ตอนที่ 561 เขาจะแต่งงาน

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 561 เขาจะแต่งงาน

แล้วตัวเขาล่ะ ? หลังทำเรื่องที่คิดว่าสมควรทำแล้วก็จะยอมแพ้ทันทีหรือ ?

“ขอบคุณพระชายาที่ชี้แนะขอรับ”

กูซูเฉี่ยอวี่ก้มหน้าลง แววตาค่อนข้างเศร้าสร้อย เขารู้ตัวตลอดว่ามิคู่ควรกับหนานกงหลิงเยว่

เขามิรู้ว่าทำผิดไปหรือไม่ บางทีอาจเป็นความผิดของพวกตนทั้งหมด หรืออาจเพราะเจอกันผิดเวลา

“ข้าจะไปพบนางเสียหน่อย”

กูซูเฉี่ยอวี่ลุกขึ้นอย่างร้อนรนเพราะเขาคิดไปหาหนานกงหลิงเยว่

“นางหลับไปแล้ว เจ้ารอหน่อยเถิด ประเดี๋ยวข้าช่วยทำแผลให้เจ้าก่อน”

กูซูเฉี่ยอวี่ได้แต่ทำใจให้เย็น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ใกล้ชิดกับพระชายาผู้สูงส่ง

เขามิรู้ว่าเหตุใดสตรีคนนี้จึงมีความสามารถมากมาย นางเพียงลำพังกลับสามารถขึ้นมาถึงตำแหน่งพระชายาและยังสามารถสนับสนุนมู่จวินฮานจนมาถึงทุกวันนี้ได้

และก้าวออกมาได้อย่างอาจหาญ นี่เป็นเรื่องที่ใครหลายคนมิกล้าคิดทำด้วยซ้ำ

มิว่าดีหรือร้าย อันหลิงเกอก็ทำเหมือนไม่หวั่นเกรง กูซูเฉี่ยอวี่จึงรู้สึกชื่นชมจากใจจริง

“เรียบร้อยแล้ว ข้าจะกลับไปพักผ่อนสักหน่อย หากหนานกงหลิงเยว่มีเรื่องอันใด เจ้าก็มาหาข้าได้ที่เรือนนี้”

กูซูเฉี่ยอวี่มีสุขภาพแข็งแรงและยาของอันหลิงเกอก็วิเศษเช่นกัน เขาแทบมิรู้สึกเจ็บแผลเลยก็ว่าได้

เดิมทีหนานกงหลิงเยว่ก็มิคิดสังหารเขาอยู่แล้ว บาดแผลจึงมิได้ใหญ่มาก

“หลิงเยว่”

เมื่อเขามาถึงเรือนของหนานกงหลิงเยว่ก็เห็นดอกไม้และต้นไม้พวกนั้น

ปกตินางเป็นคนมิชอบดอกไม้สักเท่าไร แต่ช่วงนี้นางปลูกพวกมันเป็นจำนวนมาก

หนานกงหลิงเยว่รู้ว่าบุตรขุนนางล้วนชอบปลูกดอกไม้ เมื่อนางเห็นดอกไม้ที่ละเอียดอ่อนพวกนี้มีมากยิ่งกว่าคนในเรือน นางก็มีความรู้สึกว่ามือที่เคยเปื้อนเลือดทั้งสองข้างนั้นมิได้สกปรกอีกแล้ว

เหมือนมีเพียงรูปลักษณ์จอมปลอมภายนอกเท่านั้น ถึงจะทำให้นางรู้สึกได้ว่าตนคู่ควรกับเขา

เมื่อมิกี่วันก่อน หลังกูซูเฉี่ยอวี่เข้ามาในเรือนที่นางพักอยู่ นางก็เริ่มปลูกดอกไม้พวกนี้แล้ว

หนานกงหลิงเยว่มิเคยคิดเทียบเคียงผู้ใด แต่นางเองก็หวังว่าในใจของเขาจะมีภาพลักษณ์ที่งดงามของนางอยู่

“ท่านมาแล้วหรือ”

หนานกงหลิงเยว่เพิ่งตื่นนอน แต่สีหน้าดูซีดกว่าเขามิน้อย

“อือ ข้ามาแล้ว”

กูซูเฉี่ยอวี่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกผิด แต่ในขณะเดียวกันเขาก็สามารถมองออกว่าสายตาของนางจับจ้องมาที่ผ้าพันแผลบนตัวเขาตลอดเวลาและมันก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกผิดกว่าเดิม

