ตอนที่ 130 จิ่งหลานกลับมาแล้ว

พ่ายรักวิวาห์ลวง

พวกเขาทั้งสองคนโอบกอดกัน จนได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากห้องข้างๆ อย่างชัดเจน

 

 

เวินหลานฉีรู้สึกอายแทบตายจริงๆ เธออยากออกแรงดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดของฮั่วฉินเยี่ยน ทว่านึกไม่ถึงว่าเพราะความตื่นเต้นจะทำให้เธอบีบรัดรุนแรงกว่าปกติเสียอีก ฮั่วฉินเยี่ยนถูกผนังนุ่มร้อนผ่าวของเธอตอดรัดแน่นเป็นจังหวะ เดิมทีอารมณ์กระสันอยากนั้นมอดดับไปแล้ว หากแต่เวลานี้กลับลุกโหมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เวินหลานฉีรู้สึกว่าเสียงพูดคุยของเพื่อนบ้านฟังดูชัดเจนเกินไปจริงๆ แล้วถ้าเกิดทางนี้มีเสียงขึ้นมาเพียงนิด ทางนั้นเองก็คงได้ยินชัดเจนเช่นกัน ดังนั้นเธอจึงขัดขืนฮั่วฉินเยี่ยน และใช้สายตาบอกฮั่วฉินเยี่ยนเป็นนัยว่าให้หยุดแค่พอหอมปากหอมคอก็พอ ทว่าไม่นึกเลยว่าเธอที่เพิ่งจะถูกฮั่วฉินเยี่ยนทะนุถนอมมาก่อนนั้น เวลานี้สีหน้าและแววตางดงามจนมองได้ไม่รู้เบื่อ สายตายั่วยวนอย่างไม่ปิดบังคู่นั้นจ้องลึกเข้ามาในตาของฮั่วฉินเยี่ยน

 

 

ทันทีที่ฮั่วฉินเยี่ยนรู้สึกฮึกเหิม ก็ส่งส่วนนั้นทิ่มพรวดเข้าไปในกายของเวินหลานฉี ส่วนเวินหลานฉีที่ไม่ได้เตรียมตัวแม้แต่น้อยจึงถูกเติมเต็มในทันที เธอโน้มคอของฮั่วฉินเยี่ยนลงมา ขาเรียวยาวทั้งสองเกาะเกี่ยวเอวสอบของฮั่วฉินเยี่ยนไว้ ถึงอยากจะร้องออกมาแค่ไหนก็ไม่กล้าส่งเสียงร้องออกมาอยู่ดี แต่ฮั่วฉินเยี่ยนดันรู้สึกถึงความตื่นเต้นของเธอ เขาจึงยิ่งส่งแรงกระแทกกระทั้นเธอแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวินหลานฉีได้ยินเสียงดังพั่บๆๆ เลยกัดริมฝีปากตัวเองแน่น หากแต่ฮั่วฉินเยี่ยนกลับส่งยิ้มชั่วร้ายให้เธอ จากนั้นก็กระแทกกระทั้นจุดไวสัมผัสของเธอเข้าไปอีก จนเวินหลานฉีทนไม่ไหวส่งเสียงครางดังลั่นออกมา

 

 

จากนั้นเสียงพูดคุยของเพื่อนบ้านก็เงียบไปประมาณอึดใจ เหมือนจะมีใครสักคนกำลังถาม ว่าเสียงประหลาดเมื่อสักครู่นี้ดังมาจากไหน

 

 

เวินหลานฉีอายจนคิดว่าหลังจากนี้คงต้องเดินหลบคนบ้านนั้นแล้ว เพราะถ้าเจอพวกเขาเข้า เธอต้องอายจนอยากหาอุโมงค์แล้วมุดเข้าไปแน่เลย แต่ตอนนี้เธอดันตื่นเต้นมาก จนผนังนุ่มด้านล่างตอดรัดฮั่วฉินเยี่ยนแน่น ฮั่วฉินเยี่ยนรู้สึกถึงปฏิกิริยาในช่องท้องวูบหนึ่ง จึงรีบเก็บอาการสำรวมจิตใจ รั้งเอวของเวินหลานฉีเข้ามากระชับแน่น แล้วส่งแรงเฮือกสุดท้ายพุ่งเข้าเส้นชัยไป เขาครางฮึมปลดปล่อยทุกหยาดหยดเข้าไปในตัวของเวินหลานฉี

 

 

เวินหลานฉีซบแผงอกของฮั่วฉินเยี่ยนอย่างอ่อนยวบ ฮั่วฉินเยี่ยนอุ้มเวินหลานฉีในท่าเจ้าสาวไปห้องน้ำ และจัดการอาบน้ำให้เธอ แต่ในเวลานั้นก็จับเธอกินทั้งข้างในและข้างนอกอีกครั้ง ตัวของเวินหลานฉีแดงเถือกไปทั้งตัวตั้งแต่ออกมาจากห้องอาบน้ำ เธอถูกฮั่วฉินเยี่ยนอุ้มกลับมาในห้องนอนอย่างอ่อนแรง เวินหลานฉียื่นนิ้วขาวผ่องเรียวยาวไปจิ้มแผงอกแกร่งของฮั่วฉินเยี่ยน เธอไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมคนนั่งอยู่แต่ในห้องทำงานทุกวันเหมือนเธออย่างฮั่วฉินเยี่ยนถึงมีกล้ามหน้าอกแข็งแรงขนาดนี้ แล้วทำไมตนถึงไม่มีบ้าง ถ้ามีเหมือนกันละก็ ตนยังจะโดนฮั่วฉินเยี่ยนจับกินจนแทบตายแบบนี้อยู่ไหม

 

 

แต่ถ้าเธอมีกล้ามหน้าอกออกมาแบบนี้ละก็ เธอไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ !

 

 

คืนนี้คงหลับฝันดีทั้งคืน

 

 

“ฉีฉีตื่นได้แล้ว แดดส่องก้นแล้วนะ” เช้าวันต่อมาฮั่วฉินเยี่ยนเป็นฝ่ายตื่นขึ้นมาก่อน เขาทำอาหารเช้าเสร็จแล้วถึงมาปลุกเวินหลานฉีให้ตื่นนอน

 

 

“อือ” เวินหลานฉีหลับตาอยู่ หากแต่ก็ยื่นมือไปโน้มคอฮั่วฉินเยี่ยนเข้ามา ผ้าห่มลื่นไหลตกลงมาจากตัวของเธอ ภายใต้ผิวเนื้อขาวดุจหิมะแรกของฤดูหนาวนั้นมีรอยจ้ำประปราย ทันทีที่ฮั่วฉินเยี่ยนเห็นถึงกับต้องเก็บสายตาอย่างลับๆ

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนก้มลงไปจูบเวินหลานฉี ตอนแรกก็เป็นเพียงแค่จูบอรุณสวัสดิ์ยามเช้าตื้นๆ เท่านั้น แต่ใครเล่าจะรู้ว่าฮั่วฉินเยี่ยนกลับประทับจูบลงไปอย่างไม่รู้จักพอ จูบนี้ยิ่งลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ มือใหญ่ของฮั่วฉินเยี่ยนเองก็พลอยลูบไล้ไปตามรอยจ้ำสีแดงบนร่างกายขาวเนียนดุจหิมะตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ “อือ วันนี้ไม่ต้องลุกจากที่นอนเลยดีไหม ผมก็ไม่ไปทำงานด้วย” ฮั่วฉินเยี่ยนเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่าชิดใบหูของเวินหลานฉี น้ำเสียงนั้นทุ้มต่ำเซ็กซี่และน่าหลงใหล

 

 

“ฉันมีนัด…” เวินหลานฉีที่เกือบตกปากรับคำ พลันนึกขึ้นได้ว่าวันนี้จิ่งหลานจะกลับมาจากต่างประเทศแล้ว

 

 

“ไม่ต้องไป” มือของเขาจุดประกายไฟบนเรือนร่างของเธอ เขาพูดอย่างพาลๆ ทั้งยังโน้มกายลงมาหมายจะคร่อมเวินหลานฉี

 

 

“ไม่ได้!” ใครจะรู้ว่าเวินหลานฉีจะกลิ้งไปอีกฝั่งหนึ่งของเตียงทันควัน เขาได้แต่คว้าน้ำเหลว ไม่ได้คร่อมเธอ

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนโมโหจนพูดไม่ออก บอกไม่ถูก “ยัยปีศาจจอมยั่ว พอลิ้มชิมรสหวานแล้วคิดจะหนีเหรอ มันง่ายขนาดนั้นเสียที่ไหน” เขาจงใจทำทีขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ยื่นมือไปคว้าเวินหลานฉีเข้ามาในอ้อมกอด เล็งจุดอ่อนไหวของเธอแล้วก็เริ่มจั๊กจี้ทันที

 

 

