ตอนที่ 129 วันอันแสนสุข

พ่ายรักวิวาห์ลวง

เวินหลานฉีวางสายโทรศัพท์ แล้วยื่นมือมาปิดปากที่อ้าค้างของตัวเอง ในใจรู้สึกดีมาก เพราะความรักของเธอมอบให้ฮั่วฉินเยี่ยนไปหมดแล้ว ทั้งความเขลา ความไร้เดียงสา และความสุขของเธอล้วนเกี่ยวพันกัน จนแยกจากชายหนุ่มชื่อฮั่วฉินเยี่ยนคนนี้ไม่ออกเลย

 

 

เธอรักเขาอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อก่อนเธอเองก็เคยลังเล เธอขี้กลัว จริงๆ แล้วเธอกลัวเจ็บเป็นพิเศษ เธอกลัวจะได้รับบาดเจ็บจากฮั่วฉินเยี่ยนตรงนี้อีก หากแต่ตอนนี้ฮั่วฉินเยี่ยนได้ทำให้เธอเห็นแล้วว่าเขานั้นจริงใจ แล้วเธอยังมีอะไรต้องกลัวอีกล่ะ

 

 

แสงอาทิตย์ดีงามขนาดนี้ ช่างเหมาะกับการนัดพบ ทานข้าว ออกเดตกันจริงๆ และคนแต่งงานแล้วอย่างเธอก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนจองร้านอาหารละแวกบริษัทของเวินหลานฉีไว้ในตอนเที่ยง ทั้งสองพูดคุยกันอย่างออกรส ราวกับเป็นช่วงโปรโมชั่นอีกครั้งอย่างไรอย่างนั้น พอถึงคราวต้องจากลากัน ฮั่วฉินเยี่ยนก็จูบเวินหลานฉีอย่างดูดดื่ม ถึงจะปล่อยเวินหลานฉีกลับบริษัทได้เสียที

 

 

ทว่าทันทีที่เวินหลานฉีกลับมาถึงออฟฟิศ ก็เจอคนในบริษัทต้อรับด้วยสายตาคลุมเครือ แม้เธอจะมีความสุขมาก แต่ก็กระดากอายอยู่บ้างเหมือนกัน เธอจึงกลับห้องทำงานของตัวเองอย่างรีบร้อน และเตรียมตัวจะทำให้ตัวเองนั้นดูยุ่งสักหน่อย

 

 

ใครจะไปรู้ว่าเลขาเสี่ยวจิ่วจะค่อยๆ เดินเข้ามา แล้วทำทีพูดอย่างเคร่งขรึมทันที “ตั้งใจทำงานนะคะ เวลานี้ไม่อนุญาตให้นินทากัน!”

 

 

“บอสคะ ความจริงที่ฉันมาเพราะมีเรื่องอยากจะคุยด้วย” ใบหน้าของเสี่ยวจิ่วไม่ได้มีสีหน้าร่าเริงอย่างก่อนหน้านี้แล้ว

 

 

“เรื่องอะไรเหรอ” เวินหลานฉีเอ่ยถามอย่างแปลกใจ

 

 

“ฉัน…ฉันว่าจะ…ลาออก…” เสี่ยวจิ่วละล้าละลังจนพูดออกมาในที่สุด

 

 

“ลาออก? ทำไมล่ะ” เวินหลานฉีแปลกใจมาก เสี่ยวจิ่วเป็นคนอยู่ข้างกายเธอ ตั้งแต่เวินหลานฉีเพิ่งเริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวในช่วงแรก ตอนนั้นเพราะเวินหลานฉีต้องคบค้าสมาคมอะไรต่างๆ บางครั้งการดื่มเหล้าก็ยากจะเลี่ยง แต่ความสามารถในการดื่มสุราของเธอดันไม่ค่อยดีนัก ตอนนั้นเสี่ยวจิ่วจึงมีหน้าที่ขัดขวางการดื่มเหล้าให้เธอ

 

 