“มิเป็นไร ข้าไม่เจ็บแล้ว”

กูซูเฉี่ยอวี่ทำตัวเหมือนเอาใจเด็กน้อย เขานำมือหนานกงหลิงเยว่มาวางบนบาดแผลของตนพร้อมฉีกยิ้มให้นาง

“ถ้าพวกเราไม่มีฐานะอันใดก็คงดีสินะ”

หนานกงหลิงเยว่เอียงศีรษะและคลี่ยิ้ม แต่แววตาแสดงความเศร้าอย่างชัดเจน

“ไม่หรอก เพราะเจ้าคือหนานกงหลิงเยว่ พวกเราจึงได้รู้จักกัน ฐานะของเจ้าหรือสิ่งที่เป็นของเจ้าล้วนงดงามทุกอย่าง”

เมื่อครู่พอกูซูเฉี่ยอวี่ได้ยินคำพูดของอันหลิงเกอแล้วเขาก็นึกถึงเหตุผลนี้ขึ้นมา พวกเรามิควรแยกจากกันเพราะฐานะ และมิควรอยู่ด้วยกันเพราะฐานะเช่นเดียวกัน

ฐานะเป็นแค่เครื่องประดับ สำหรับพวกเขาแล้วมิว่าสิ่งใดก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความรู้สึกได้

ดูเหมือนว่าหนานกงหลิงเยว่จะตกตะลึง นางคิดมิถึงว่าคนที่มีหลักการและยึดมั่นในความยุติธรรมเยี่ยงกูซูเฉี่ยอวี่จะเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ออกมา

“พระชายาพูดถูก แม้พวกเราไม่เหมาะสมกันแต่ก็มีเหตุผลให้อยู่ด้วยกันได้”

ที่แท้ก็เพราะอันหลิงเกอ หนานกงหลิงเยว่จึงยิ้มอย่างมีความสุข สหายคนนี้ช่วยนางไว้มากจริงๆ

มิเพียงแต่หาสมุนไพรมารักษาให้นาง แต่ยังช่วยคลายความเข้าใจผิดระหว่างทั้งสองและในเวลานี้ยังช่วยจับคู่นางกับคนที่ชอบให้ได้อยู่ด้วยกัน

เหมือนรอยยิ้มของหนานกงหลิงเยว่จะซาบซึ้งในคำพูดของกูซูเฉี่ยอวี่ เขาจึงดึงตัวนางเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนเบาๆ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ข้าจะไปคุยกับท่านพ่อให้ชัดเจน มิว่าเขาคิดเยี่ยงไร ข้าจะมีเพียงความคิดที่เรียบง่ายนั่นก็คือการขอเจ้าแต่งงาน”

กูซูเฉี่ยอวี่ฉีกยิ้ม หลังจากลูบจมูกหนานกงหลิงเยว่เสร็จแล้วเขาก็พูดต่อ

“เพียงแต่สินสอดอาจน้อยลงไปบ้าง หวังว่าคุณหนูจิ่วฟางจะมิถือสา”

หลังได้ยินคำพูดของเขา หนานกงหลิงเยว่ก็อดยิ้มออกมามิได้ นางเชิดหน้าขึ้นคล้ายกำลังคิดอันใดบางอย่าง

“ถ้าสินสอดน้อย ข้าก็จะมิเอาสินเดิมติดตัวไปมากเหมือนกัน ! ” ทั้งสองกอดกันพร้อมเสียงหัวเราะ บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข

“มิเป็นไร”

เดิมทีกูซูเฉี่ยอวี่ก็มิได้ยึดติดกับของนอกกายอยู่แล้ว เขาหวังเพียงว่าจะได้ใช้ชีวิตร่วมกับสตรีคนนี้ แม้โดนบิดาตำหนิ เขาก็เลือกเดินบนทางเส้นนี้อยู่ดี

เดิมทีบนโลกใบนี้ก็มิมีสิ่งใดที่ควรหรือมิควร ขอแค่ปรารถนา ขอแค่ทำมันจากใจจริง จิตใจที่ลุ่มหลงก็สามารถเอาชนะได้ทุกสิ่ง

“พรุ่งนี้ข้าจะกลับไปคุยกับท่านพ่อ”

พรุ่งนี้หรือ ? เร็วเหลือเกิน

หนานกงหลิงเยว่รู้สึกมิสบายใจ นางอยากใช้ความเห็นแก่ตัวเก็บเขาไว้เพื่อความสบายใจของตน

