช้ปากป้อนดีกว่า” 

 

 

           เจียงมู่เฉิน “…” นายนี่มันใช้ปากป้อนได้สมชื่อเสียงจริงๆ 

 

 

           ริมฝีปากก็โดนเขาค่อยๆ เคี้ยวจนชา ไอ้หมอนี่เป็นหมาเหรอ กัดเป็นขนาดนี้เชียว         

 

 

           “จู่ๆ นายมาจูบฉันทำไม” เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่งอย่างเชิดๆ 

 

 

           ซือเหยี่ยนออกแรงกดริมฝีปากเขาเล็กน้อย แล้วงับเข้าไปหนักๆ “ตอนอยู่โรงพยาบาลก็อยากจะ ‘ทำ’ แบบนี้แล้ว” 

 

 

           ตอนที่เขาลุกลี้ลุกลนพุ่งตัวเข้าโรงพยาบาล พอเห็นเจียงมู่เฉินยืนอยู่คนเดียวหน้าห้องฉุกเฉิน เขาก็อยากจะกดกอดอีกคนไว้ในอ้อมอก แล้วมอบจูบอันร้อนแรงให้อีกฝ่าย 

 

 

           มีเพียงแค่เก็บคนๆ นี้ไว้ในอ้อมอกตัวเองเท่านั้น ถึงจะวางใจได้ 

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมือขึ้นเกี่ยวคอของเขา เอ่ยเสียงเล็ก “นายกลัวฉันตายเหรอ” 

 

 

           ได้ยินคำว่า ‘ตาย’ นัยน์ตาซือเหยี่ยนก็ดำดิ่งมืดมิดลง กัดปากเขาแรงๆ คำหนึ่ง “ต่อหน้าผม อย่าพูดคำว่า ‘ตาย’ ส่งเดช”  

 

 

           ครั้งนี้ที่ถูกเขากัด เจียงมู่เฉินรู้สึกเจ็บไม่เบา เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ คิดไม่ถึงว่าคุณชายน้อยเจียงจะไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แล้วยังเอามาโอบรอบคอของซือเหยี่ยนอีก “แฟนของนายจู่ๆ ก็อยาก ‘ทำ’ นายอยากจะเติมเต็มความต้องการให้เขาไหม” 

 

 

           แววตาบาดลึกของซือเหยี่ยนกระทบลงใบหน้าของคนตรงหน้า เขาถอนหายใจเบาๆ ช้อนอุ้มคุณชายน้อยขึ้นมา “แฟนผมออกปากมาแล้ว จะไม่เติมเต็มให้ได้ยังไง” 

 

 

           พูดจบก็อุ้มเขาเข้าห้องไปวางลงบนเตียง เจียงมู่เฉินเห็นก็เรียนห้ามไว้ทันที “จู่ๆ ฉันก็อยากไปห้องน้ำ” 

 

 

           นัยน์ตาซือเหยี่ยนทอประกาย รู้สึกว่าข้อเสนอของเจียงมู่เฉินช่างเยี่ยมเหลือเกิน 

 

 

           เขางับอีกฝ่ายไปทีหนึ่ง “คุณพูดเองนะ อย่ามาเสียใจทีหลังล่ะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยกยิ้มยั่วเสน่ห์ นัยน์ตาดอกท้อภายใต้แสงไฟเปล่งแสงแวววับราวกับเม็ดอัญมณีอันเจิดจ้าแสนดึงดูดสายตาคน 

 

 

           “วางใจเถอะ คุณชายไม่เคยทำเรื่องที่ต้องมาเสียใจทีหลังอยู่แล้ว” 

 

 

           หลังจากซือเหยี่ยนได้รับการตอบกลับ ก็อุ้มเขาเข้าห้องน้ำไป นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขา ‘ทำ’ กันในห้องน้ำ ท่าทางของซือเหยี่ยนดูเร่งรีบอยู่ไม่เบา 

 

 

           เจียงมู่เฉินในคืนนี้ใจกล้าเป็นพิเศษ โอบรัดซือเหยี่ยนพันกายซือเหยี่ยนไม่ยอมปล่อย 

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลงงับลูกกระเดือกของซือเหยี่ยนเบาๆ เงยหน้าขึ้นไปก็คือใบหน้าหล่อเหลาได้รูปของซือเหยี่ยน อะไรเขาก็จำไม่ขึ้นใจแล้ว รู้แค่เพียงว่านาทีที่โดนซังจิ่งผลักล้มลงไป ในหัวเขาก็ฉายแต่ภาพใบหน้าของซือเหยี่ยน 

 

 

           เพียงชั่วพริบตานั้น เขามีอยู่แค่ความคิดเดียว ถ้าเขาตายไป ซือเหยี่ยนจะทำยังไง 

 

 

           ดังนั้นไม่ใช่ว่าซือเหยี่ยนเห็นเขาอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วอยาก ‘ทำ’ แบบนี้ แต่เป็นเขาที่นาทีนั้นเห็นซือเหยี่ยนรีบเดินเข้ามาหาตัวเอง เขาก็อยากโผตัวเจ้าหาผลักซือเหยี่ยนล้มลงไปแล้ว 

 

 

           ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีพอสตินึกคิดอยู่บ้าง เขาเกรงว่าคงจะพุ่งตัวเข้าไปจูบเขาที่โรงพยาบาลไปแล้ว