เสี่ยวจิ่วต้องเข้าโรงพยาบาลหลายครั้งเพราะดื่มเหล้า หากแต่เสี่ยวจิ่วเด็กคนนี้เป็นคนจริงใจเป็นพิเศษ เธอเป็นคนตรงไปตรงมา มีอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้น แถมยังเป็นเด็กละเอียดรอบคอบอีกต่างหาก เรื่องที่เธอมอบหมายให้อีกฝ่ายทำ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่เธอมักจะทำสำเร็จตลอด จนพูดได้ว่าเสี่ยวจิ่วเป็นผู้ช่วยมากความสามารถของเธอเลยก็ว่าได้ มาวันนี้เธอกลับบอกว่าจะไม่ทำแล้ว เวินหลานฉีจึงรู้สึกรับไม่ค่อยได้เท่าไรนัก

 

 

เสี่ยวจิ่วเอ่ยพูดด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ “บอสคะ ฉันก็ไม่อยากจากไปไหน แต่ว่า…” เสี่ยวจิ่วไม่ได้พูดต่อ เวินหลานฉีมองท่าทางไม่สบายใจของเธอแล้ว ในใจก็ทุกข์ใจยิ่งนัก เสี่ยวจิ่วเป็นเด็กสาวร่าเริงแจ่มใสคนหนึ่ง ไม่ได้ปั้นหน้าตามมาตรฐานเลขาตลอดเวลาเหมือนอย่างเลขาคนอื่น ตอนเธอเอาเสี่ยวจิ่วมาทำงานเลขาแรกๆ หลายคนต่างคัดค้าน ด้วยคิดว่าเสี่ยวจิ่วไม่สุขุมพอที่จะรับผิดชอบตำแหน่งเลขานี้ หากแต่ในความเป็นจริงเสี่ยวจิ่วทำงานดีมาก เธอถึงขั้นทำงานดีกว่าเลขาของคนอื่นด้วยซ้ำ ตลอดสองปีมานี้ความรู้สึกส่วนตัวของเธอกับเสี่ยวจิ่วก็เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นมาก ทั้งสองนับถือกันเหมือนพี่สาวน้องสาว พอได้เห็นสีหน้าท่าทางเสี่ยวจิ่ววันนี้ เธอจึงคิดว่าเสี่ยวจิ่วต้องเจอเรื่องอะไรที่พูดยากแน่เลย

 

 

เวินหลานฉีไม่ได้ถามอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องของเสี่ยวจิ่ว และอนุมัติกับการลาออกของเธอ

 

 

“เสี่ยวจิ่ว ต่อไปนี้ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็มาหาได้นะ เธอบอกฉันได้เลย ฉันจะช่วยเธอแน่นอน!” เวินหลานฉีพูดกับเสี่ยวจิ่วอย่างจริงจัง

 

 

“รับทราบค่ะบอส!” เวลานี้เสี่ยวจิ่วร้องไห้น้ำตาคลอ เวินหลานฉีจึงกอดเสี่ยวจิ่วปลอบโยนเธอ

 

 

หลังจากปลอบโยนเสี่ยวจิ่วเสร็จ ก็ให้คนไปรับสมัครเลขาใหม่ จากนั้นเวินหลานฉีถึงได้กลับไปพักผ่อนที่ห้องทำงานสักหน่อย

 

 

ทว่านึกไม่ถึงว่าเสียงโทรศัพท์จะดังขึ้นมาในเวลานี้ เบอร์นี้เป็นเบอร์จากต่างประเทศชัดๆ ในใจเวินหลานฉีรู้สึกดีใจ รีบรับโทรศัพท์ทันที

 

 

เสียงผู้ชายสบายๆ ดังลอดมาจากปลายสาย “ฉี ช่วงนี้สบายดีไหม”

 

 

“ฉันสบายดี นายสบายดีไหม นี่คิดจะกลับจีนหรือยัง” เวินหลานฉีถามพลางยิ้ม

 

 

คนโทรมาคือจิ่งหลาน ซึ่งเธอรู้จักตอนอยู่ต่างประเทศนั่นเอง ตอนนั้นเธอไม่ค่อยคุ้นชินกับชีวิตในต่างประเทศสักเท่าไร ถึงขนาดมีอุปสรรคด้านภาษา แต่ก็ได้จิ่งหลานช่วยเธอทั้งหมด เธอสัมผัสเจตนาดีและความอ่อนโยนได้จากเขา จิ่งหลานเป็นคนน่าคบหามากคนหนึ่ง การคบค้ากับเขาทำให้สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยน

 

 

“ใช่ ก็คิดว่าจะกลับจีนนั่นแหละ พี่ใหญ่โทรมาตื๊อให้ฉันกลับไปทั้งวันเลยล่ะ!” ปลายสายจิ่งหลานพูดอย่างอ่อนโยน