เวินหลานฉีหลบหลีกมือของเขา เธอกลัวการจั๊กจี้ที่สุด พอถูกฮั่วฉินเยี่ยนแกล้งแบบนี้แล้ว เธอถึงกับน้ำตาไหลออกมาจนรีบขอให้เขายกโทษให้ ทว่ากลับยังโดนฮั่วฉินเยี่ยนกดลงใต้ร่างแล้วกินอีกครั้ง

 

 

กว่าฮั่วฉินเยี่ยนจะพึงพอใจทั้งทางร่างกายและจิตใจ ก็จวนใกล้เวลาเข้างานเสียแล้ว เวินหลานฉีรีบเข้าห้องน้ำไปแต่งหน้าแต่งตัว แต่แล้วพอเห็นตัวเองในกระจก เธอถึงกับโมโหจนเอาแต่ด่าฮั่วฉินเยี่ยนว่าลามกโรคจิต บนลำคอขาวดุจหิมะของเวินหลานฉีมีรอยจ้ำสีแดงอย่างกับผลสตรอเบอรี่เล็กๆ อยู่สองจุด ซึ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจน แล้วนี่จะให้เธอออกไปเจอคนได้อย่างไรล่ะ! อีกอย่างเธอเป็นถึงประธานของบริษัทอีกด้วยนะ ลูกน้องพวกนั้นคงเอาเรื่องนี้มาล้อเธออีกแน่ๆ

 

 

เวินหลานฉีแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ! ในขณะที่ฮั่วฉินเยี่ยนกลับหัวเราะอย่างชั่วร้าย ใครมันเอาฮั่วฉินเยี่ยนตรงหน้าคนนี้กับฮั่วฉินเยี่ยนผู้เย็นชายามอยู่ต่อหน้าผู้คนมารวมกันได้เนี่ย! นี่มันต่างกันเกินไปหน่อยไหม!

 

 

เวินหลานฉีไม่มีทางเลือก จึงทำได้เพียงหยิบพัฟแต่งหน้าขึ้นมาปกปิดร่องรอยผลสตรอเบอรี่สองรอยนั้น คงไม่สะดุดตาคนไปหรอกมั้ง ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้จิ่งหลานจะกลับมาจากต่างประเทศด้วยเนี่ย ถ้าให้เขาเห็นคงไม่ดีแน่ละนะ!

 

 

“เที่ยงนี้ฉันไม่ไปกินข้าวกับคุณนะ!” เวินหลานฉีกล่าว

 

 

“แล้วคุณจะไปกับใครเหรอ” ฮั่วฉินเยี่ยนแค่ถามไปอย่างนั้น

 

 

“ฉันต้องไปรับเพื่อนคนหนึ่งที่สนามบิน เขากลับมาจากต่างประเทศ แล้วก็เสี่ยวจิ่วลาออกแล้ว ฉันเลยคิดว่าจะให้เขามาทำหน้าที่แทน” เวินหลานฉีไม่ได้บอก ว่าเพื่อนที่เธอต้องไปรับคนนี้เป็นผู้ชายหรือว่าผู้หญิง อีกอย่างเธอกับจิ่งหลานเป็นเพียงเพื่อนกันเท่านั้นจริงๆ ถึงขั้นเป็นความสัมพันธ์ฉันครูกับศิษย์นิดๆ ด้วยซ้ำ อย่างไรเสียช่วงแรกๆ จิ่งหลานก็ช่วยเหลือเธอตั้งมากมาย

 

 

แล้วฮั่วฉินเยี่ยนก็ไม่ได้ถามด้วย เพราะเขาคิดว่าคนที่จะมารับหน้าที่แทนเสี่ยวจิ่วในตำแหน่งนั้นน่าจะเป็นผู้หญิง แม้เขาจะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตอนเวินหลานฉีอยู่ต่างประเทศ เธอก็ยังมีเพื่อนอยู่บ้าง

 

 

เวินหลานฉีพูดกับฮั่วฉินเยี่ยนแค่เพียงเท่านี้ จากนั้นฮั่วฉินเยี่ยนก็ขับรถไปส่งเวินหลานฉีที่บริษัท แล้วขับรถไปบริษัทของตัวเองต่อ

 

 

กลางวัน พอเวินหลานฉีจัดการงานและสั่งงานทั้งหมดเสร็จแล้ว เธอก็เรียกรถไปสนามบินทันที

 

 

เธอรอเครื่องบินอยู่ที่อาคารผู้โดยสารในสนามบินด้วยอารมณ์ดีอกดีใจ

 

 

