DC บทที่ 312: เขาชื่อว่าซูหยาง

 

การประชุมสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วหลังจากที่เจ้าซีสั่งให้ผู้อาวุโสจงนำเซียวหยางไปหาเขา อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะปล่อยทุกคนที่นั่นไป เจ้าซีได้กล่าวกับพวกเขาว่า “มิว่านี่จะเป็นเซียวหยางหรือไม่ที่เป็นผู้ร้ายให้ถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าพวกท่านพบเจอเขาให้พาเขามาหาข้า ข้ามีบางสิ่งที่ข้าต้องการถามเขา”

 

“ขอรับ ท่านเจ้า”

 

หลังจากที่ออกจากห้องประชุมแล้ว ผู้อาวุโสจงก็ไม่ได้ตามหานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในทันทีในเมื่อเขาถูกหยุดไว้ด้วยคนคนหนึ่งก่อนที่เขาจะทันได้ออกไปจากบ้าน

 

“มีเรื่องอะไรรึ นายหญิงน้อย” ผู้อาวุโสจงมองดูสาวงามล่มเมืองตรงหน้าเขาด้วยรอยยิ้มขื่นขม

 

“ข้าต้องการให้ท่านบอกข้าให้มากกว่านี้เรื่องที่ท่านพบเจอกับพี่ชายเซียว”

 

“ว่าแล้วว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับเขา…” ผู้อาวุโสจงคิดและถอนใจ

 

“เล่าให้สั้นๆ ข้าพบกับเซียวหยางที่ประตูทางเข้าเมือง แต่เราก็แยกกันหลังจากที่เข้ามาในเมืองและได้พูดคุยกันเพียงเล็กน้อย มิมีอะไรที่สลักสำคัญ”

 

“ท่านพูดว่าเขามากับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย กระทั่งสวมชุดนิกายของพวกเขาด้วย พวกเขาคิดว่าเขาเกี่ยวข้องกับพวกเขาเช่นนั้นจริงๆรึ” เธอถาม

 

แม้ว่าซีซิงฟางไม่ได้มีความคิดรังเกียจใดต่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่วิสัยทางเพศของพวกเขาก็ยังทำให้เธอ หญิงสาวบริสุทธิ์ซึ่งอ่อนด้อยต่อเรื่องเช่นนั้น รู้สึกอึดอัด

 

“ข้าจักพบกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่อจากนี้เพื่อยืนยันเรื่องนั้น” เขากล่าว

 

“หรือว่าท่านพ่อของข้าบอกท่านให้ทำเช่นนั้น”

 

ผู้อาวุโสจนเพียงพยักหน้า เขามีเจตนาที่จะละเลยส่วนที่ว่าเซียวหยางตอนนี้เป็นผู้ต้องสงสัยฆ่าคนขณะที่อยู่ในเมือง ในเมื่อนั่นย่อมจะทำให้เธอเสียใจ

 

“อืม… ถ้าผู้อาวุโสจงพบกับเขา ท่านพอจะให้สิ่งนี้กับพี่ชายเซียวแทนข้าได้หรือไม่” ซีซิงฟางนำเอาบางอย่างออกมาจากกระเป๋าของเธอและยื่นส่งให้กับเขา

 

“…”

 

ผู้อาวุโสจงมองดูหยกสื่อสารที่ซีซิงฟางให้กับเขาด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ในเมื่อเขาไม่มั่นใจว่าเจ้าซีจะคิดว่าอย่างไรในเรื่องนี้

 

“นายหญิงน้อย ถ้าพ่อของท่านรู้เรื่องนี้…”

 

“เช่นนั้นก็อย่าให้เขารู้” ซีซิงฟางตอบกลับอย่างรวดเร็ว

 

ผู้อาวุโสจงยิ้มขื่นขม และหลังจากที่ครุ่นคิดชั่วขณะ เขาก็กล่าวว่า “ถ้านายหญิงน้อยสัญญาว่าเธอจักมิแอบหนีออกไปพบกับเซียวหยาง ผู้เฒ่าคนนี้จักย่อมยินดีส่งมอบหยกสื่อสารนี้ให้กับเขา”

 

ซีซิงฟางแอบขมวดคิ้ว ทำไมเขาจึงรู้ว่าเธอกำลังคิดเรื่องแบบนั้น ใช่ว่าเธอแอบออกไปหรือทำอะไรทำนองนั้นบ่อยๆเสียเมื่อไหร่ จริงแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เธอคิดจะทำอย่างนั้นด้วยซ้ำ

 

“ได้ ข้าสัญญา” เธอกล่าวเมื่อเวลาผ่านไปสองสามวินาทีหลังจากนั้น

 

ผู้อาวุโสจงพยักหน้าและเริ่มเดินจากไป อย่างไรก็ตามเขาก็ได้ถามเธอก่อนที่จะไปลับตาว่า “อีกอย่าง นายหญิงน้อย ท่านคิดอย่างไรกับเซียวหยางคนนี้”

 

“ข้าชื่นชมเขา” เธอตอบอย่างง่ายๆ

 

“อย่างนั้นรึ..” ผู้อาวุโสจงไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไปและออกไปจากบ้านตระกูลซีเพื่อตามหานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย

 

แน่นอนว่า ด้วยฐานะของเขาและเครือข่ายของตระกูลซี นั่นไม่ได้ใช้เวลาเขาถึงนาทีในการที่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย

 

