เวินหลานฉีตกตะลึงกับทัศนียภาพตรงหน้า
หลังคาโดมแก้วขนาดครึ่งวงกลมครอบพื้นที่ว่างนี้เอาไว้ มีโต๊ะสวยหรูตัวหนึ่งจัดวางอยู่บริเวณกลางโดม หรือจะเป็นดินเนอร์ใต้แสงเทียน สภาพแวดล้อมนี้ดูหรูเกินไปแล้วมั้ง!
“ที่แท้ชั้นบนสุดของหวังเฉายังมีที่แบบนี้อยู่ด้วยงั้นเหรอ ทำไมก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยมาเลยนะ” เวินหลานฉีเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
“ช่วงออกแบบตอนแรกผมให้พวกเขาเพิ่มเข้าไปเองแหละ ที่นี่ไม่ได้เปิดให้คนนอกเข้าชมหรอก เป็นไง คุณชอบไหมล่ะ” ฮั่วฉินเยี่ยนเข้ามาสวมกอดเอวของเวินหลานฉีจากข้างหลัง พลางเอ่ยถาม
“ชอบ”
มองจากบนนี้ลงไป แทบจะเก็บภาพยามค่ำคืนของเมืองหลวงแห่งนี้ได้แทบทั้งหมด ทั้งแสงไฟแวววาวบนท้องถนนที่ตัดสลับกันไปมา ทั้งรถราวิ่งกันขวักไขว่บนท้องถนน จนกลายเป็นเมืองแสงสีแห่งนี้
หากทว่าที่นี่กลับดูเหมือนจะใกล้กับท้องฟ้าเหลือเกิน แค่เงยหน้าขึ้นก็เห็นดวงดาวพร่างพราวเต็มท้องฟ้าแล้ว
“ฉีฉีคุณมองทางนั้นสิ” ฮั่วฉินเยี่ยนชี้ไปยังจอภาพขนาดใหญ่ พร้อมทั้งเอ่ยพูด
“ห้า…สี่…สาม…สอง…หนึ่ง…”
ทันทีที่เสียงพูดขาดห้วงไป จอภาพขนาดใหญ่ก็ปรากฏอักษรขึ้นมาแถวหนึ่ง ‘เวินหลานฉี ผมจะรักคุณตลอดไป’
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าทั้งเมืองหลวงแห่งนี้ มีเพียงฮั่วฉินเยี่ยนคนเดียวเท่านั้นทำเรื่องพรรค์นี้ได้
เวินหลานฉีเอามือกุมพวงแก้มอย่างตื้นตันใจ รู้สึกตื่นเต้นอย่างหาที่เปรียบมิได้
“ฉีฉีสุขสันต์วันครบรอบเจ็ดปีนะ! วันนี้เป็นปีที่เจ็ดของการแต่งงานของเรา ยังดีที่ผมยังไม่เสียคุณไป” น้ำเสียงบางเบาของฮั่วฉินเยี่ยน ดังขึ้นข้างหูของเวินหลานฉี
เวินหลานฉีอึ้งไปสักพัก แล้วลองนับวันดู เป็นวันนี้จริงๆ ด้วย…ไม่ผิดเลย
ที่แท้ก็…เจ็ดปีแล้ว
เพราะท่าทีเมินเฉยของเขาในตอนนั้น แล้วเธอยังจะต้องให้ความสนใจวันครบรอบแต่งงานไปทำไมล่ะ
คาดไม่ถึงว่าอาเยี่ยนเขา…ยังจำได้ด้วย ท่านประธานผู้มีงานการล้นมือคนหนึ่ง ยังอุตส่าห์จำวันแบบนี้ได้ อาจเพราะเธอสำคัญต่อใจเขามากจริงๆ ละมั้ง
