ตอนที่ 137 แต่งงาน

พ่ายรักวิวาห์ลวง

เวินหลานฉีไม่รู้เลยว่าขณะที่เธอสับสนอยู่นั้น ได้ตอบรับ ‘อืม’ ไปแล้วกี่คำ ทั้งยังทำให้สื่อข่าวของเมืองหลวงต้องระเบิดอีกครั้ง

 

 

นั่นก็เพราะการ์ดแต่งงานใบนี้เป็นเหตุ ให้บรรดานักข่าวได้ทำข่าวจนหนำใจ ทั้งถ่ายภาพ วิพากษ์วิจารณ์ ทั้งลงข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ และโพสต์ลงบนอินเทอร์เน็ต

 

 

ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับงานแต่งงานนั้น ฮั่วฉินเยี่ยนย่อมเก็บเป็นความลับอยู่แล้ว สิ่งเดียวที่เผยออกมาก็คือจะมีการบันทึกภาพทั้งทางอากาศและภาคพื้นดิน ซึ่งจะถ่ายทอดสดผ่านทางดาวเทียมแบบเต็มรูปแบบ มีสถานีโทรทัศน์หลายเจ้ามาหาเขาถึงที่ เพื่อร้องขอสิทธิถ่ายทอดสด โดยแทบไม่ต้องให้ฮั่วฉินเยี่ยนไปติดต่อซื้อช่วงเวลาออกอากาศจากทางสถานีเลยด้วยซ้ำ

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนคิดแค่เพียงว่าอยากให้คนรู้เรื่องงานแต่งงานของเขากับเวินหลานฉี มากเท่าที่จะเป็นไปได้

 

 

งานแต่งงานเป็นวิธีการที่รวดเร็วและดีที่สุด ที่จะทำให้ผู้คนเข้าใจและยืนยันสถานะของเวินหลานฉี

 

 

ทั้งหมดถูกจัดเตรียมไว้อย่างดีตามแผนการ แม้ภายนอกเวินหลานฉีจะดูไม่ตื่นตระหนก หากแต่ภายในใจกลับรอคอยอย่างตื่นเต้นไม่รู้จักเท่าไร

 

 

เวลาผ่านไปไวราวกับม้าขาวลอดช่องว่าง [1] ช่วงเวลาหนึ่งเดือนนั้นจะบอกว่าเร็วก็ไม่เร็ว จะบอกว่าช้าก็ไม่ช้า การรอคอยของเวินหลานฉี และการเตรียมการอย่างหนาแน่นของฮั่วฉินเยี่ยนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

 

ณ มหาวิหารปราสาทแมนเดล ในประเทศเยอรมนี งานแต่งงานยิ่งใหญ่ใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว เวินหลานฉีสวมชุดแต่งงานที่ฮั่วฉินเยี่ยนเชิญนักออกแบบมาออกแบบให้โดยเฉพาะ เธอนั่งอยู่หน้ากระจกเพื่อให้ช่างแต่งหน้าของงานแต่งงานแต่งหน้าให้ โดยไม่ได้แต่งหน้าจัดจ้านอย่างเจ้าสาวทั่วไป การแต่งหน้าของเวินหลานฉีนั้นเบาบาง หากแต่กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าหม่นหมองเลยแม้แต่น้อย เดิมทีเธอก็สวยธรรมชาติอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องแต่งหน้าจัดเกินไปนัก เบาบางดั่งดอกบัวโผล่พ้นผิวน้ำ แต่กลับเหมาะสมกับเธอที่สุด

 

 

ผมยาวถูกเกล้าไว้ข้างหลัง ไม่ได้มีลูกเล่นอะไรนัก แค่เปียผมเรียบๆ และดึงให้หลวมๆ เล็กน้อย ให้ดูยุ่งเหยิงนิดหน่อย แต่โดยรวมแล้วกลับดูเหมือนเจ้าหญิงในป้อมปราการยุคกลางเลยทีเดียว บนหัวมีมงกุฎสีเงินเรียบๆ อยู่ ซึ่งเชื่อมกับผ้าบางๆ คลุมหน้า ซึ่งห้อยยาวลงไปถึงชายกระโปรงชุดแต่งงาน

 

 

ชุดแต่งงานแบบเกาะอก เผยให้เห็นแนวกระดูกไหปลาร้าของเธออย่างถึงอกถึงใจ บริเวณหน้าอกปักเย็บด้วยลูกไม้อย่างประณีต และประดับด้วยเพชรสีชมพูตรงขอบ สวยงามและไม่ดูธรรมดาเกินไป รูปแบบเสตย์รัดหน้าท้องยิ่งทำให้เห็นส่วนโค้งเว้าอันงดงามของเธออย่างเห็นได้ชัด

 

 

ส่วนชายกระโปรงกลับเป็นผ้ากำมะหยี่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ ประหนึ่งขนนกก็มิปาน คล้ายดั่งดอกไม้เบ่งบานสะพรั่ง ผ้าบางสีขาวทิ้งตัวยุ่งเหยิงนั้น ทำให้เธอเปรียบเสมือนทูตสวรรค์ผู้มีออร่าเปล่งประกายรอบตัว และชายกระโปรงที่ยาวลากพื้นทั้งสง่าและงดงาม

 

 

เธอเหมือนเจ้าหญิงในป้อมปราการมากเหลือเกิน หากแต่ก็เปรียบเสมือนทูตสวรรค์ลงมาจุติเช่นกัน ทั้งเนื้อทั้งตัวขาวดั่งหิมะ ไม่มีจุดด่างพร้อยเลยแม้แต่น้อย

 

 

ชุดแต่งงาน ชุดสูท แก้วคริสตัล ดอกไม้สด และพรมแดง ทุกอย่างนี้เพอร์เฟกต์ลงตัวจนเกินที่ติเลยจริงๆ

 

 

เธอส่องกระจกดูตัวเองบรรจงแต่งหน้าแต่งตาเป็นครั้งสุดท้าย โดยละทิ้งความไร้เดียงสาของสาวน้อยแล้วเพิ่มเสน่ห์ของสาวใหญ่เข้ามาแทนที่

 

 

เสียงระฆังนาฬิกาของพิธีแต่งงานดังขึ้น เวินหลานฉีดึงผ้าคลุมหน้าลงมาอย่างช้าๆ แล้วเดินตามคนนำทางไปยังห้องโถงใหญ่

 

 

ถึงแม้จะเคยตำหนิพ่อแม่มาก่อน แต่เวลาเช่นนี้ก็ยังเชิญพวกท่านมาร่วมงานอยู่ดี เวินหลานซินเองก็กลับมาจากต่างประเทศเช่นกัน และรอคอยการปรากฏตัวของน้องสาวอยู่บริเวณที่นั่งแขกแถวหน้า

 

 

คุณพ่อนำเวินหลานฉีก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว ภาพเหตุการณ์หลายปีมานี้ย้อนกลับมาฉายใหม่อีกครั้งในใจเธออย่างกับวิดีโอเทปก็มิปาน

 

 

ที่นี่ตอนนั้นเธอก็เดินตามแรงจับจูงของพ่อด้วยความเต็มใจและดีใจ แล้วส่งมือเธอให้กับมือของฮั่วฉินเยี่ยนผู้มีสีหน้าเย็นชาดั่งน้ำแข็งในตอนนั้น และเป็นจุดเริ่มต้นการใช้ชีวิตอันแสนเศร้ารันทดยาวนานถึงสามปี

 

 

ทว่าตอนนี้ชายที่รอเธออยู่นั้น ไม่ใช่เด็กชายแฝงความไร้เดียงสาอย่างในตอนนั้นอีกแล้ว หากแต่เป็นชายหนุ่มผู้มีชื่อเสียงสะเทือนเลือนลั่น ทั้งยังมากความสามารถอีกต่างหาก

 

 