ในความเป็นจริงหอพิษกู่สามารถคุ้มครองเขาและเป็นที่พักให้เขาได้ตลอดไป แต่หนานกงหลิงเยว่ก็รู้ดีว่ากูซูเฉี่ยอวี่มิได้เป็นเพียงบุตรกตัญญูเท่านั้น แต่เขายังหยิ่งทะนงด้วย

หนานกงหลิงเยว่จึงมิอยากทำลายศักดิ์ศรีของเขา

“เช่นนั้นข้าจักไปกับท่านด้วย”

นางก็อยากไปเผชิญปัญหากับเขา แม้ในสายตาคนเหล่านั้นนางเป็นผู้หญิงที่สามารถสังหารคนได้โดยมิกะพริบตา แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่หนานกงหลิงเยว่คิดอธิบายว่านางมิเคยลงมือกับผู้บริสุทธิ์มาก่อน

คนที่นางสังหารล้วนเป็นผู้สมควรตายแล้วจริง ๆ

“มิต้องหรอก ข้าไปคนเดียวก็พอแล้ว เจ้ารอข้ามาสู่ขอเถิด”

รอข้ามาสู่ขอเถิด ประโยคนี้วนอยู่ในใจของหนานกงหลิงเยว่เป็นเวลานาน จนกระทั่งกูซูเฉี่ยอวี่จากไปในวันรุ่งขึ้นนางถึงได้สติกลับมาอีกครั้ง

มิรู้ว่าเบื้องหลังคำพูดที่อ่อนโยนเช่นนี้ เขาต้องเผชิญกับความลำบากมากน้อยเพียงใด

ตระกูลกูซูจะประนีประนอมได้ง่ายดั่งใจหรือ ?

หนานกงหลิงเยว่ก็รู้ดี แต่ตอนนี้ตัวนางก็ทำอันใดมิได้สักอย่าง

นางรู้ว่ากูซูเฉี่ยอวี่อยากสู่ขอนางในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง มิใช่บุตรชายรองเสนาบดีกรมคลังและมิใช่คนในราชสำนัก เขาก็คือเขาเท่านั้น

เพราะหนานกงหลิงเยว่เข้าใจความคิดของเขา ดังนั้นนางจึงมิได้กระวนกระวาย นางสามารถรอเขาได้ รอจนเขามาสู่ขอนางแต่งงาน

“มีข่าวของเขาบ้างหรือไม่ ? ”

เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า อันหลิงเกอก็เฝ้าดูแลขาของหนานกงหลิงเยว่ที่เริ่มหายเป็นปกติ สิ่งที่นางถามมากที่สุดในหนึ่งวันก็คือประโยคนี้

อันหลิงเกอส่ายหน้า มิรู้ว่ากูซูเฉี่ยอวี่ไปเจอเรื่องอันใดเข้า ช่วงนี้จึงมิได้ข่าวจากเขาเลย

“คุณหนู คุณหนู บุตรชายรองเสนาบดีกรมคลังจะแต่งงานเจ้าค่ะ ! ”

สาวใช้เข้ามาอย่างเหนือความคาดหมาย อันหลิงเกออยากห้ามไว้แต่ก็ห้ามมิทัน

ทันใดนั้นร่างของหนานกงหลิงเยว่ก็ทรุดลง เขาจะแต่งงานแล้ว

‘รอข้ามาสู่ขอเถิด’

ประโยคนี้ช่างน่าขันยิ่งนัก หนานกงหลิงเยว่มิอยากนึกถึงมันอีกแล้ว นางเจ็บจนหายใจมิออก นางล้มลงบนเตียงอย่างแรง

“เกิดอันใดขึ้น ! ” อันหลิงเกอเดินออกมาถามสาวใช้คนนั้น

“เจ้าออกไปเถิด ข้าจักคุยกับนางเอง”

ฟางหลิงซู่เดินเข้ามาเพราะในเวลานี้ทุกคนในเมืองก็แทบทราบเรื่องหมดแล้ว

เขามิรู้ว่าควรคิดเยี่ยงไรกับกูซูเฉี่ยอวี่นั่นดี เนื่องจากพฤติกรรมของเจ้าหมอนั่นทำให้เขาคิดมิตก

หากคิดหักหลังหนานกงหลิงเยว่จริง แล้วเหตุใดต้องบอกความจริงกับนางด้วย ?