 

 

เวินหลานฉีถึงกับใจเต้น จิ่งหลานเคยบอกว่าเขาไม่อยากสอดมือเข้าไปยุ่งกับตระกูล แม้ตอนนี้พี่ใหญ่จะเป็นพี่ชายร่วมสายเลือดของเขา และตั้งใจเลี้ยงดูเขามากก็ตาม แต่เขายังไม่อยากสอดมือไปยุ่ง เพราะถึงตอนนั้นถ้าความผูกพันของสองพี่น้องมีปัญหากันเพราะเรื่องเงิน คงได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ

 

 

“จิ่งหลาน กลับมาครั้งนี้ นายคิดจะไปช่วยพี่ใหญ่นายไหม”

 

 

“ตอนนี้ยังไม่มีแพลนนี้เลย” จิ่งหลานพูด ความจริงเขากลับมาครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เพราะพี่ใหญ่เท่านั้น เหตุผลหลักเพราะเวินหลานฉีผู้อยู่ปลายสายนั่นต่างหาก

 

 

“งั้นนายสนใจมาช่วยฉันไหมล่ะ” เวินหลานฉีเอ่ยถาม

 

 

“ได้อยู่แล้วสิ เธออยากให้ฉันทำอะไรล่ะ” กำลังอยากอยู่พอดีเลยล่ะ

 

 

“เลขาของฉันเพิ่งลาออกไปอะ ตอนนี้ข้างกายฉันขาดผู้ช่วยไปคนหนึ่ง” ความสามารถของจิ่งหลานนั้นไม่มีข้อกังขาเลย ตอนเขาศึกษาอยู่ต่างประเทศ แล้วเธอมีปัญหาไม่เข้าใจตรงไหน ก็จะไปขอคำแนะนำจากจิ่งหลานตลอด ถึงแม้เธอกลับจีนมาแล้ว ตอนเพิ่งเข้ามาดูแลจัดการช่วงแรกๆ เธอก็วิดีโอคอลกับจิ่งหลานอยู่บ่อยๆ

 

 

แค่ได้อยู่เคียงข้างเวินหลานฉี ได้ช่วยเหลือเธอ จิ่งหลานก็เต็มใจอย่างยิ่ง เขารับปากอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย โดยลืมเรื่องที่เขารับปากพี่ใหญ่ไว้ในตอนแรกเสียสนิท นับว่าเป็นคนเห็นผู้หญิงดีกว่าพี่น้องอย่างแท้จริงเลยนะ

 

 

พอหาทางออกเรื่องเลขาได้แล้ว เวินหลานฉีก็อารมณ์ดีขึ้น ช่วงบ่ายเธอเลิกงานตรงเวลา ซ้ำยังให้พนักงานทั้งหมดของบริษัทได้ลาพักผ่อนอีกต่างหาก

 

 

ทุกคนต่างรู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างมาก จากนั้นก็รวมตัวกันตั้งวงนินทาอีกครั้ง เลิกงานเร็วขนาดนี้จะกลับบ้านไปใช้เวลาอยู่กับสามีใช่ไหมนะ!

 

 

เวินหลานฉีบอกลาพวกเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แล้วกดโทรออกหาฮั่วฉินเยี่ยนในรถ “ประธานฮั่วเลิกงานหรือยังคะ”

 

 

“ประธานเวินเลิกงานแล้ว ผมจะไม่เลิกงานได้ยังไงล่ะ”

 

 

“งั้นสาวน้อยอย่างฉันจะได้รับเกียรติไปรับท่านประธานฮั่วเลิกงานไหมนะ”

 

 

“คุณภรรยาครับ คุณเกรงใจเกินไปแล้ว สามีอดใจรอไม่ไหวแล้ว!”