เวินชิงอวิ๋นส่งมือของเวินหลานฉีให้ในมือของฮั่วฉินเยี่ยนอย่างช้าๆ ในใจของเขาว้าวุ่นอยู่นานแล้ว ตอนนั้นเขาทำลายอนาคตลูกสาวสุดที่รักของตัวเองกับมือ แม้ภายหลังเวินหลานฉีจะให้อภัยพวกเขาแล้วก็ตาม แต่ในใจของเขายังคงเต็มไปด้วยความละอายใจอยู่ดี พอได้เห็นเวินหลานฉีกับฮั่วฉินเยี่ยนกลับมาคืนดีกันอย่างในตอนนี้ ช่างมีความสุขเหลือเกิน เขาอดหลั่งน้ำตาแห่งความตื่นเต้นออกมาไม่ได้เลย

 

 

เวินหลานฉีเหลือบตาขึ้นมองเงาร่างของคนตรงหน้าผ่านผ้าคลุมหน้า ภาพนั้นยังคงคุ้นเคยอย่างแต่ก่อน เธอนึกถึงอาการหัวใจเต้นแรงของตัวเอง ยามอยู่ใกล้ชิดเขาในงานแต่งงานครั้งแรก หากแต่ตอนนี้พอหวนคิดถึงแล้ว มันก็ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้วจริงๆ นั่นแหละ

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนค่อยๆ เปิดผ้าคลุมหน้าของเวินหลานฉีออก เขาถึงกับมองค้างไปเล็กน้อยในแวบแรก คนตรงหน้าผิวพรรณเกลี้ยงเกลาดั่งไข่ปอก ผิวขาวดุจหิมะ ตอนนั้นเขาไม่เคยสังเกตเธออย่างละเอียดขนาดนี้มาก่อน ว่านึกไม่ถึงว่าตอนเธอสวมชุดแต่งงานจะงามขนาดนี้ จำได้แค่เพียงความโมโหในตอนนั้น หลังจากเห็นว่าเธอไม่ใช่เวินหลานซิน จนแม้แต่จูบก็แค่แกล้งทำไปอย่างนั้นเอง จริงๆ แล้วไม่ได้ดีอย่างที่คิด

 

 

“ฉีฉี เรามาเริ่มต้นใหม่กันเถอะ” ฮั่วฉินเยี่ยนกระซิบชิดใบหูของเวินหลานฉีอย่างแผ่วเบา ทั้งยังกุมมือทั้งสองข้างอันสั่นเทาเล็กน้อยของเธอ

 

 

เวินหลานฉีพยักหน้าเบาๆ พยายามกลั้นน้ำตาที่แทบจะล้นทะลักออกมา เธอรู้ดีว่าวันนี้เป็นงานแต่งงานของเธอกับเขา ดังนั้นเธอจะร้องไห้ไม่ได้

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนกระชับมือเวินหลานฉีแน่นกว่าเดิม คล้ายกับว่าจะสร้างความกล้าหาญภายในใจให้กับเธอ

 

 

หลังจากพิธีอันควรมีดำเนินผ่านไป ในที่สุดเวินหลานฉีก็ถอนหายใจออกมา

 

 

ข้างนอกของมหาวิหารปราสาทแมนเดลคือสวนดอกไม้ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง และฮั่วฉินเยี่ยนได้เตรียมน้ำชายามบ่ายมากมายไว้ต้อนรับแขกที่นี่

 

 

หลังจากกลับห้องมาเปลี่ยนชุดพิธีการเรียบร้อย เวินหลานฉีก็ตามฮั่วฉินเยี่ยนมายังสวนดอกไม้ข้างนอก หวนคิดถึงตอนนั้นอย่างกับคู่สามีภรรยาก็มิปาน

 

 

เวินหลานฉีตำหนิการเล่นละครตบตาของฮั่วฉินเยี่ยนตอนนั้นอย่างโกรธเคือง เขาทำให้งานแต่งงานดีๆ งานหนึ่งจืดชืดไร้รสชาติเสียได้ ทั้งสองนั่งอยู่บนม้านั่งยาวใช้เวลาตลอดทั้งช่วงบ่าย หยอกล้อกันอย่างเริงร่า