ทันทีที่เครื่องบินร่อนลงสู่พื้นดิน บรรดาผู้โดยสารก็ทยอยเดินออกมาอย่างยาวเหยียด เวินหลานฉีมองผู้คนที่เดินออกมาอย่างรอบคอบ ความจริงเธอยังคงเฝ้ารอจะพบจิ่งหลานเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่ได้เจอกันมาเกือบจะสองปีได้แล้ว เธอคิดถึงเขามากๆ แต่ดูดีๆ แล้วเธอก็หาเงาของจิ่งหลานไม่เจอเลย ในใจจึงรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก จิ่งหลานบอกเธออยู่ชัดๆ ว่าเขามาเที่ยวบินนี้นี่นา ทำไมไม่เห็นเขาเลยล่ะ

 

 

หากแต่ที่เวินหลานฉีไม่รู้คือจริงๆ แล้วจิ่งหลานมาด้วยเที่ยวบินก่อนหน้านี้ซึ่งได้มาถึงนานแล้ว และเวลานี้เขาก็ยืนอยู่ข้างหลังของเวินหลานฉีนั่นเอง เขาเห็นเวินหลานฉีมาถึงแล้ว แถมยังเห็นเวินหลานฉีมองหาเงาของเขาท่ามกลางฝูงชนอีกต่างหาก เขามองเธออยู่อย่างนั้น เงาของเธอนั้นสลักอยู่ในใจของเขาตั้งนานแล้ว เธอยึดครองตำแหน่งสำคัญที่สุดในใจเขามาตั้งแต่แรก และเพราะเธอ เขาถึงกลับมาครั้งนี้

 

 

เวินหลานฉีล้วงโทรศัพท์ออกมาหมายจะโทรออกหาจิ่งหลาน ขณะที่เธอกำลังจะต่อสายนั้น ดอกยิปโซช่อใหญ่ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ

 

 

เธอเงยหน้าด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าอ่อนโยนดุจหยกของจิ่งหลานสะท้อนสู่ม่านตาของเธอ

 

 

“นายมาถึงตั้งแต่ตอนไหนน่ะ ฉันหานายไม่เห็นเจอเลย!” เวินหลานฉีพูดทั้งรอยยิ้ม

 

 

“ผมมาเที่ยวบินก่อนหน้านี้น่ะ แล้วเมื่อกี้ผมก็ไปซื้อดอกไม้ช่อนี้มาให้ เลยทำให้คุณต้องรอนานเลย คุณชอบไหม” จิ่งหลานเอ่ยพูดอย่างอ่อนโยน “ฉี ผมกลับมาแล้วนะ ดอกไม้ช่อนี้ผมให้คุณเนื่องในโอกาสที่ได้เจอคุณอีกครั้ง ผมดีใจมาก!” จิ่งหลานพูดออกมาจากใจ

 

 

“ได้เจอนายอีกครั้ง ฉันเองก็ดีใจมากเหมือนกัน! ขอบคุณสำหรับดอกไม้ของนายนะ ฉันชอบมาก!” เวินหลานฉียิ้มพลางรับช่อดอกไม้มา แล้วสวมกอดจิ่งหลาน โดยเธอไม่ทันสังเกตว่าตอนจิ่งหลานสวมกอดเธอนั้น ร่างกายกำลังสั่นเทาเล็กน้อย

 

 

“ไปกันเถอะ เดี๋ยวฉันพาไปเลี้ยงของกินอร่อยๆ ถือเป็นการเลี้ยงต้อนรับนาย” เวินหลานฉีเชื้อเชิญ

 

 

ส่วนจิ่งหลานก็รับไว้ด้วยความยินดีปรีดา

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนกลับมาถึงบ้านในตอนเย็น พบว่าบนโต๊ะมีดอกไม้สดช่อหนึ่งวางอยู่ เขาหรี่ตามองแล้วมองอีก พอมาถึงในครัวเวินหลานฉีที่กำลังทำกับข้าวอยู่ ก็หันกลับมามองฮั่วฉินเยี่ยน เธอยิ้มและเอ่ยทักทายเขา “อาเยี่ยนกลับมาแล้วเหรอ รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียสิ อาหารใกล้จะเสร็จแล้ว!”

