สมัยกรีกโบราณมีพี่สาวน้องสาวที่ดีคู่หนึ่ง พวกเธอใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านบนเขาเล็กๆ แห่งหนึ่ง ชีวิตของพวกเธอมีความสุขและสงบเงียบ ระหว่างทั้งสองคนไม่มีความลับปิดบังอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เป็นความสัมพันธ์บริสุทธิ์อย่างมาก
แต่แล้ววันหนึ่ง มีชายหนุ่มบาดเจ็บสาหัสมาที่หมู่บ้านบนเขาของพวกเธอ มิหนำซ้ำยังเป็นลมอยู่ข้างทางอีกต่างหาก
หญิงผู้น้องจึงช่วยชายหนุ่มคนนี้ไว้
ชายหนุ่มคนนั้นลืมตาทั้งสองข้างจากการสลบไสล แต่เขายังคงอ่อนเพลียอยู่ จึงทำได้เพียงจดจำดวงตาอ่อนโยนมีชีวิตชีวาคู่หนึ่งไว้ ดวงตาคู่นั้นราวกับมันพูดได้ เธอให้กำลังใจให้เขายืนหยัดใช้ชีวิตต่อไป
ผู้เป็นน้องสาวไปเชิญหมอมา จึงให้ผู้เป็นพี่สาวมาดูแลชายหนุ่มเป็นลมคนนี้
แต่ในช่วงระยะเวลาที่คนเป็นน้องไปเชิญหมอมานั้น ชายหนุ่มกลับได้สติขึ้นมา เขาเห็นผู้เป็นพี่สาว ก็คิดว่าผู้เป็นพี่สาวช่วยเขาเอาไว้
พอน้องสาวกลับมาในเย็นวันนั้น พี่สาวพูดกับคนเป็นน้องสาวว่า “น้องรัก พี่ตกหลุมรักชายหนุ่มรูปหล่อคนนั้นเข้าแล้ว”
ในใจของคนเป็นน้องสาวน้ำตาไหลพราก กระนั้นก็ยังอวยพรพี่สาวออกไป
ดังนั้นทุกวันคนเป็นน้องสาวจึงต้องทนเห็นชีวิตมีความสุขของพี่สาวกับชายหนุ่มคนนั้น และเพื่อให้พี่สาวมีความสุขแบบนี้ตลอดไป เธอจึงเก็บซ่อนความรักทั้งหมดของตนเองไว้ในใจ
ทว่าอยู่มาวันหนึ่งแอรีส [1] ออกตามล่าชายหนุ่มคนนี้ จนมาถึงหมู่บ้านบนเขาที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ พร้อมทั้งใช้อำนาจคุกคามชายหนุ่มคนนี้ ว่าถ้าเขาไม่ออกมา เขาจะฆ่าคนในหมู่บ้านนี้ให้หมด
ขณะที่พี่สาวขลาดกลัวจะเป็นเช่นนั้น เธอจึงคุกเข่าอ้อนวอนให้ชายหนุ่มออกจากหมู่บ้านบนเขาแห่งนี้
ชายหนุ่มเองก็รับปาก
แต่น้องสาวผู้กล้าหาญกลับโปะยาสลบจนชายหนุ่มสลบไป แล้วซ่อนเขาเอาไว้ ส่วนตนก็แต่งกายเป็นชายหนุ่มคนนั้น ออกไปอยู่ตรงหน้าแอรีส
เธอถูกแอรีสฆ่าตาย
เลือดสีแดงสดหลั่งรินไปทั่วทั้งหมู่บ้านบนเขา ส่วนวิญญาณของเด็กสาวผู้นี้กลับล่องลอยอยู่บนท้องฟ้ายามราตรีตลอดกาล
เธอใช้แรงเฮือกสุดท้ายลบความทรงจำของชายหนุ่ม และอธิษฐานให้พี่สาวมอบความสุขแก่ชายหนุ่ม