 

 

หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น ทั้งสองก็กลับเมืองหลวง เวินหลานฉีเอาแต่หมกมุ่นอยู่แต่กับงานของตัวเองต่อ ทันทีที่มาถึงบริษัทวันแรกก็โดนเสียงซุบซิบนินทาของบรรดาพนักงานกลบหมด…

 

 

“ประธานเวิน การถ่ายทอดสดงานแต่งงานของพวกคุณ ฉันดูแล้วนะ! สมกับเป็นประธานฮั่ว งานแต่งงานยิ่งใหญ่มากจริงๆ!”

 

 

“ใช่ๆ แถมชุดแต่งงานก็สวยมากเหมือนกัน”

 

 

เวินหลานฉีเม้มปากยิ้มเล็กน้อย ยิ้มโดยไม่เอื้อนเอ่ยคำใด

 

 

หลังจากเธอเอาแต่ยุ่งอยู่กับงานติดต่อกันหลายวันอยู่เช่นนี้ วันหนึ่งขณะที่เวินหลานฉีกำลังแก้ไขเอกสารอยู่ในห้องทำงาน สายโทรศัพท์จากฮั่วฉินเยี่ยนก็โทรเข้ามา

 

 

“หลานฉีรีบเก็บของแล้วลงมาตอนนี้เลยนะ ผมอยู่ข้างล่างบริษัทคุณแล้ว” น้ำเสียงกระสับกระส่ายของฮั่วฉินเยี่ยนนั้น มีความดีอกดีใจของการรอคอยดังลอดมาในสายเช่นกัน

 

 

“ตอนนี้?” เวินหลานฉีดูเวลาเล็กน้อย จากนั้นก็ถามออกมาอย่างสงสัย

 

 

เธอยื่นหน้าออกไปนอกหน้าต่าง แล้วก็เห็นรถของฮั่วฉินเยี่ยนจอดรออยู่ข้างล่างตึกดังคาด

 

 

“ก็ได้ คุณรอแปบนะ” หลังจากพูดจบก็วางสาย แล้วหยิบกระเป๋าเดินลงไปข้างล่างตึก

 

 

พอขึ้นรถแล้ว เห็นว่าฮั่วฉินเยี่ยนไม่ได้บอกตนว่าจุดหมายปลายทางนั้นอยู่ที่ไหน ทั้งเธอก็คร้านจะเอ่ยถาม แต่มองวิวโดยรอบที่ยิ่งออกไปนอกเมืองเรื่อยๆ แล้ว เธอจึงอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้

 

 

“เราจะไปสนามบินเหรอ” ดูจากทิศทางขับเคลื่อนของรถแล้ว เวินหลานฉีจึงโพล่งถามออกมา

 

 

“ใช้ได้เลยนี่ ภรรยาของผมเนี่ยฉลาดจริงๆ เดาออกได้เร็วขนาดนี้เชียว?” ฮั่วฉินเยี่ยนเอ่ยพูดกับเธอด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจเต็มใบหน้า

 

 

“เราจะไปสนามบินทำไมล่ะ” ทันทีที่เวินหลานฉีหลุดปากออกไป ก็นึกขึ้นได้ว่าเธอพูดอะไรไร้สาระออกไป…

 

 

“ก็ต้องไปขึ้นเครื่องสิ ฉีฉีเมื่อคืนคุณนอนไม่พอหรือไง สติถึงยังไม่ค่อยเต็มร้อยขนาดนี้น่ะ หืม?” ฮั่วฉินเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายเต็มใบหน้า

 

 

เมื่อคืน…เวินหลานฉีพาลโกรธเอาดื้อๆ ก็เมื่อคืนเธอถูกใครบางคนรังแกให้เจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่าเกือบทั้งคืน จะให้นอนหลับเพียงพอสิแปลก!