ขอบตาของเวินหลานฉีค่อยๆ แดงก่ำ ฉ่ำชื้น น้ำตาไหลพรากลงมาเงียบๆ หากแต่รายละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้กลับถูกฮั่วฉินเยี่ยนเก็บไว้ในสายตาหมดแล้ว
“ฉีฉีอย่าร้อง” ฮั่วฉินเยี่ยนปาดน้ำตาตรงหางตาของเวินหลานฉีอย่างอ่อนโยน
กลับมาคืนดีกันนานขนาดนี้แล้ว ความดีของฮั่วฉินเยี่ยนที่มีต่อเวินหลานฉี ล้วนสลักลึกอยู่ในใจของเธอทุกกระเบียดนิ้ว เธอไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเธอนั้นรักเขาเท่าตอนแรกเสียด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าที่แท้เขาก็รักเธออย่างลึกซึ้งมาโดยตลอด
การมีใครสักคนรอคุณอยู่ที่เดิมอย่างไม่มีหวังมานานหลายปีขนาดนี้ คงไม่ง่ายเลย…ฮั่วฉินเยี่ยนเขาทำได้อย่างไรกัน…
นึกถึงคืนวันซึ่งไม่อาจนับได้ เขาอาจจะไม่สบายใจบ้าง เสียน้ำตาบ้าง ในฝันอาจจะฝันถึงเธอแล้วสะดุ้งตื่นบ้าง ทุกวันนี้เธอไม่สบายใจแทนเขาอย่างลึกซึ้งกับความเป็นไปได้ทุกอย่างนี้
ตลอดสามปีที่เขาเมินเธอในตอนแรกนั้น เธอไม่คิดหยุมหยิมมานานแล้ว ก็แค่ความเข้าใจผิดจากสร้อยเส้นหนึ่ง จริงๆ คนที่อยู่ในใจเขามาโดยตลอดคือเธอนี่เอง…
ความรู้สึกของเวินหลานฉีซับซ้อนอย่างไม่อาจบรรยายได้
“ฉีฉีอย่าคิดมากขนาดนั้นเลย รีบมากินข้าวเถอะ” ฮั่วฉินเยี่ยนมองเวินหลานฉีที่ไม่รู้ว่าคิดหาคำตอบอะไรอยู่อย่างโง่งม เรียกเธอมาที่โต๊ะอาหาร
“ลองชิมดูสิ เป็นอย่างไรบ้าง” ฮั่วฉินเยี่ยนมองเวินหลานฉีด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยการรอคอย
“อืม…อร่อยมากเลยล่ะ แต่รสชาตินี้มัน ทำไมไม่ค่อยเหมือนพ่อครัวของหวังเฉาทำเลยล่ะ” เวินหลานฉีเอ่ยขึ้น หลังจากกลืนสเต๊กเนื้อวัวลงท้อง
“แน่นอนว่าไม่ใช่พวกเขาทำหรอก ยัยฉีบ๊อง นี่มันอาหารที่สามีของคุณลงมือเข้าครัวเองเชียวนะ!” เมื่อฮั่วฉินเยี่ยนได้รับคำชม ก็เอ่ยพูดกับเวินหลานฉีด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
“อาเยี่ยน ฉันว่าคุณเองก็มีความเป็นพ่อครัวมากเหมือนกันนะเนี่ย ถ้าอย่างนั้นคุณยกตำแหน่งประธานให้ฉัน แล้วคุณก็เป็นพ่อครัวอยู่ที่หวังเฉาอย่างหมดห่วงเป็นไง” เวินหลานฉียิ้มอย่างชั่วร้ายเต็มใบหน้า