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนยืนพิงกรอบประตูห้องครัว สองมือกอดอก “คุณอารมณ์ดีมากเลยเหรอ”

 

 

“ใช่สิ!” เวินหลานฉีตอบกลับ โดยไม่ได้สังเกตน้ำเสียงประหลาดใจของฮั่วฉินเยี่ยนโดยสิ้นเชิง

 

 

“ไปเจอเพื่อนคนไหนมาล่ะ อารมณ์ถึงได้ดีขนาดนี้”

 

 

“ไม่ใช่ว่าฉันบอกคุณไปแล้วหรือไง ว่าเป็นเพื่อนสมัยฉันเรียนอยู่อเมริกาก่อนหน้านี้น่ะ เขาดีมากเลยนะ” เวินหลานฉีพูด

 

 

“ผู้ชายหรือผู้หญิง”

 

 

“ผู้ชายสิ!” สำหรับความหมายแฝงเจาะลึกในคำพูดของฮั่วฉินเยี่ยนนั้น เวินหลานฉีไม่ได้จับสังเกตถึงความประหลาดใจในน้ำเสียงของฮั่วฉินเยี่ยนตั้งแต่แรกจนตอนนี้เลยด้วยซ้ำ

 

 

“งั้นช่อดอกไม้ในห้องนั่งเล่นนั้นก็เป็นของที่เขาให้มางั้นเหรอ” ฮั่วฉินเยี่ยนรู้แค่เพียงในใจมีไฟกำลังลุกโหม ผู้หญิงคนนี้ช่างไม่ใส่ใจเขาเอาเสียเลย ที่แท้ตอนอยู่อเมริกายังมีผู้ชายรอเธออยู่ด้วย! ฮั่วฉินเยี่ยนรู้แค่เพียงตนอิจฉาชายที่เวินหลานฉีเรียกว่าเพื่อนคนนั้นเหลือเกิน เพราะตลอดสองปีในอเมริกานั้นเขาอยู่เคียงข้างเวินหลานฉีมาตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงตรงหน้าคนนี้กลับมาที่จีน ตนคงตระหนักได้เอาตอนสุดท้าย ว่าเมื่อก่อนตัวเองนั้นโง่มากแค่ไหน และตอนนี้เขาก็คงต้องสูญเสียเวินหลานฉีไปใช่ไหม! เขาคงรับไม่ได้แน่!

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนพูดมาขนาดนี้แล้ว แม้เวินหลานฉีจะไม่รู้เนื้อรู้ตัวแค่ไหน ก็ต้องฉุกคิดขึ้นมาได้บ้างแหละ เธอหันกลับมามองฮั่วฉินเยี่ยน พร้อมเอ่ยพูด “นี่คุณกำลังคิดเรื่องเหลวไหลอะไรเนี่ย จิ่งหลานเป็นแค่เพื่อนฉันนะ ตอนอยู่อเมริกาเขาช่วยฉันตั้งเยอะ ที่เขาให้ดอกไม้ฉันก็แค่มารยาทแค่นั้นแหละ!”

 

 

ที่แท้ผู้ชายคนนั้นชื่อจิ่งหลานนี่เอง ดีมาก เขาจะจำไว้ เขาจะได้ให้ผู้ช่วยกลับไปหาข้อมูลของชายคนนี้อย่างเต็มที่!

 

 

“คุณชอบดอกยิปโซงั้นเหรอ” ฮั่วฉินเยี่ยนเอ่ยถาม

 

 

“ชอบสิ เป็นดอกไม้ที่ฉันชอบที่สุดเลย” เวินหลานฉีพูดอย่างเย็นชา

 

 

“แล้วคราวก่อนที่ผมให้ดอกไม้คุณ ทำไมคุณถึงบอกว่าชอบดอกกุหลาบสีเหลืองล่ะ” ฮั่วฉินเยี่ยนเอ่ยถาม

 

 

“ดอกไม้แต่ละชนิดมีความหมายต่างกันไป ดอกกุหลาบสีเหลืองก็เป็นดอกไม้ที่ฉันชอบเหมือนกัน มันมีความหมายว่าการรอคอย รอคอยความรักที่เป็นของเรา! ส่วนความหมายของดอกยิปโซคือรักอันบริสุทธิ์” เวินหลานฉีพูด ตอนฮั่วฉินเยี่ยนถามเธอตอนแรกนั้น เธอคิดถึงดอกกุหลาบสีเหลืองจริงๆ เพราะตอนนั้นเธอกำลังรอ รอความรักที่เป็นของพวกเขา ส่วนดอกยิปโซนั้น ภายหลังเธอได้รู้ในที่สุดว่า คนที่ฮั่วฉินเยี่ยนรักจริงๆ แล้วไม่ใช่เธอ แต่เป็นพี่สาวของเธอต่างหาก มันเลยทำให้เธอนึกถึงเรื่องเล่านั้นของดอกยิปโซ