หลังจากเทพเจ้าแห่งมวลบุปผารับรู้เรื่องนี้ ก็เอาดวงวิญญาณปลิดปลิวของเธอ มาผสานรวมเป็นทุ่งหญ้าที่ชายหนุ่มคนนั้นโดนโปะยาสลบนอนอยู่
ครั้นแล้วทุ่งหญ้าผืนนั้นก็มีกลีบดอกไม้สีขาวผลิบานแซมๆ ทั่วทุ่ง และนั่นก็คือดอกยิปโซนั่นเอง
ตอนนั้นเวินหลานฉีเห็นเรื่องเล่านี้เธอถึงกับร้องไห้เสียตั้งนาน และเพราะเรื่องนี้เช่นกัน ทำให้เธอเรียนรู้จะปล่อยวาง สุดท้ายแล้วเธอจึงเลือกจะจากมา และไปยังอเมริกาเพื่อเรียนหนังสือ ตอนอยู่อเมริกาเวลามีคนถามว่าเธอชอบดอกไม้อะไร เธอมักจะบอกว่าดอกไม้ที่ตนเองชอบที่สุดคือดอกยิปโซ
ฮั่วฉินเยี่ยนฟังเธอเล่าเรื่องนี้จบก็เงียบไปชั่วขณะ ตอนแรกเป็นเพราะเขาไม่ดีเอง ถึงได้ทำร้ายจนเวินหลานฉีต้องเสียใจและต้องจากไป แล้วเขาจะมีสิทธิ์อะไรมาตำหนิเธอล่ะ หากแต่เขาในตอนนี้ไม่ใช่ฮั่วฉินเยี่ยนผู้ไม่รู้จักทะนุถนอมเวินหลานในตอนแรกคนนั้นอีกแล้ว เขาจะปกป้องเวินหลานฉีอย่างเต็มที่ เขาจะไม่ยอมให้เธอต้องเสียใจแม้แต่น้อย และแน่นอนว่าจะไม่ยอมให้ใครคิดร้ายกับเธอเด็ดขาด!
“ฉีฉี ตอนนั้นผมไม่ดีเอง ผมไม่รู้จักทะนุถนอมคุณ ถึงทำให้คุณน้อยใจตั้งมากมายขนาดนั้น!” ฮั่วฉินเยี่ยนพูดอย่างจริงใจ เขาโอบเวินหลานฉีไว้ในอ้อมกอด
“เรื่องพวกนั้นเป็นอดีตไปแล้ว เราอย่าไปพูดถึงมันอีกเลยนะ อีกอย่างตอนนี้ผมก็รู้ความในใจของคุณด้วย เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว!”
เวินหลานฉีเองก็สวมกอดฮั่วฉินเยี่ยนครู่หนึ่ง แล้วก็ผลักเขาออกไป “รีบออกไปได้แล้ว ฉันยังต้องทำกับข้าวนะ!”
ฮั่วฉินเยี่ยนถูกเวินหลานฉีผลักไสออกมาจากห้องครัว เขาหมุนกายแล้วสีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น อืม ตอนนี้มีศัตรูหัวใจซ่อนอยู่ ตนคงต้องทำตัวดีๆ แล้วล่ะ ดังคำพูดว่า ‘รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง’ ตนต้องพยายามทำความเข้าใจอีกฝ่ายเสียหน่อยแล้ว ว่าเป็นคนแบบไหนกันแน่!
ทว่าตอนนี้ประธานฮั่วกลับลืมไปเสียสนิท ว่าศัตรูหัวใจของเขาที่ซ่อนอยู่นั้น ทุกวันหลังจากนี้จะใช้สถานะเลขามาอยู่ข้างกายภรรยาสุดที่รักของเขา ด้วยเหตุนี้เขาต้องหึงไม่น้อยเลยทีเดียว แน่นอนว่านี่เป็นคำพูดที่รอพูดทีหลัง!