 

 

ทั้งสองคนวางสายจากกัน เวินหลานฉีวันนี้ทั้งวันเธออารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะไม่ว่าเรื่องอะไรก็ถูกอกถูกใจเธอไปหมด อารมณ์ก็ลิงโลดด้วยความดีใจเป็นพิเศษ เธอขับรถมาถึงบริษัทของฮั่วฉินเยี่ยน เธอเห็นเงาร่างสูงยืนตระหง่านอยู่ที่ไกลๆ

 

 

ต่อให้ห่างไกลกันแค่ไหน เวินหลานฉีก็พลอยยิ้มขึ้นมาได้

 

 

“คุณภรรยา ผมหิวแล้ว” ฮั่วฉินเยี่ยนเดินมาถึงก็ทิ้งตัวลงนั่งไขว่ห้างบนโซฟา อย่างกับเจ้านายออกคำสั่งกับเวินหลานฉี

 

 

เวินหลานฉีวางกระเป๋าในมือลง เหล่ตามองเขา หากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา กลับผูกผ้ากันเปื้อนแล้วเดินเข้าครัวไป

 

 

เธอลงมือทำบะหมี่ราดซอสเป็นอาหารง่ายๆ แต่อาหารที่เธอทำไม่ว่าจะอร่อยหรือไม่อร่อย ฮั่วฉินเยี่ยนก็จะยกยอปอปั้นกินจนหมดเกลี้ยงเป็นพิเศษ

 

 

ขณะที่เธอเก็บกวาดโต๊ะ ก็เห็นฮั่วฉินเยี่ยนนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาอย่างสบายอกสบายใจ ส่วนเธอเองก็พลอยรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจมากเช่นกัน ได้เห็นคนที่ตนรักพอใจอาหารที่ตนทำเอง ถือเป็นเรื่องสุขใจเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

 

 

ตอนเวินหลานฉีล้างชามกับตะเกียบอยู่ในครัว ฮั่วฉินเยี่ยนก็เดินเข้ามายืนพิงกรอบประตู มองแผ่นหลังอันนุ่มนวลเพียบพร้อมของเวินหลานฉีในครัว เขายืนมองแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น หากแต่พอเขามองไปมองมา ในใจก็มีความคิดอื่นผุดขึ้นมา

 

 

“วันนี้เสี่ยวจิ่วลาออกแล้ว”

 

 

“อือ” ฮั่วฉินเยี่ยนชอบขบกัดบริเวณลำคอของเวินหลานฉียิ่งนัก ลำคอนั้นเรียวสวยราวกับหงส์ก็มิปาน

 

 

“ไม่อยากทำแล้ว”

 

 

“ฮะ?” เขาหยุดการกระทำลงอย่างอึ้งๆ

 

 

เวินหลานฉีเข้าใจได้ในทันทีว่าฮั่วฉินเยี่ยนน่าจะเข้าใจผิด เธอจึงรีบร้อนอธิบาย “ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากทำอันนี้! ฉันหมายความว่าเสี่ยวจิ่วไม่อยากทำเพราะ…”

 

 

พูดยังไม่ทันจบ เธอก็ต้องอายจนหน้าแดง ตัวเองพูดมั่วอะไรออกไปเนี่ย ทำอย่างกับว่าตนอยาก…เป็นพิเศษ

 

 

เธอได้ยินเสียงหัวเราะล้อเลียนของฮั่วฉินเยี่ยนดังลอยมาข้างหู ปลายลิ้นของเขาลากผ่านลำคอของเธออย่างคล่องแคล่ว นำพาความรู้สึกซ่านเสียวแล่นริ้วขึ้นมา “คุณอยากทำมากเลยเหรอ หืม?”

 

 

เขาพูดไปพลาง มือใหญ่ก็เริ่มปัดป่ายไปตามเนื้อตัวของเธอ ทุกที่ที่เขาลากผ่านได้จุดประกายไฟขึ้น

 

 

“ฮั่วฉินเยี่ยน! เลิกพูดเดี๋ยวนี้นะ! น่าอายจริง!”

 

 

“มีอะไรน่าอายกัน คุณพูดออกมาเองจากใจจริงว่าคุณอยาก ผมเลยต้องให้รางวัลคุณไงล่ะ…” มือใหญ่ นวดคลึงอย่างแผ่วเบาและนุ่มนวล ผ่านเสื้อผ้าเนื้อบางที่ขวางกั้นร่างกายอวบอิ่มของเธอ จนเธอทนไม่ไหวส่งเสียงครางออกมา จากนั้นฮั่วฉินเยี่ยนก็ประกบปากจูบเธอทันที ปลายลิ้นยาวกวาดชิมความหวานหอมในโพรงปากของเธอ