หลังจากที่รู้ตำแหน่งของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ผู้อาวุโสจงก็ไปถึงโรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะต่อจากนั้น

 

“ป-ปราชญ์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์”

 

พนักงานต้อนรับพลันจดจำรูปลักษณ์อันสูงส่งของเขาได้ในทันทีและเกือบหัวใจวาย

 

“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอยู่ที่ไหน” ผู้อาวุโสจงถามพนักงานต้อนรับโดยไม่ยอมเสียเวลา

 

“ช-ชั้นสี่ พวกเขาอยู่ที่ชั้นสี่”

 

แม้ว่าพวกเขาจะมีกฏที่เข้มงวด แต่พนักงานต้อนรับก็เปิดเผยชั้นที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอยูให้กับผู้อาวุโสจงในทันที

 

“ข้ารู้สึกซาบซึ้ง”

 

ผู้อาวุโสจงไม่ได้ชักช้าตรงไปยังชั้นสี่อย่างรวดเร็ว

 

เมื่อไปถึงชั้นสี่ ผู้อาวุโสจงก็สังเกตเห็นหญิงสาวสวยคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงกลางห้องโถงหลับตา ดูเหมือนว่ากำลังฝึกสมาธิ อย่างไรก็ตามทำไมเธอจึงมาฝึกสมาธิในที่เปิดโล่งเช่นนี้ในเมื่อมีห้องอยู่ทุกด้าน

 

เมื่อผู้อาวุโสจงปรากฏตัวขึ้นบนชั้นสี่ หญิงสาวสวยที่นั่งอยู่ตรงกลางห้องโถงนั้นก็ลืมตาขึ้นมองดูเขา

 

“ปราชญ์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์”

 

หญิงสาวสวยนั้นพลันยืนขึ้นและโค้งคำนับเล็กน้อยกล่าวว่า “คำนับผู้อาวุโสจง ข้าน้อยเรียกว่าโหลวหลานจี ผู้นำนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ข้าพอจะช่วยเหลือท่านได้อย่างไรบ้างในวันนี้”

 

“ข้าต้องขออภัยกับการมาอย่างกระทันหัน แต่ตอนนี้ข้ากำลังมองหาใครสักคนอยู่”

 

โหลวหลานจีพลันนึกถึงซูหยางเมื่อผู้อาวุโสจงกล่าวว่าเขากำลังมองหาคน แต่เธอยังคงรอให้เขาพูดให้จบก่อน

 

“เซียวหยาง ข้าขอพูดกับเขาได้ไหม”

 

“เซียวหยาง… ใครกัน” โหลวหลานจีเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

 

“เอ๋”

 

ผู้อาวุโสจงสังเกตเห็นหน้าตาสงสัยของเธอจึงกล่าวว่า “เซียวหยาง… ชายหนุ่มคนนั้นที่อยู่ในกลุ่มของพวกเจ้าที่ทางเข้าเมืองนั่นไง… รึว่าเขามิได้มากับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”

 

หลังจากที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น โหลวหลานจีพลันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงถามว่า “ชายหนุ่มนั่น… รึว่าเขาบอกท่านว่าเขาชื่อเซียวหยาง”

 

ผู้อาวุโสจงก็เริ่มเข้าใจสถานการณ์เช่นกัน

 

“รึว่านั่นมิใช่ชื่อเขา” เขาตอบสนองด้วยน้ำเสียงเชิงคำถาม

 

“แม้ว่าข้ามิรู้เหตุผลที่เขาปกปิดตัวตน แต่เจ้าเด็กหนุ่มเกเรนั่นชื่อ ซูหยาง…” โหลวหลานจีเผยความจริงให้กับผู้อาวุโสจงซึ่งยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางงุนงง

 

“ไม่น่าประหลาดใจเลยที่ทำไมข้าจึงมิพบชื่อเขาเมื่อข้าสืบนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย นั่นเป็นชื่อปลอมมาโดยตลอด” ผู้อาวุโสจงร่ำร้องในใจ

 

อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะถูกโกหก ผู้อาวุโสจงก็ไม่ถือโทษซูหยาง ในเมื่อนั่นเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ฝึกยุทธที่จะปกปิดตัวตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามเมื่อพวกเขาเดินทางตามลำพัง

 

หลังจากที่เงียบงันกระอักกระอ่วนไปชั่วขณะ ผู้อาวุโสจงก็พูดต่อราวกับว่าเขารู้เรื่องนี้มาโดยตลอด “ซูหยาง… ข้าสามารถพูดกับเขาได้ไหม”

 

โหลวหลานจีหันไปมองที่ห้องที่ซูหยางพักอยู่ภายในและหันกลับมายังผู้อาวุโสจง

 

“นั่น… อาจจะยากในตอนนี้” เธอตอบด้วยรอยยิ้มขออภัย

 

“เพราะเหตุอันใดรึ” ผู้อาวุโสจงถาม

 

“เขา…เอ้อ… ตอนนี้กำลังฝึกวิชาร่วมกับศิษย์คนอื่นอยู่…”

 

“ฝึกวิชา…กับคนอื่น”

 

แม้ว่านั่นจะทำให้เขาต้องใช้เวลาชั่วขณะหนึ่ง ครั้นเมื่อผู้อาวุโสจงตระหนักว่าอะไรคือสิ่งที่โหลวหลานจีพยายามจะพูด ดวงตาของเขาก็กว้างขึ้นด้วยความตระหนก และเขาก็ถึงกับยืนนิ่งอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางงงงัน