ฮั่วฉินเยี่ยนกลับบ้านอีกครั้งในตอนเย็น ทว่าสิ่งที่ต้อนรับเขากลับไม่ใช่ใบหน้ายิ้มแย้มของเวินหลานฉี หากแต่เป็นความเงียบเหงาของห้องต่างหาก
ฮั่วฉินเยี่ยนจนปัญญาอยู่บ้าง นับวันกิจการของเวินหลานฉียิ่งประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในสายตาของเธอเหมือนจะมีเพียงแค่งานเท่านั้น แม้แต่เขาเองก็โดนโยนไว้ข้างหลัง ความจริงนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาเฝ้าปรารถนาด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่าเขาไม่สนับสนุนให้เวินหลานฉีมีกิจการเป็นของตัวเอง กลับกันเขามีส่วนช่วยเวินหลานฉีในด้านหน้าที่การงานมากมายด้วยซ้ำ แต่เขาไม่ได้หวังให้เป็นแบบนี้ หลายครั้งเขาทำโอทีจนกลับบ้านดึกมากแล้ว หากแต่เวินหลานฉีก็ยังยุ่งอยู่ที่บริษัทอยู่เลย และบางครั้งฮั่วฉินเยี่ยนรีบกลับบ้านอย่างรวดเร็ว เพราะเขาอยากสร้างบรรยากาศโรแมนติกให้เวินหลานฉีบ้าง จึงจัดดินเนอร์ใต้แสงเทียนจนเต็มโต๊ะ แต่รอจนกระทั่งอาหารเย็นชืดหมด เวินหลานฉีก็ไร้วี่แววจะกลับมา
เวลาเธอกลับมาดึกๆ ดื่นๆ ก็เอาแต่บ่นพึมพำว่าเหนื่อยแทบตาย จากนั้นพอเอนตัวลงนอน เธอก็หลับเป็นตายทันที ต่อให้ฮั่วฉินเยี่ยนยังมีความคิดอ่อนโยนอะไร ก็ทำได้เพียงเก็บความคิดนั้นไว้ในก้นบึ้งของหัวใจอย่างไร้ทางเลี่ยง ใครจะไปรู้ว่าพอเขามองใบหน้าเหนื่อยล้าของเวินหลานฉีแล้ว จะสงสารจนทนไม่ไหวกันล่ะ
เขาตัดสินใจว่าเย็นนี้เขาต้องคุยกับเวินหลานฉีดีๆ สักหน่อยแล้ว
เวินหลานฉีกลับมาเป็นเวลาตีหนึ่งกว่าๆ แล้ว เธอเปิดประตูเข้าไปเห็นไฟโทนสีเหลืองสว่างจ้าอยู่ในห้องรับแขก ในใจเธอรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมา เมื่อรู้ว่ากลับบ้านมาแล้วมีคนเปิดไฟไว้ให้เธอดวงหนึ่ง ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นจริงๆ เธอเผยรอยยิ้มออกมาและรีบสาวเท้าเข้าไปทันที
ทว่าคืนนี้เวินหลานฉีกลับไม่เห็นฮั่วฉินเยี่ยนปั้นหน้ายิ้มรับเธอเหมือนอย่างเคย เธอจึงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง และก็พลอยใจหายนิดหน่อย เพราะอย่างไรเสียทุกๆ คืนไม่ว่าจะดึกแค่ไหน ฮั่วฉินเยี่ยนก็จะรอเธอกลับมา แล้วถามไถ่ทุกข์สุขเธอเสมอ จากนั้นร่างกายและจิตใจอันเหนื่อยล้าของเธอก็จะถูกความอ่อนโยนของเขาปัดเป่าให้หายไป เธอเบาใจเมื่อได้พักพิงอยู่ในอ้อมกอดของฮั่วฉินเยี่ยน แล้วเข้าสู่ห้วงนิทราไปทั้งอย่างนั้น ฮั่วฉินเยี่ยนจะช่วยเธออาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความนุ่มนวล ยามเช้าเธอตื่นขึ้นมา ฮั่วฉินเยี่ยนก็ทำกับข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากพวกเขากินข้าวด้วยกันเสร็จถึงจะออกไปบริษัทของตัวเอง
