ตอนที่ 562 หลอกลวง

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 562 หลอกลวง

การทำร้ายหนานกงหลิงเยว่มิใช่เป้าหมายของคนในราชสำนัก แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการคืออยากเห็นหอพิษกู่ล่มสลาย

หากเป็นเช่นนี้พฤติกรรมของกูซูเฉี่ยอวี่ก็ยากจักคาดเดาได้

“ข้าอยากไปร่วมงานแต่งครั้งนี้”

อันหลิงเกอเงยหน้า นางมิได้กำลังขออนุญาตจากฟางหลิงซู่ แต่หวังให้เขาไปกับตนด้วย

“ข้าจะไปกับเจ้า”

ฟางหลิงซู่ก็อยากรู้ว่าคนเหล่านี้คิดอันใดอยู่กันแน่ หากวางแผนทำลายหอพิษกู่จริง มันก็คงเป็นไปมิได้แน่นอน

เพราะถ้าหากฟางหลิงซู่ผู้นี้ยังอยู่ก็ไม่มีทางปล่อยให้คนพวกนี้มาทำลายหอพิษกู่เป็นแน่ !

“ข้าต้องลากกูซูเฉี่ยอวี่ออกมาถามให้ได้ ดูสิว่าเหตุใดจึงยอมแต่งกับสตรีที่มิรู้จักด้วยซ้ำและยังทำร้ายหนานกงหลิงเยว่อีก ! ”

อันหลิงเกอก็โมโห วันนั้นตัวนางเลือกเชื่อในตัวกูซูเฉี่ยอวี่ถึงได้คุยกับเขาไปตั้งมากมาย แต่คาดมิถึงว่าท้ายที่สุดกูซูเฉี่ยอวี่จะทำลายความรักและความเชื่อใจที่หนานกงหลิงเยว่มีให้

“มิต้องหรอก ข้ามีคนลากเขาออกมาได้”

อย่างน้อยตนก็เป็นนายของหอพิษกู่ ดังนั้นเวลาจะทำสิ่งใดจึงมิต้องออกหน้าหรือลงมือด้วยตนเอง

ทว่างานแต่งในวันพรุ่งนี้ เขาต้องไปร่วมงานแน่นอน

“ข้าก็จะไปด้วยเจ้าค่ะ”

หนานกงหลิงเยว่เดินออกมาจากด้านใน สายตาที่มองทั้งสองคนก็เด็ดขาดจนปฏิเสธมิได้

“คราวก่อนข้าสังหารเขามิได้ หากเขามีใจคิดทรยศข้าจริง เช่นนั้นเขาก็มิควรมีชีวิตอยู่บนโลกนี้”

ในตอนนี้อันหลิงเกอรู้สึกว่าหนานกงหลิงเยว่คนเดิมได้กลับมาอีกครั้ง

แต่นางก็รู้ว่าคราวนี้แตกต่างออกไป เพราะหนานกงหลิงเยว่คนเดิมมิเคยมีความรู้สึกใดเข้ามาเกี่ยวข้อง

ตอนนี้หนานกงหลิงเยว่กำลังจะสังหารคนเพื่อตัวเอง

อันหลิงเกอมิรู้ว่าในช่วงเวลานี้หนานกงหลิงเยว่กำลังคิดอันใดอยู่ แต่อย่างน้อยก็ต้องเสียใจอยู่แน่นอน

เพียงแต่…ไม่มีผู้ใดปลอบใจผู้หญิงที่มีนิสัยแข็งกร้าวเช่นนี้ได้

“ตกลง”

ฟางหลิงซู่ตอบตกลง

เขาเข้าใจน้องสาวดีและรู้ว่าต่อให้ห้ามนางก็ต้องไปอยู่ดี

แม้ทุกคนบนโลกนี้ทรยศ หนานกงหลิงเยว่ก็ไม่มีทางยอมแพ้ นางต้องฆ่าทุกคนและปกป้องความเป็นหญิงแกร่งของตนไว้

มิต้องสงสัยในจุดนี้เลย

ส่วนอันหลิงเกอก็คิดว่าไม่มีสิ่งใดผิด

“หลิงเยว่ เจ้าอย่าวู่วาม ข้าจะลากมันออกมาให้เจ้าจัดการเอง”

ตอนนี้ขาของหนานกงหลิงเยว่ยังมิฟื้นตัวเต็มที่ หากฝืนมากไปก็อาจเป็นอันตรายต่อตัวเอง

“เจ้าค่ะ”