คงให้ชายคนนี้หยิ่งผยองอีกไม่ได้ ไม่อย่างนั้นนะ เธอไม่อยากจะลิ้มลองผลสุดท้ายนี้อีกแล้ว
“ให้มันได้อย่างนี้สิเวินหลานฉี ที่แท้คุณก็อยากจะได้ตำแหน่งท่านประธานของผมนี่เอง!” ฮั่วฉินเยี่ยนทำทีโกรธ แสร้งว่าอยากจะก้าวไปตีเวินหลานฉีอย่างไรอย่างนั้น
ดินเนอร์ใต้แสงเทียนตลอดมื้อนี้ ผ่านไปพร้อมกับการหยอกล้อหัวเราะกันอย่างสนุกสนานของทั้งสองคน
ยืนมองวิวเมืองนี้อยู่บนขอบกระจกอย่างเงียบ เมืองที่แบกรับความสุขและความเศร้าไว้มากมาย พอได้ยืนมองมันจากที่สูงอย่างตอนนี้ อยู่ๆ เวินหลานฉีก็รู้สึกเหมือนได้ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน
“ฉีฉี คุณว่าพอเราแก่ตัวลงแล้ว เรามาดูวิวยามค่ำคืนด้วยกันแบบนี้อีกดีไหม” ฮั่วฉินเยี่ยนโอบเวินหลานฉี พลางเอ่ยถามเสียงเบา
“อืม…” เวินหลานฉีพยักหน้า และพิงแผงอกกว้างของฮั่วฉินเยี่ยน
เขาไม่เหมือนฮั่วฉินเยี่ยนคนที่เธอรู้จักก่อนหน้านี้เลยจริงๆ
เขายิ่งเข้าใจความโรแมนติก เข้าใจอารมณ์ และยิ่งเข้าใจว่าจะรักเธออย่างไรมากกว่าแต่ก่อน
ตอนนี้เขาหลงเธอถึงขั้นคนในเมืองหลวงนี้ต่างเล่าลือกันไปต่างๆ นานา ว่าประธานฮั่วโปรดปรานภรรยาของเขาเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะร้องขอสิ่งใดก็ย่อมได้ จนกลายเป็นคำพูดน่ายินดีของชาวเมืองหลวงมานานแล้ว
เช้าตรู่วันต่อมา ทันทีที่เพิ่งถ่างตามาถึงออฟฟิศได้ สายจากเฉียวมู่ก็โทรเข้ามาจนรับมืออย่างไม่หวาดไม่ไหว ราวกับเร่งเอาชีวิตก็มิปาน ทันทีที่กดรับสาย เสียงของเฉียวมู่ก็รัวตู้มๆๆ มาตามสายอย่างกับปืนกล
“ต้าฉี เย็นนี้ว่างไหม นัดกันไปกินอาหารฝรั่งกันสักหน่อยไหม เดี๋ยวนี้วันๆ เธออยู่กินกับฮั่วฉินเยี่ยนของพวกเราอย่างอุดมสมบูรณ์ จนลืมฉันไปแล้วสินะ ไม่รู้จักเป็นฝ่ายเลี้ยงข้าวฉันบ้าง เหอะ”
“โอเคๆๆ เย็นนี้ฉันเลี้ยงเอง เราไปกินอาหารดีๆ กันสักมื้อ!” เมื่อได้ยินคำบ่นของเฉียวมู่ เวินหลานฉีก็หัวเราะอย่างไม่ถือโทษ
ช่วงนี้แต่ละวันเธอโดนใครบางคนมัดตัวไว้ข้างกายอย่างดื้อๆ ทำงานเลิกงานด้วยกัน กินข้าวพร้อมกัน…เฮ้อ ช่วงเวลาส่วนตัวลดน้อยลงอย่างรุนแรงเลยละนะ ถึงเวลาแล้วที่ต้องต่อต้านความเป็นเจ้าของของประธานฮั่วอย่างหนักแน่น!