แต่พอไม่เห็นฮั่วฉินเยี่ยนไปชั่วขณะ เธอก็รู้สึกใจหายนิดหน่อย เธอรีบเก็บท่าทางหน้าม่อยคอตกอย่างรวดเร็ว แล้วเดินเข้าห้องนอนไป
ทันทีที่เดินเข้ามาในห้องนอน เธอก็เห็นชายผู้สูงส่งคนนั้นนอนอยู่บนเตียง สีหน้ายามหลับสงบนิ่ง
เธอย่องเข้าไปและฟุบลงตรงหน้าฮั่วฉินเยี่ยน ไล่มองสีหน้ายามหลับของเขาอย่างละเอียด เขายามหลับนั้นลดท่าทีหยิ่งยโสและสูงส่งที่ปกติมักจะปฏิเสธคนอย่างไม่เหลือเยื่อใยลง จนดูอ่อนโยนถึงขั้นเจือแววไร้เดียงสาไม่มีพิษไม่มีภัยอยู่บ้าง เวินหลานฉีฟุบอยู่ข้างเตียงมองใบหน้ายามหลับของฮั่วฉินเยี่ยนอย่างหลงใหล
นับแต่ประสบอุบัติเหตุกลับมาจากบ้านพักบนภูเขา พวกเขาทั้งสองคนต่างยุ่งอยู่กับกิจการของตัวเอง ในขณะที่ฮั่วฉินเยี่ยนยุ่ง แต่เธอนั้นยุ่งมากกว่า ถึงอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง มิหนำซ้ำรากฐานของฮั่วฉินเยี่ยนมีเสถียรภาพมากกว่าเธอ เธอจึงได้แต่ทำให้สำเร็จด้วยความขยันขันแข็งมากกว่าเดิม ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เธออาจจะละเลยฮั่วฉินเยี่ยนไปบ้าง นานแล้วที่เธอไม่ได้มองฮั่วฉินเยี่ยนอย่างละเอียดถี่ถ้วนขนาดนี้ ถึงแม้พวกเขาจะเจอหน้ากันทุกวัน หากแต่ความจริงเธอคิดถึงเขามากเหลือเกิน
ขณะที่เธอมองฮั่วฉินเยี่ยนอย่างหลงใหลอยู่นั้น จู่ๆ ฮั่วฉินเยี่ยนซึ่งหลับอยู่ก็ลืมตาทั้งสองข้างของเขาขึ้น ดวงตาทั้งสองทั้งลุ่มลึกและเฉียบแหลมราวกับพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาล
“กลับมาเมื่อไหร่เหรอ ทำไมไม่ปลุกผมล่ะ” ฮั่วฉินเยี่ยนหยัดกายขึ้นมาดึงเวินหลานฉีขึ้นเตียง โอบเธอเข้ามาในอ้อมกอด พร้อมถาม
“กลับมาได้สักพักแล้วล่ะ เห็นคุณหลับลึกอยู่ ก็เลยไม่อยากปลุกคุณน่ะ” เวินหลานฉีเอนร่างพิงกับอ้อมกอดของฮั่วฉินเยี่ยน พลางเอ่ยตอบ
“เหนื่อยไหม”
“แค่เห็นคุณก็หายเหนื่อยแล้ว”
“ฉีฉี ความจริงวันนี้ผมอยากจะคุยกับคุณหน่อย” ฮั่วฉินเยี่ยนพูด
“คุยอะไรเหรอ” เวินหลานฉีถามอย่างแปลกใจ
ฮั่วฉินเยี่ยนจุมพิตลงบนหัวของเวินหลานฉีเบาๆ “อยากคุยเกี่ยวกับเรื่องงานของเราหน่อยน่ะ”
“มีปัญหาอะไรเหรอ หรือคุณเจอปัญหาอะไรหรือเปล่า ฉันช่วยคุณได้ไหม” เวินหลานฉีเข้าใจว่าบริษัทของฮั่วฉินเยี่ยนเจอปัญหาอะไรสักอย่าง จึงถามอย่างร้อนใจ
“บริษัทผมไม่มีเรื่องอะไรหรอก ผมอยากคุยกับคุณเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างความรู้สึกกับหน้าที่การงานของเรา”
“ความขัดแย้งอะไรเหรอ” เวินหลานฉีเอ่ยถาม
“คุณก็เห็นว่าเราต่างยุ่งกับงานทุกวัน เวลาเจอกันก็น้อยเกินไปจริงๆ” ฮั่วฉินเยี่ยนพูด