เช้าวันต่อมาฮั่วฉินเยี่ยนก็ยังไปส่งเวินหลานฉีที่บริษัทเหมือนเคย หนำซ้ำยังประกาศอย่างเอาจริงเอาจังในเรื่องนั้น ว่านับแต่นี้เป็นต้นไปเขาจะมารับส่งเวินหลานฉีทำงานทุกวัน ลมฝนก็ไม่อาจหยุดยั้งได้! [2] เวินหลานฉีถูกฮั่วฉินเยี่ยนยั่วให้ขำจนตลก แต่กลับรับปากเขาไป เพราะเธอเองก็หวังจะอยู่กับฮั่วฉินเยี่ยนโดยไม่พรากจากกันตลอดไปเช่นกัน
ตลอดทั้งช่วงเช้าเวินหลานฉีพาจิ่งหลานไปทำความคุ้นเคยกับทุกส่วนของบริษัท และไม่ว่าจะไปแผนกไหน จิ่งหลานก็จะโดนทุกคนมุงดู ถึงอย่างไรแค่มองก็รู้ว่าจิ่งหลานนั้นเป็นคนมีฝีมือ เดินไปทางนั้นทีก็ทำให้รู้สึกสุภาพอ่อนโยนประหนึ่งต้นยูคาลิปตัสต้านแรงลม นิสัยเฉพาะตัวของเขากับฮั่วฉินเยี่ยนนั้นแตกต่างกัน ฮั่วฉินเยี่ยนยามอยู่ต่อหน้าคนภายนอกจะดูประเสริฐสูงส่ง เหนือกว่าชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกคุณเสมอ นั่นเพราะเขามีต้นทุนมาแบบนี้ แน่นอนว่านอกเหนือจากที่พูดมานั้น นิสัยเฉพาะตัวดุจสุนัขรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ในบ้านนั้นก็เป็นแค่กับเวินหลานฉีเท่านั้น
ทว่าจิ่งหลานนั้นไม่เหมือนกัน เมื่อก่อนเขาเอาแต่เรียนมาโดยตลอด คำพูดคำจาอบอุ่นอ่อนโยน แต่รอยยิ้มบางๆ ของเขา กลับทำให้คนรู้สึกสบายใจ และอยากเข้าใกล้ นิสัยเฉพาะตัวนี้ย่อมแตกต่างกับพนักงานชายคนอื่นในบริษัทอยู่แล้ว มิหนำซ้ำภูมิหลังของจิ่งหลานก็ลึกล้ำเช่นกัน เขาเป็นถึงคุณชายรองสกุลจิ่ง ได้รับการเลี้ยงดูมาแบบผู้ดีตั้งแต่เด็ก ทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวล้วนแฝงด้วยบุคลิกผู้ดี ไม่ใช่ว่าคนอื่นไม่ดี แต่นิสัยเฉพาะตัวของพวกเขาไม่เหมือนกันต่างหาก
ดังนั้นตลอดทั้งช่วงเช้านี้ จิ่งหลานจึงกลายเป็นเทพบุตรของพนักงานบริษัทเวินหลานฉีไปเสียแล้ว แม้แต่คุณป้าทำความสะอาด พอได้เห็นเขาต่างก็หน้าแดงกันหมด เวินหลานฉีคิดอย่างจำใจ ว่าต่อไปนี้คงไม่กล้าล่วงเกินจิ่งหลานอีก เพราะไม่อย่างนั้นเธอจะไม่ใช่ศัตรูร่วมของคนทั้งบริษัทหรอกหรือ
กระทั่งตอนเย็นจวนจะเลิกงาน เฉียวมู่เพื่อนรักก็โทรศัพท์มาหา
“ต้าฉีที่รัก ช่วงนี้คิดถึงฉันบ้างไหมนะ” ตอนแรกเสียงของเฉียวมู่นั้นเหมือนเสียงเด็กน้อยอยู่บ้าง เวลานี้เธอจงใจพูดออดอ้อนฉอเลาะ ให้เวินหลานฉีเข้าใจผิดว่ากำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับเด็กน้อย
“เธอเป็นใครเหรอ ฉันรู้จักหรือเปล่า” ต่อหน้าเฉียวมู่เวินหลานฉีไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวเอง เธอจึงพูดได้ตามอำเภอใจ โดยไม่ต้องเกรงใจใคร
“เฮ้ยๆๆ! ต้าฉี เธอนี่แล้งน้ำใจเกินไปแล้วมั้ง ถึงยังไงฉันก็เป็นเพื่อนสนิทเธอเชียวนะ ไม่นึกว่าเธอจะลืมฉันได้ลง!” ในที่สุดปลายสายก็ไม่ได้พูดจาออดอ้อนฉอเลาะอีก แต่ถึงจะเป็นปกติแล้ว น้ำเสียงก็ยังเจือแววโมโหอยู่!
“พอเถอะน่า แค่ล้อเธอเล่นเอง ทำเป็นจริงจังไปได้นะ! แล้วนี่โทรหาฉันมีอะไรหรือเปล่า” เวินหลานฉีเอ่ยพูดโดยไม่ล้อเล่นอีกต่อไป
“ต้าฉี เราไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ เธอว่าเราควรมากระชับความสัมพันธ์กันหน่อยไหมล่ะ!”