ทำไมวันๆ เขาเอาแต่กังวลว่าเธอจะหนีไปกับคนอื่นกันนะ
คิดไปคิดมาก็ต่อสายหาฮั่วฉินเยี่ยน
ฮั่วฉินเยี่ยนผู้อยู่ปลายสายเมื่อเห็นว่าเป็นสายจากเวินหลานฉี ในใจลึกๆ ก็แอบดีใจจริงๆ เมื่อคิดว่าเวินหลานฉีกำลังคิดถึงเขาอยู่หรือเปล่า จึงคิดบทพูดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าจะพูดอย่างไรดี ทว่ากลับได้ยินเธอบอกว่าเย็นนี้จะออกไปกินข้าวกับเพื่อนซี้
เฮ้อ เวินหลานฉีก็แค่ไม่อยู่เป็นเพื่อนเขาเท่านั้นเองละนะ ถ้าอย่างนั้นพนักงานของประธานฮั่วก็ต้องรับกรรมแล้วล่ะ…
“เย็นนี้ทำงานล่วงเวลา ถ้าเขียนหนังสือแผนงานออกมาไม่ได้ ห้ามกลับบ้าน” ฮั่วฉินเยี่ยนออกคำสั่งอย่างเย็นชา
พอเจอหน้ากัน เฉียวมู่ก็โผเข้ากอดเวินหลานฉีทันที เธอย้อมผมยาวสีชมพู ประหนึ่งตุ๊กตาบาร์บี้ของเธอนั้นเป็นสีน้ำตาลเกาลัด แถมยังม้วนผมเล็กน้อย จนดูดีไปอีกแบบ
“ต้าฉี ช่วงนี้เธอมัวแต่เดตกับประธานฮั่วจนลืมฉันไปแล้วสินะ ไม่ติดต่อหาฉันบ้างเลย!” เฉียวมู่แลบลิ้นอย่างไม่พอใจ
“ไม่ใช่สักหน่อย เป็นเพราะบริษัทยุ่งเกินไปต่างหาก” เวินหลานฉีรีบอธิบายอย่างร้อนรน
“เงินที่ประธานฮั่วของเธอหามาได้ ยังไม่พอให้พวกเธอถลุงกันไปหลายชาติอีกหรือไง เธอถึงยังต้องทำงานเอาเป็นเอาตายขนาดนี้ สักวันฉันคงต้องไปหาเขาเพื่อพูดคุยสักหน่อยแล้ว เหอะ ปล่อยให้ภรรยาตัวเองเหนื่อยขนาดนี้ได้ยังไง” เฉียวมู่เบ้ปาก
“เฮ้อ อย่าเลย ต่อให้เขามีเงินอีกเท่าไร แต่บริษัทนั้นก็เป็นบริษัทที่ฉันก่อตั้งขึ้นมาเองนะ ฉันก็ต้องทุ่มเทเพื่อบริษัทสิ เด็กดี เรากินข้าวกันเถอะ” เวินหลานฉีถลึงตาใส่เธอไปที หลังจากพูดจบก็ดึงแขนเธอเดินเข้าไปในร้านอาหารหนึ่งทันที
ทั้งสองหยอกล้อหัวเราะกันอย่างสนุกสนานคลอกันไปจนกินข้าวมื้อเย็นเสร็จ หลังจากมองตามหลังเฉียวมู่จากไป ฮั่วฉินเยี่ยนก็มารับเวินหลานฉีกลับบ้าน
เอนหลังลงนอนบนเตียง และค่ำคืนนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ทั้งสองร่วมรักกัน สุดท้ายเวินหลานฉีก็นอนอยู่ในอ้อมกอดของฮั่วฉินเยี่ยน ฟังฮั่วฉินเยี่ยนพูดจ้อกับเธอไม่หยุดจนเคลิ้ม เหมือนว่าจะได้ยินฮั่วฉินเยี่ยนพูดอยู่ข้างหู “ฉีฉี เรามาจัดงานแต่งงานกันเถอะ!”
เวลานี้เวินหลานฉีเพียงแค่อยากนอน ใครจะมีแก่ใจมาไตร่ตรองความหมายของคำพูดนี้กัน เกรงว่าแม้แต่ว่าเขาพูดอะไรยังไม่รู้เลย จึงได้แต่ส่งเสียง ‘อืม’ ไปตามจิตใต้สำนึกเท่านั้น
ฮั่วฉินเยี่ยนยิ้มอย่างมีเลศนัยเพราะแผนการได้ผล แล้วพูดต่อ “ผมพลิกหน้าปฏิทินดูแล้ว วันที่ห้าเดือนหน้าเป็นวันดีที่จะแต่งงานกัน เราจัดการแต่งงานกันวันนั้นดีไหม”
“อืม” เวินหลานฉีโบกมืออย่างวุ่นวายใจ คิดเพียงว่าเสียงที่ดังข้างหูรบกวนการนอนข้างเธอนี้ช่างน่ารำคาญเกินไป จึงรีบมุดหน้าเข้ากับหมอนทันที
“งั้นพรุ่งนี้ผมไปส่งการ์ดแต่งงานเลยแล้วกัน” ฮั่วฉินเยี่ยนแสยะยิ้ม เผยฟันบนล่างอันขาวเป็นประกาย
เวินหลานฉีตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมา กะพริบตาได้ไม่นาน ในที่สุดก็รู้สึกว่าเรื่องไม่ค่อยถูกนัก จึงหยุดไปเกือบๆ สิบห้านาที ให้สมองคืนสติกลับมาทำงานสักหน่อย ถึงนึกขึ้นได้ว่าฮั่วฉินเยี่ยนพูดอะไรไว้บ้าง เธอค่อยๆ หยัดกายขึ้นนั่ง แต่ฮั่วฉินเยี่ยนออกไปนาน จนไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว เวลานี้เกรงว่าคงจะสั่งให้เฉิงหมิงไปตีพิมพ์การ์ดแต่งงานเรียบร้อยแล้ว
สาเหตุที่ฮั่วฉินเยี่ยนหลอกให้เวินหลานฉีตอบรับแบบนี้ เพราะกลัวเธอจะคิดว่าเคยจัดงานไปแล้วครั้งหนึ่ง แล้วจะไม่ยอมให้กระพือข่าวขนาดนี้
เวินหลานฉีคิดว่าการแต่งงานเป็นเรื่องของคนสองคน สำคัญคือทั้งสองคนมีความสุขก็พอ เพราะถึงอย่างไรทั้งสองก็จดทะเบียนสมรสกันตั้งนานแล้ว ที่จัดงานแต่งงานก็แค่ชดเชยเท่านั้น แล้วก็เชิญแค่คนที่อยากจะอวยพรพวกเขาอย่างจริงใจก็พอ ส่วนคนที่มีรอยยิ้มบนใบหน้าเหล่านั้น แต่ในใจกลับยิ้มเยาะ มาแล้วก็กระทบความรู้สึกของตนเสียเปล่าๆ
หลังจากรอให้เวินหลานฉีหวนคิดถึงเรื่องเมื่อคืนทั้งหมด แล้วโทรหาฮั่วฉินเยี่ยน
“เดือนหน้าเร็วไปหน่อยหรือเปล่า” เวินหลานฉีเอ่ยถาม
“ก็เพราะอยากเห็นภาพภรรยาของผมสวมชุดแต่งงานไงล่ะ” ฮั่วฉินเยี่ยนเอ่ยพลางยิ้มร้าย ด้วยสีหน้ารอคอย
ทางฝั่งเวินหลานฉีพยักหน้าเบาๆ ดวงหน้าแดงฉานอย่างกับลูกพลับก็มิปาน
“สรุปแล้วทั้งหมดนี้ให้ผมจัดการก็พอ”
เขามักจะตัดสินใจก่อนแล้วค่อยมาถามความเห็นเธอเสมอ คล้ายกับว่าแค่บอกให้เธอรับรู้เรื่องนี้เท่านั้น ถ้าเธอรับปากนั่นก็ถือว่าดีมาก แต่ถ้าเธอเกิดสงสัยก็จะพูดโน้มน้าวจนกว่าเธอจะเลิกสงสัย