“แต่เราก็เจอกันทุกวันไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ เราเจอกันทุกวัน แต่นานเท่าไรแล้วที่เราไม่ได้มานั่งปรับความเข้าใจกันอย่างในตอนนี้ บางครั้งผมตื่นมาในตอนเช้า คุณก็ออกไปบริษัทแล้วด้วยซ้ำ หรือถ้าอยู่บ้าน คุณก็รีบร้อนกินข้าวแค่คำสองคำแล้วรีบออกไปบริษัททันที ตอนเที่ยงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเข้าไปใหญ่ เมื่อก่อนเรายังกินข้าวด้วยกันอยู่บ้าง แต่เดี๋ยวนี้ผมไม่ได้ออกไปหาของอร่อยกินนานแค่ไหนแล้วนะ พอตกเย็น บางครั้งผมก็ทำโอทีบ้าง ไปทำงานนอกสถานที่บ้าง บางครั้งก็เป็นคุณที่ทำโอทีบ้าง ไปทำงานข้างนอกบ้าง นับวันระหว่างเรายิ่งพูดคุยแลกเปลี่ยนน้อยลงทุกวันๆ”
“แต่ฉันยังอยากทำงานอยู่นะ ตอนนี้ตระกูลเวินของเรายังไม่มีคนประคับประคองเลยสักคน” เวินหลานฉีคิดว่าฮั่วฉินเยี่ยนไม่อยากให้เธอออกไปทำงาน อย่างไรเสียคนจากชนชั้นสูงมากมาย ผู้เป็นสามีจะเป็นฝ่ายทำงานหาเงินทั้งนั้น ส่วนภรรยาก็อยู่บ้านทำงานบ้านบ้าง ดูแลลูกบ้าง ใช้ชีวิตอย่างภรรยาผู้สูงศักดิ์ทั่วไป แม้เวินหลานฉีจะรู้สึกว่าทำงานเหนื่อยมาก แต่เธอก็ไม่อยากทอดทิ้ง บริษัทนี้เธอก่อตั้งและประคับประคองขึ้นมาอย่างยากลำบาก เธอไม่อยากทอดทิ้ง อีกอย่างตอนพ่อวางมือไป พี่สาวก็แต่งงานกับฝรั่ง แถมยังอาศัยอยู่ต่างประเทศถาวรอีก บริษัทของสกุลเวินไม่มีคนมาบริหาร แล้วกว่าเธอจะบริหารจัดการบริษัทนี้จนเป็นที่รู้จักนั้นไม่ง่ายเลย จะทิ้งไปแบบนี้ได้อย่างไรล่ะ
“ผมไม่ได้หมายความว่าจะให้คุณทิ้งงาน คุณอยากทำงานผมก็จะสนับสนุนคุณ คุณยังจำที่ผมเคยพูดตอนแรกได้ไหม ผมบอกว่าหลังกลับจากพักผ่อนครั้งนี้ เราจะแต่งงานกันใหม่อีกครั้ง แต่คุณดูสิ คุณได้ใส่ใจเรื่องนี้บ้างหรือเปล่า”
“ฉัน…” เวินหลานฉีลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลยจริงๆ ช่วงนี้เธออุทิศตัวเองให้กับงานอย่างเดียวจริงๆ นั่นแหละ
“ดูสิ คุณคงลืมไปแล้วละมั้ง ผมเสียใจสุดๆ เลยนะ!” ฮั่วฉินเยี่ยนแสร้งพูดด้วยท่าทีเศร้าโศก
“อาเยี่ยน…ฉันไม่ได้ตั้งใจ…” เรื่องนี้ตนละเลยชายตรงหน้าคนนี้เกินไปแล้วจริงๆ
“ฉีฉี คุณรู้ไหม ความจริงผมหึงมากเลยนะ!” อยู่ๆ ฮั่วฉินเยี่ยนก็โพล่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“หึง? หึงอะไร” เธอรู้ฮั่วฉินเยี่ยนคนนี้เป็นคนขี้หวงมากๆ เขาไม่ชอบให้เธอกับชายคนอื่นแตะเนื้อต้องตัวกันเกินควร เธอจึงไม่เคยสนิทชิดเชื้อกับชายคนอื่นเกินไปเลย ทุกอย่างถูกควบคุมอยู่ภายในขอบเขตเท่านั้น หนำซ้ำช่วงนี้ตนก็ไม่ได้คบค้าอะไรกับเพื่อนต่างเพศเลยด้วยนะ!
“ฉีฉีทุกวันนี้คุณอยู่แต่กับงาน จนลืมผมไปแล้ว!” ฮั่วฉินเยี่ยนฟ้อง
เวินหลานฉีเพียงรู้สึกเหมือนฟ้าผ่าลงกลางหัว ชายตรงหน้าคนนี้ออดอ้อนอยู่จริงๆ ใช่ไหม เธอคิดว่าตัวเองต้องเหนื่อยเกินไปแน่ๆ ถึงได้มีภาพหลอนแบบนี้
“ฉีฉี ดูสิ คุณไม่สนใจผมเลยนี่นา!” ฮั่วฉินเยี่ยนฟ้องต่อ ถึงขนาดยังทำหน้ามุ่ยอีกต่างหาก
คราวนี้เวินหลานฉีตบหน้าอกฮั่วฉินเยี่ยนไปฉาดหนึ่ง “คุณอย่ามาใช้มุกนี้นะ คิดไม่ถึงเลยว่าคุณโตขนาดนี้แล้วยังจะมาทำอ้อนอยู่อีก! ถ้าบอกไปใครเขาจะเชื่อว่าคุณคือประธานฮั่วล่ะ!” นั่นสิ หนุ่มคนนี้ ยิ่งคุณอยู่กับเขามากเท่าไร คุณจะพบว่าภายใต้ท่าทางเย็นชาของเขานั้น ยังมีจิตใจโรแมนติกได้ขนาดนี้!
“ฮือๆ คุณยังตีผมอีก!” ฮั่วฉินเยี่ยนเล่นลูกไม้อย่างหน้าด้านๆ ต่อ
“คุณเสแสร้งใส่ฉันอีกสิ หลังจากนี้คุณจะได้ไปนอนโซฟา!” เวินหลานฉีหนังตากระตุกอยู่ตลอด และพูดอย่างแค้นเคือง
เป็นไปดังคาด ทันทีที่เวินหลานฉีพูดประโยคนี้จบ ประธานฮั่วก็ว่านอนสอนง่ายขึ้นมาเลย
บนโลกนี้สิ่งหนึ่งย่อมข่มอีกสิ่งหนึ่งจริงๆ เลยนะ!
หลังจากนั้นทั้งสองคนยังคงคิดใคร่ครวญ เกี่ยวกับหน้าที่การงานอันยุ่งเหยิงของพวกเขาอย่างจริงจัง ปัญหานี้รุนแรงมาก อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นสามีภรรยากัน ถึงแม้ตอนนี้พวกเขาไม่มีอะไรต้องพูดคุยกัน ก็นับว่ายังไม่เป็นไร แต่หากนานไประหว่างพวกเขาต้องเกิดความขัดแย้งกัน เพราะเรื่องพวกนี้แน่นอน นั่นถือเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อยากจะเห็นมันเอาเสียเลย
สุดท้ายเวินหลานฉีก็รับปากกับฮั่วฉินเยี่ยน ว่าต่อจากนี้จะไม่สนใจแต่งานโดยไม่สนใจเขาอีกเด็ดขาด พวกเขาสัญญากันว่าหลังจากนี้ตอนเย็นกลับบ้านได้ดึกสุดไม่เกินสองทุ่ม ส่วนกลางวันหากมีเวลาก็จะนัดอีกฝ่ายออกไปกินข้าวด้วยกัน สุดสัปดาห์ก็ต้องแบ่งเวลาให้กันบ้าง
หลังจากทั้งสองคนหารือกันเสร็จแล้ว เวินหลานฉีก็ถูกฮั่วฉินเยี่ยนจับขึงอยู่ใต้ร่างแบบนี้แบบนั้นตลอดทั้งคืน
เช้าวันต่อมาทันทีที่เวินหลานฉีเข้าบริษัท และนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เพื่อเตรียมจะสะสางงาน ก็มีคนเคาะประตูห้องทำงานของเธอดังขึ้น ดอกกุหลาบสีเหลืองช่อใหญ่ที่เธอชอบที่สุดถูกยื่นเข้ามา
เสี่ยวจิ่วเลขาของเธอร้องตะโกน ท่าทางอย่างกับอุ้มแตงไว้ในมือ “พระเจ้าๆ บอสคะ คุณมีความสุขเกินไปแล้ว! หืม เนี่ยข้างบนยังมีการ์ดมาด้วยนะ เขียนว่าอะไรน้า รีบดูเร็วค่ะ!”
เสี่ยวจิ่วหยิบการ์ดใบหนึ่งจากช่อดอกไม้ออกมาอ่าน “ถึงคุณภรรยาที่ผมรักที่สุดบนโลกใบนี้ การได้พบคุณถือเป็นความสุขมากที่สุดของผมในชีวิตนี้” หลังจากเสี่ยวจิ่วอ่านจบ คนในห้องทำงานต่างก็พากันเอะอะโวยวายขึ้นมา
“บอสคะ สามีของบอสช่างมีอารมณ์สุนทรีย์จริงๆ เลย! บอสมีความสุขมากจริงๆ นะ!”
“บอสคะ วันหลังบอสพาสามีของบอสมาให้เราได้เปิดหูเปิดตาหน่อยสิ!”
“ใช่ๆ หนุ่มที่มีอารมณ์สุนทรีย์ขนาดนี้ต้องหล่อมากแน่ๆ!”
เวินหลานฉีไม่ได้ตอบอะไรกลับไป หากแต่ตั้งแต่ต้นจนจบมุมปากของเธอเจือรอยยิ้มแห่งความสุขอยู่ตลอด
ในเวลานี้เองสายจากฮั่วฉินเยี่ยนก็โทรเข้ามาพอดี
“ได้รับดอกไม่หรือยัง ชอบไหม” ฮั่วฉินเยี่ยนยืนอยู่ริมหน้าต่าง หลังจากผ่านการปรึกษาหารือเมื่อคืน ตอนนี้เขาอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นรู้สึกว่าอากาศครึ้มฝนข้างนอกนั้นดีเป็นพิเศษด้วยซ้ำ
“อืม ได้รับดอกไม้แล้ว สวยมากด้วย ฉันชอบมาก ขอบคุณนะ” เวินหลานฉีพูดเจือรอยยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นไม่ทราบว่า ผมมีเกียรติพอที่จะเชิญคุณเวินคนสวยมาร่วมรับประทานอาหารเที่ยงบ้างไหมครับ”
“โอ้ บังเอิญจังเลยค่ะ ฉันกับเสี่ยวจิ่วนัดกันไว้แล้วว่าเที่ยงนี้จะไปกินข้าวด้วยกันน่ะ!”
ทันทีที่เวินหลานฉีพูดจบ เสี่ยวจิ่วชะโงกหน้าเข้ามาทันที “บอส บอสคะ ฉันโอเค ไม่ต้องห่วงฉันก็ได้ คุณไปเป็นเพื่อนประธานฮั่วเถอะ!”
เสี่ยวจิ่วนั้นเคยเจอประธานฮั่วอยู่บ้าง และเธอก็รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเวินหลานฉีกับฮั่วฉินเยี่ยนดี
“คุณเวิน ผมได้ยินนะ ตอนนี้ผมเชิญคุณมาร่วมทานอาหารเที่ยงด้วยกันได้หรือยังครับ”
“แต่ฉันยังมีงานที่ต้องสะสางอีกเยอะเลยนะ!”
“ประธานเวิน ต่อให้คุณยุ่งแค่ไหน ก็ต้องกินข้าวนะ!”
“คุณฮั่วคะ จะจีบสาวสักคนต้องอดทนหน่อยสิคะ”
เสียงหัวเราะของทั้งสองคนดังคลอออกมาจากโทรศัพท์พร้อมกัน แถมตอนนี้แสงอาทิตย์ยังสาดส่องทะลุชั้นเมฆเข้ามาอีกต่างหาก จนรู้สึกอบอุ่นเป็นพิเศษ
“เพื่อไม่ให้คุณฮั่วคนหล่อต้องผิดหวังฉันก็จะน้อมรับคำเชิญด้วยใจจริงแล้วกันค่ะ ฉันจะเปลี่ยนตารางงานของฉันเพื่อไปตามนัดของคุณ คุณฮั่วรู้สึกเป็นเกียรติอย่างสุดซึ้งไหมละคะ!”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยครับ!”
“งั้นเจอกันตอนเที่ยงค่ะคุณฮั่ว”
“ครับ เที่ยงนี้เจอกัน!”