 

 

โชคดีที่เวินหลานฉีไม่ได้สนใจฮั่วฉินเยี่ยน ถึงอย่างไรเดินตามเขาไปก็ถูกแล้ว จะต้องสนใจมากไปทำไม เดิมทีคนคนนี้จะทำอะไรก็เป็นอย่างนี้แหละ นึกจะออกไปไหนก็ไป

 

 

พอลงจากรถ มือขวาของฮั่วฉินเยี่ยนก็ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ส่วนมือซ้ายก็จับจูงเวินหลานฉี มุ่งตรงไปยังประตูขึ้นเครื่องทันที

 

 

พอเห็นจุดหมายปลายทางบนตั๋วเครื่องแล้ว เวินหลานฉีก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้

 

 

“มัลดีฟส์? คุณออกไปทำงานนอกสถานที่ไกลขนาดนั้นเลยเหรอ”

 

 

“ยัยบื้อ ผมไม่ได้ไปทำงานนอกสถานที่สักหน่อย อีกอย่างถ้าผมออกไปทำงานนอกสถานที่ แล้วจะพาคุณไปทำไมล่ะ” ฮั่วฉินเยี่ยนเขี่ยๆ ปัดๆ จมูกเวินหลานฉี พร้อมพูดด้วยสีหน้าจนปัญญา

 

 

“งั้นเราจะไปที่นั่นทำไม” เวินหลานฉียิ่งงงหนักกว่าเดิม

 

 

“แน่นอนว่า…ฮันนีมูนไง! พอเถอะ ไม่ต้องงงแล้ว รีบไปกันเถอะ ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันเครื่องเอา” ฮั่วฉินเยี่ยนดึงมือเวินหลานฉีให้รีบสาวเท้าเดินไปข้างหน้าต่ออย่างรวดเร็ว

 

 

ความคิดของเวินหลานฉียังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบรับกลับมา ฮันนีมูน..?

 

 

ทำไมถึงได้กะทันหันอย่างนี้ล่ะ เฮ้อ ช่างเถอะ ไม่คิดแล้ว เดิมทีความคิดของเขาก็กระโดดไปกระโดดมาอย่างนี้แหละ

 

 

ภาพเวลาย้อนกลับไปเมื่อสามชั่วโมงก่อนหน้านี้ ประธานใหญ่ฮั่วกำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องทำงาน แล้วจู่ๆ ก็เหลือบไปเห็นใบปลิว ซึ่งยังไม่ได้เก็บกวาดวางอยู่บนโต๊ะ เนื้อหาข้างในเขียนไว้ว่า ‘10 อันดับสุดยอดสถานที่ฮันนีมูนของโลก’

 

 

แล้วอยู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ ว่าหลังจากงานแต่งงานผ่านไป…เหมือนจะยังไม่ได้พาภรรยาของตัวเองไปฮันนีมูนเลยนะเนี่ย แม้จะบอกว่าไปปีนเขาด้วยกันมาครั้งก่อน แต่ความรู้สึกครั้งนั้นก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น

 

 

อีกอย่างก่อนหน้านี้เวินหลานฉีเองก็เคยพูดว่าชอบทะเล แต่เพราะงานยุ่งมาก ก็เลยไม่มีโอกาสไปเที่ยวเกาะเลยสักครั้ง

 

 

นึกจะทำก็ทำ ฮั่วฉินเยี่ยนเร่งรัดให้เฉิงหมิงจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม และแพ็คเกจทัวร์ต่างๆ อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กลับบ้านไปยัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋า แล้วรีบไปรับเวินหลานฉีที่ข้างล่างบริษัทของเธอ…

 

 

จากนั้นก็มีสีหน้าประหลาดใจของเวินหลานฉี และทริปฮันนีมูนปุบปับรอบนี้ เธอถึงขนาดโดนเขาพาขึ้นเครื่องโดยแทบไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ

 

 

เวินหลานฉีคิดถึงพฤติกรรมบ้าบอของตัวเองแล้ว ก็อดแอบขำออกมาไม่ได้

 