“แน่นอนอยู่แล้วสิ!” จะว่าไปเวินหลานฉีก็ไม่ได้เจอเฉียวมู่นานแล้วจริงๆ นั่นแหละ ช่วงนี้เธอเอาแต่ทำงานจนละเลยฮั่วฉินเยี่ยน แถมยังทิ้งเฉียวมู่ไว้ข้างหลังอีก ตอนนี้แผนงานก่อนหน้านั้นเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว ที่สำคัญจิ่งหลานเองก็กลับมาด้วย ทำให้เธอสบายใจขึ้นเยอะ ฉะนั้นจะไปผ่อนคลายตัวเองสักหน่อยคงไม่เป็นไร เพียงแต่คงต้องขอโทษฮั่วฉินเยี่ยนอีกแล้ว!
“งั้นคืนนี้เรามาสนุกกันเถอะ!” เฉียวมู่พูด พร้อมทั้งกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจอยู่ปลายสาย
“โอเค!” เวินหลานฉีตอบรับอย่างสบายใจ
หลังจากวางสายจากเฉียวมู่ เวินหลานฉีก็ต่อสายหาฮั่วฉินเยี่ยนในทันที
“คุณฮั่ว!” ทันทีที่เสียงปลายสายฮั่วฉินเยี่ยนดังขึ้น เวินหลานฉีก็โพล่งเรียกขึ้นมาทันที
“คุณเวินครับ มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ” ปลายสายพูดแบบเดียวกัน
“คืนนี้ฉันจะไปสนุกกับเฉียวมู่ ดังนั้นคุณไม่ต้องมารับฉันตอนเลิกงานนะ!” เวินหลานฉีพูดอย่างมีความสุข
“พวกคุณจะไปไหนกัน แล้วไปกี่คน” ฮั่วฉินเยี่ยนเอ่ยถาม ความจริงเขาอยากจะถามว่ามีเพื่อนชื่อจิ่งหลานคนนั้นด้วยไหม ถ้ามีละก็ เขาคงต้องหน้าด้านไปด้วยแล้วล่ะ ใช่แล้ว ยามฮั่วฉินเยี่ยนเผชิญหน้ากับภรรยาของเขาก็ไม่มีหลักการแบบนี้แหละ
“ยังไม่ได้ตกลงกันเลยว่าจะไปไหน มีแค่ฉันกับเฉียวมู่เท่านั้น เราไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ!”
“อ๋อ” ฮั่วฉินเยี่ยนตอบรับ เฮ้อ ไม่มีเหตุผลมาดื้อแพ่งกับภรรยาเลย “งั้นคุณก็กลับมาไวๆ หน่อยแล้วกัน” ฮั่วฉินเยี่ยนพูดกำชับ “อย่าดื่มเหล้าเยอะ!”
“ฉันรู้แล้วน่า! ถ้ามีเรื่องอะไร ฉันจะโทรหาคุณนะ!”
“โอเค!” หลังจากฮั่วฉินเยี่ยนวางสาย เขาก็ต่อสายไปยังห้องเลขา เพื่อแจ้งว่าคืนนี้จะทำงานนอกเวลา หึๆ ภรรยาหนีไปกับคนอื่นทั้งที ในเมื่อรังควานภรรยาไม่ได้ งั้นก็รังควานลูกน้องหน่อยละกัน ครั้นแล้วประธานฮั่วก็กระหยิ่มยิ้มย่อง ท่ามกลางเสียงร้องโอดครวญของลูกน้อง
เวินหลานฉีกับเฉียวมู่นัดรวมตัวกันที่ร้านกาแฟ ไม่เจอกันแค่ไม่กี่เดือน เฉียวมู่เปลี่ยนทรงผมใหม่อีกแล้ว ผมตรงยาวสีดำอย่างกับซาดาโกะก่อนหน้านี้ กลายเป็นผมดัดลอนเล็กสีชมพูเสียแล้ว ช่างเข้ากับเสียงเด็กน้อยของเธอ แถมยังให้ความรู้สึกเหมือนตุ๊กตาบาร์บี้อีกต่างหาก
“ต้าฉี คืนนี้เราไปบาร์กันเถอะ โตขนาดนี้แล้วฉันยังไม่เคยเข้าเลยอะ!” เฉียวมู่พูด