หากแต่เธอกลับแอบชอบวิธีแบบนี้อยู่ลึกๆ ไม่ว่าอะไรก็ไม่ต้องสนใจ แค่ฟังเขาก็พอ ชายคนนี้มักจะทำให้เธอรู้สึกสบายใจเสมอ
เวินหลานฉีรับปาก
อันดับแรกเลย ฮั่วฉินเยี่ยนอยากจะให้งานแต่งงานครั้งนี้ชดเชยความเสียใจ ที่มีต่อเวินหลานฉีเมื่อเจ็ดปีก่อน ที่ทำให้เธอต้องมาเป็นภรรยาตัวเองด้วยความไม่ชัดเจน งานแต่งงานเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด และสวยงามที่สุดในชีวิตของหญิงสาวทุกคน ในเมื่อคนอื่นมีได้ เขาย่อมอยากให้สิ่งนี้กับผู้หญิงของเขาเช่นกัน
แต่ฮั่วฉินเยี่ยนไม่ได้เตรียมการจะเชิญแขกเหรื่อผู้ไม่เกี่ยวข้อง มาก่อกวนความเป็นระเบียบและความรู้สึกมากนัก แขกที่เขาเชิญมานอกจากคนที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อเขาทั้งสองคนแล้ว ล้วนเป็นนักธุรกิจผู้มีชื่อเสียงภายในประเทศ และนักการเมืองผู้โด่งดังทั้งนั้น
ซึ่งแบบนี้เห็นได้ชัดมาก ว่าตำแหน่งก็จะถูกแบ่งแยกไปตามการ์ดแต่งงานแต่ละใบ แต่ทุกอย่างทั้งหมดนี้เมื่อได้รับการ์ดแต่งงานแล้ว มันจะเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกตัวตน นั่นหมายความว่าจะไม่เหมือนกับพนักงานรัฐกับเอกชนธรรมดาทั่วไป แม้ว่าจะมีคนอื่นเชื่อใจตัวตนของพวกเขาก็ตาม ตอนแรกยังอยากจะเล่นตัวเสียด้วยซ้ำ ก็เพราะเหตุการณ์แบบนี้ถึงได้มากันอย่างเต็มใจ
ใครจะไม่อยากหยิบยืมโอกาสนี้ทำความรู้จักผู้คนมากกว่าเดิมกันล่ะ ขยายกลุ่มเพื่อนเสียหน่อย แล้วต่อไปคนเหล่านี้ก็จะได้มีโอกาสเป็นคู่ค้าทางธุรกิจกันได้ คุณไปร่วมงานแต่งงานครั้งหนึ่ง อาจจะได้บรรลุความร่วมมือกันก็ได้
ต่อให้ยังไม่มีโอกาสร่วมมือกันตอนนี้ ถึงตกลงการค้าไม่สำเร็จ แต่มิตรภาพยังคงอยู่ ได้ทำให้อีกฝ่ายจดจำไว้ในหัวใจก็ถือว่าสำเร็จแล้ว
ครั้งนี้ฮั่วฉินเยี่ยนวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะให้งานแต่งงานยิ่งใหญ่ขนาดไหน แม้แต่ดีเทลเล็กๆ อย่างการ์ดแต่งงานก็ไม่ให้รอดพ้นสายตา ในเมื่อส่งให้คนที่มีฐานะทั้งหมด จะกระจอกงอกง่อยไม่ได้เด็ดขาด
บนหน้ากระดาษสีแดงดั้งเดิมนั้นเป็นขอบทองคำบริสุทธิ์ แม้แต่ตัวอักษรยังฝังทองคำบริสุทธิ์ของจริง ด้วยซ้ำ นอกจากนี้มุมขวาล่างของซองการ์ดแต่งงาน ยังฝังเพชรเม็ดเล็กๆ อีกต่างหาก ดูประณีตละเอียดอ่อนยิ่งนัก