น้อยครั้งที่หนานกงหลิงเยว่จะเชื่อฟังเยี่ยงนี้ ฟางหลิงซู่จึงมิออกคำสั่งอันใดอีก

เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งสามคนก็เดินทางมาเยือนเรือนกูซูตามแผนที่วางไว้และบรรยากาศก็คึกคักตามที่คาด

เนื่องจากเป็นงานของบุตรชายรองเสนาบดีกรมคลังหรือขุนนางที่รู้จักกันทั่วบ้านทั่วเมือง แขกที่มาร่วมงานจึงเยอะเป็นพิเศษ

แต่อันหลิงเกอก็มองออกว่าวันนี้แม่น้ำต้องกลายเป็นสีเลือดอีกครั้ง

ตอนนี้นางออกมาจากจวนอ๋องแล้วจึงไม่มีกฎเกณฑ์อันใดมากมายตามติด เมื่อวันเวลาผ่านไปอันหลิงเกอก็ค่อยๆ พบว่าผู้คนที่นางฝืนใจทำร้ายมิได้นั้น แท้จริงแล้วพวกเขาก็ไม่ได้ใสสะอาดเลย

และในเวลานี้เมื่อย้อนมองที่หอพิษกู่ อันหลิงเกอรู้ว่ามือของพวกเขาเปื้อนเลือดแต่แล้วอย่างไร ?

“แขกจากหอพิษกู่นี่เอง มามามา เชิญด้านในขอรับ”

นี่เป็นเหมือน*งานเลี้ยงหงเหมิน ตั้งแต่ในตอนแรกที่คนพวกนี้ต้อนรับ อันหลิงเกอก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ

ราวกับงานเลี้ยงนี้จัดไว้เพื่อพวกนางโดยเฉพาะ

ในเวลานี้อันหลิงเกอใส่ผ้าคลุมหน้าไว้จึงไม่มีผู้ใดมองออกว่านางเป็นพระชายาผู้นั้น

มีผู้คนมิมากนักที่เคยได้เห็นหน้าอันหลิงเกอในวันธรรมดา ตอนนี้นางจึงเป็นแค่หนึ่งในคนของหอพิษกู่เท่านั้น

“เชิญนั่ง”

เมื่อใต้เท้ากูซูเห็นฟางหลิงซู่ก็ผายมือให้เกียรติ ส่วนอันหลิงเกอก็ดึงหนานกงหลิงเยว่มานั่งข้างตนเพราะกลัวอีกฝ่ายจะกลั้นโทสะไว้มิอยู่

“งานแต่งของคุณชาย ข้าได้เตรียมของขวัญมาให้เล็กน้อย หวังว่าใต้เท้าจักมิถือสา”

ฟางหลิงซู่เป็นคนหน้าเนื้อใจเสือจริง ๆ ขณะมองอีกฝ่าย ใบหน้าก็เปื้อนยิ้มแต่มิรู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่ บางทีอาจมีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้ หรือไม่ทุกคนก็เข้าใจหมดแต่แล้วจักทำอันใดได้ ?

ทว่าวันนี้แตกต่างออกไป ในเมื่อพวกนางโดนกระทำก่อน เช่นนั้นก็ต้องระวังให้มากกว่าเดิม

“บ่าวสาวเข้าพิธี ! ”

เมื่อสี่คำนี้ดังขึ้น หนานกงหลิงเยว่ก็รีบเงยหน้าพร้อมกายที่สั่นสะท้าน

อันหลิงเกอจับมือนางไว้เพื่อมิให้นางเคลื่อนไหวไปที่ใด

กูซูเฉี่ยอวี่ยืนอยู่สุดสายตาจากนาง ตอนนี้เขาถูกผ้าคลุมหน้าสีแดงบังไว้จึงมิอาจมองเห็นใบหน้าได้แม้แต่น้อย

“กูซูเฉี่ยอวี่…”

หนานกงหลิงเยว่พึมพำชื่อเขาแต่ในใจปวดร้าวยิ่งกว่าสิ่งใด

“มิเป็นไร รอข้าก่อน”

ขณะที่กล่าว อันหลิงเกอก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแต่ในขณะกำลังจะเอ่ยอันใดออกมา สายตาของนางก็สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง

เพราะส่วนสูงของกูซูเฉี่ยอวี่ดูห่างจากชายคนนี้มาก นางจึงรีบหันกลับมาเพราะพบว่าผู้ที่สวมชุดมงคลมิใช่กูซูเฉี่ยอวี่ !