บาร์น่ะ เวินหลานฉีเคยไป แต่ตอนนั้นไปเพราะต้องคุยเรื่องธุรกิจเท่านั้น เธอเองก็ไม่เคยไปเที่ยวอย่างละเอียดมาก่อน พอเฉียวมู่เสนอความคิดนี้ขึ้นมา เวินหลานฉีรู้สึกว่าก็ไม่เลวเลยทีเดียว จึงแปะมือเห็นด้วย
“เราไปบาร์กันเถอะ แต่คงใส่เสื้อผ้าแบบนี้ไปไม่ได้หรอกนะ!” เฉียวมู่เอ่ยพูด แล้วทั้งสองก็ก้มลงมองเสื้อผ้าของตัวเอง
ปกติเพื่อให้ทำงานได้สะดวก เวินหลานฉีจึงไม่เคยสวมกระโปรงมาแต่ไหนแต่ไร ปกติแค่กางเกงสแล็กสักตัว ส่วนข้างบนก็สวมเชิ้ตตามด้วยเบลเซอร์หลากหลายแบบก็ได้แล้ว เธอมีกระโปรงเหมือนกันนั่นแหละ หากแต่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกชุดราตรีมากกว่า คงไม่เหมาะกับบาร์เท่าไร ส่วนเสื้อผ้าที่เฉียวมู่สวมมาวันนี้มันเรียบเกินไป ไม่เหมาะจะไปบาร์เช่นกัน ไปผับบาร์ใครมันจะใส่กระโปรงตุ๊กตากันล่ะ!
“เราไปซื้อเสื้อผ้ากันเถอะ!” เฉียวมู่พูดเสนอความคิดเห็น
“ได้!”
เพื่อนรักทั้งสองคนจับจูงมือกันไปเลือกซื้อเสื้อผ้าในห้างสรรพสินค้า เวินหลานฉีถูกใจเดรสสีแดงสดตัวหนึ่ง ส่วนเฉียวมู่นั้นถูกใจเดรสผ้าโปร่งสีดำตัวหนึ่ง
จากนั้นทั้งสองคนก็แต่งหน้าในห้องน้ำของห้างสรรพสินค้า โดยแต่งหน้าแบบสโมคกี้อายเหมาะกับการไปบาร์ ทั้งสองพกพาความรู้สึกแปลกใหม่ และตื่นเต้นเร้าใจมุ่งหน้าไปยังบาร์ใหญ่ที่สุดในเมืองทันที
ทันทีที่พวกเธอทั้งสองเดินเข้าไปในบาร์ ก็ดึงดูดสายตาผู้คนมากมาย
เดรสสั้นสีแดงสดที่เวินหลานฉีเลือกมานั้น ข้างหน้าเป็นคอวีเผยร่องหน้าอกเย้ายวนสายตา ส่วนแผ่นหลังไปจนถึงเอวนั้นยังมีผ้าอยู่บ้าง ชายกระโปรงก็ไม่ได้ยาวมากนัก เข้ารูปแนบเรือนร่างสะโอดสะองของเธอพอดี ความจริงสีแดงสดแบบนี้จะให้ความรู้สึกฉูดฉาด หากแต่ผิวของเวินหลานฉีนั้นขาวผ่องเกลี้ยงเกลาสัดส่วนโค้งเว้ามีเสน่ห์ดั่งน้ำ เสริมทับด้วยการแต่งหน้าแบบสโมคกี้อาย จนมองหน้าตาดั้งเดิมของเธอไม่ออก มีเพียงความรู้สึกลึกลับยากจะคาดเดา ส่วนเดรสผ้าโปร่งที่เฉียวมู่สวมนั้นก็เป็นชุดเปิดไหล่ ชายกระโปรงสั้นฟูฟ่องพลิ้วไปมา ขับให้เรียวขาขาวใสดั่งหยกของเธอทั้งสองข้างดูโดดเด่นขึ้นมา
——
[1] แอรีส หรือมาร์ส แอรีส (Ares) เป็นเทพเจ้าแห่งสงครามของกรีก และเป็นหนึ่งในสิบสองพระเจ้าโอลิมปัส เป็นพระโอรสของซุสและฮีรา
[2] ลมฝนก็ไม่อาจหยุดยั้ง (风雨无阻) เป็นสำนวน เทียบกับสำนวนไทยได้ว่า ‘เอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่’ หมายถึง เรื่องที่นัดหมายหรือแพลนไว้ล่วงหน้าแล้ว ต้องดำเนินการตามกำหนดที่วางไว้ให้ได้