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนอุ้มเวินหลานฉีวางบนเคาน์เตอร์ครัวด้านหลัง ตั้งแต่กลับมาถึงบ้าน ส่วนล่างของเวินหลานฉีสวมเพียงกางเกงขาสั้นตัวน้อยตัวเดียวเท่านั้น และเวลานี้ก็ถูกความเย็นของเคาน์เตอร์แตะสัมผัสจนต้องสะดุ้ง แต่ฮั่วฉินเยี่ยนกลับไม่ปล่อยเธอโดยสิ้นเชิง นิ้วมือค่อยๆ ถอดเสื้อของเธอออกอย่างเบามือ แล้วขบเม้มเรือนร่างอวบอิ่มของเธอไปทีหนึ่ง ไม่เจ็บ แค่รู้สึกคันๆ เท่านั้น ส่วนอีกมือก็ถอดกางเกงขาสั้นตัวบางของเธอออก ข้างในนั้นเวินหลานฉีไม่ได้สวมอะไรเลย

 

 

“ฉีฉี คุณคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่เช้าแล้วใช่ไหมเนี่ย ข้างในถึงได้ไม่ใส่อะไรเลย” ฮั่วฉินเยี่ยนพูดล้อ

 

 

“คุณหุบปากไปเลย อยากทำก็รีบทำ!” เวินหลานฉีกระดากอายอยู่บ้าง ทุกครั้งที่อยากทำเรื่องแบบนี้ ฮั่วฉินเยี่ยนจะหยาบคายมากกว่าปกติ แล้วคำพูดจากปากของเขาก็จะไร้ความเกรงใจเป็นพิเศษ

 

 

“ดูท่าฉีฉีอยากให้ทำเร็วหน่อยสินะ งั้นสามีจัดให้!” ฮั่วฉินเยี่ยนพูดไปพลาง มือก็พลอยรั้งเอวบางของเวินหลานฉีเข้ามา ส่วนอีกมือหนึ่งก็ปลดกางเกงของตนเองออกอย่างรีบร้อน แล้วแทรกตัวไปยืนระหว่างขาทั้งสองข้างของเธอ ออกแรงดันมันเข้าไป

 

 

ทั้งสองส่งเสียงครางออกมา ท่านี้ทำให้ฮั่วฉินเยี่ยนเข้าไปได้ลึกกว่าปกติ แม้ข้างล่างจะเป็นเคาน์เตอร์ครัวอันเย็นเฉียบก็ตาม แต่ร่างกายส่วนบนกลับร้อนผะผ่าว รสชาตินี้แม้จะทำให้เวินหลานฉีไม่สบายตัว หากแต่ก็มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

 

 

เวินหลานฉีกัดริมฝีปากล่าง “อาเยี่ยน เราเข้าห้องนอนกันดีกว่าไหม ห้องครัวมัน…เดี๋ยวมีคนเห็น…ไม่ค่อยดี…อ๊ะ…คุณทำอะไรน่ะ…อืม…อย่า…” ห้องครัวนั้นติดกับห้องของเพื่อนบ้าน จนเธอถึงขนาดไม่กล้าร้องออกมาเสียงดัง แต่ก่อนหน้านี้เธอไม่พูดออกมาก็ดี เพราะพอพูดออกมาก็รู้สึกว่าส่วนนั้นของฮั่วฉินเยี่ยนขยายใหญ่ขึ้น และหมุนควงอยู่ภายในไม่หยุด หนำซ้ำสายตาฮึกเหิมแดงก่ำ การกระทำก็เร็วกว่าเดิม และหยาบคายกว่าเดิม

 

 

เสียงลมหายใจของทั้งสองดังถี่กระชั้นไปทั้งห้องครัวขนาดเล็กนี้ เสียงหนึ่งนุ่มนวลบางเบา ส่วนอีกเสียงหนึ่งทั้งห้าวและหนักแน่น ร่างกายทั้งสองแนบชิดกันอย่างแนบแน่น ในตอนนี้เองแสงไฟจากห้องข้างๆ ก็สว่างโร่ขึ้นมา เวินหลานฉีรู้สึกตื่นเต้นจนส่วนนั้นบีบรัดแน่นกว่าเดิม ฮั่วฉินเยี่ยนที่ไม่ได้เตรียมป้องกันไว้จึงถูกเธอรัดแน่นไปด้วยเช่นกัน โดยไม่ทันควบคุมเพียงชั่ววูบเขาก็กอดเธอแน่น คำรามเสียงต่ำปลดปล่อยออกมา