นางรีบเข้าไปดึงตัวหนานกงหลิงเยว่ให้มายืนอยู่ในจุดเดียวกับฟางหลิงซู่

“บอกมาสิ นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น ! ”

ผู้ใดก็รู้ว่ากูซูเฉี่ยอวี่เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของสกุลกูซู ดูเหมือนว่าการแต่งงานในคราวนี้จักเป็นหลุมพรางเสียแล้ว

“กูซูเฉี่ยอวี่อยู่ที่ใด ! ”

เมื่อหนานกงหลิงเยว่รู้ว่าเขามิได้ทรยศตน น้ำตาของนางก็ไหลอาบแก้มทันทีแต่ท่าทางของใต้เท้ากูซูกลับดูเหมือนเต็มไปด้วยความแค้น

“อวี่เอ๋อมิอยู่แล้ว เขาต้องตายเพราะปิศาจร้ายเยี่ยงพวกเจ้า ! เจ้า เจ้า เจ้า จงตายตามเขาไป ! ”

ขณะที่กล่าวก็มีกระบี่เล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาและคนที่อยู่รอบข้างก็เริ่มเคลื่อนไหว

ฟางหลิงซู่ได้เตรียมการไว้แล้ว เขาไม่มีทางเข้าตระกูลกูซูมาเพียงสามคนแน่ เมื่อมีการต่อสู้เกิดขึ้น ทั้งสามคนมิได้ลงมือแต่อย่างใด แค่ยืนอยู่ที่เดิมและมองใต้เท้ากูซูผู้นั้นพุ่งมาหา

ฟางหลิงซู่แค่ยกมือแล้วสะบัดไปที่กรามของอีกฝ่ายก็ทำให้เคลื่อนไหวมิได้และกระบี่ก็ตกลงพื้น

“ข้าถามเจ้าว่าเกิดอันใดขึ้นกับกูซูเฉี่ยอวี่ ! ”

อันหลิงเกอเห็นความกระหายเลือดในดวงตาของฟางหลิงซู่ นางรู้ดีว่าเขาเกลียดคนหลอกลวงที่สุดและตอนนี้กูซูเฉี่ยอวี่ก็ถูกมองเป็นคนของตนไปแล้ว ดังนั้นถ้าเกิดอันใดขึ้นกับกูซูเฉี่ยอวี่ เขาต้องรู้สึกแย่มากแน่นอน

“บุตรของข้าตายแล้ว ! เขาทำผิดมหันต์เช่นนั้นย่อมต้องตายเพราะกฎของตระกูล ! ”

คาดมิถึงว่าตาเฒ่ากูซูมีใจเหี้ยมโหดถึงเพียงนี้ เขาลงมือสังหารบุตรชายด้วยตนเอง

“ศพอยู่ที่ใด ! ” ฟางหลิงซู่มิเชื่อ หนานกงหลิงเยว่ก็ยิ่งมิอยากเชื่อเข้าไปใหญ่

“อยู่ที่เรือนใน ! ”

เขาทำเหมือนมีความสุขที่ได้เห็นท่าทางตกตะลึงของหนานกงหลิงเยว่และฟางหลิงซู่ ขณะที่มองทั้งสามคนเข้าไปในเรือน จู่ ๆ ใต้เท้ากูซูก็หยิบกระบี่ที่หล่นพื้นเล่มนั้นขึ้นมาแล้วปลิดชีพตนเองทันที

ในเวลานี้ทั้งสามไม่มีเวลามาสนใจเขาเพราะต่างคนต่างรีบเดินเข้าไปที่เรือนใน

แต่แล้วเมื่อเห็นโลงศพโลงนั้นก็มิมีผู้ใดกล้าเข้าใกล้สักคน ราวกับมิอยากเข้าไปพิสูจน์ว่าคนผู้นั้นเป็นกูซูเฉี่ยอวี่จริงหรือไม่

“ข้าจะเข้าไปดูก่อน”

ฟางหลิงซู่มองอันหลิงเกอแล้วส่งสัญญาณให้นางห้ามหนานกงหลิงเยว่เอาไว้

ส่วนนางสองคนก็จ้องฟางหลิงซู่ที่อยู่ด้านหน้า หลังเห็นการแสดงออกที่ชัดเจนของเขาแล้วอันหลิงเกอก็เข้าใจทันที

นางยกมือปิดตาหนานกงหลิงเยว่ไว้และมองฟางหลิงซู่เปิดโลงศพด้วยตาของนางเอง

กูซูเฉี่ยอวี่นอนแน่นิ่งอยู่ในนั้น บาดแผลบนร่างกายถูกปิดไว้แต่ก็ยังสามารถมองออกว่าก่อนที่เขาจะตายนั้นได้รับความทรมานมากเพียงใด

*งานเลี้ยงหงเหมิน คือ การใช้งานเลี้ยงมาเป็นเครื่องมือในการลอบสังหาร