 

นึกไม่ถึงเลยว่าฮั่วฉินเยี่ยนผู้ที่ปกติทำเรื่องต่างๆ ด้วยสีหน้าจริงจังตั้งใจ และเป็นระบบระเบียบ จะยังหุนหันพลันแล่นขนาดนี้ได้เหมือนกันนะเนี่ย แต่จะว่าไปตัวเองก็อยากไปเที่ยวเกาะอยู่ตลอด หนำซ้ำหลังจากแต่งงานแล้ว ก็ใช้ชีวิตเรียบง่ายมาโดยตลอด ประจวบเหมาะที่ได้ยืมโอกาสนี้ออกมาเที่ยวเล่นกับเขาอย่างเต็มที่

 

 

ขณะที่เวินหลานฉีคิดเช่นนี้อยู่ในหัว

 

 

เมื่อฮั่วฉินเยี่ยนเห็นรอยยิ้มของเธอ ก็รู้สึกว่าการตัดสินใจของตัวเองครั้งนี้นั้นชาญฉลาดมาก เขาหันไปรวบตัวเธอที่แอบหันไปยิ้มเข้ามา วางคางไว้บนหัวของเธอแล้วถูคางไปมา

 

 

ก้มหน้าลงไปพรมจูบเธออย่างแม้แต่น้อย

 

 

“คงอีกหลายชั่วโมงแน่ะ รีบนอนพักสักหน่อยเถอะ” ฮั่วฉินเยี่ยนหันหน้าไปพูดกับเวินหลานฉี

 

 

เวินหลานฉีพยักหน้า แล้วก็พิงอ้อมกอดของฮั่วฉินเยี่ยนผล็อยหลับสู่ห้วงนิทราลึกไป ส่วนฮั่วฉินเยี่ยนนั้นหลังจากจ้องมองสีหน้ายามหลับของเธอได้สองสามนาที เขาก็ทนไม่ไหวเอนหัวไปข้างหลังเล็กน้อยแล้วผล็อยหลับไปเช่นกัน

 

 

หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง ทั้งสองก็มายืนอยู่ที่หาดทรายของมัลดีฟส์ บนหัวเป็นแสงแดดสีทองอร่าม มองไปเห็นผืนทะเลสีฟ้าครามอันกว้างใหญ่

 

 

แสงอาทิตย์ หาดทราย ต้นมะพร้าว และเกาะ

 

 

“นึกไม่ถึงเลยนะว่าวันหนึ่งจะได้มาที่นี่กับคุณ” เวินหลานฉีใช้สองมือป้องแสงแดด แล้วแหงนหน้าขึ้นพูดกับฮั่วฉินเยี่ยน

 

 

“ถ้าคุณชอบ ผมจะพาคุณมาทุกเดือนเลย” ฮั่วฉินเยี่ยนโพล่งออกมา

 

 

เวินหลานฉีทำทีพูดด้วยสีหน้าเสียใจ “ถ้าลูกน้องของคุณได้รับรู้ ว่าแท้ที่จริงประธานของพวกเขานั้นผลาญเงินขนาดนี้ จะจงเกลียดจงชังไหมนะ”

 

 

“หึ ผมสมัครใจอยู่แล้ว ถึงยังไงเงินที่ผมหามาได้ ก็เพียงพอจะให้คุณซื้อที่นี่เลยด้วยซ้ำ” ฮั่วฉินเยี่ยนเบะปากพูด

 

 

พอพูดถึงเรื่องงานแล้ว เวินหลานฉีก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองยังไม่ได้มอบหมายงานกับลูกน้องเลย จึงรีบค้นโทรศัพท์ออกมาเตรียมจะโทรออก

 

 

ฮั่วฉินเยี่ยนรั้งมือเตรียมจะโทรออกของเธอ “ผมจัดการให้แล้ว คุณสบายใจเถอะ”

 

 

 

 

——

 

 

[1] ม้าขาวลอดช่องว่าง (白驹过隙) เป็นสุภาษิต เปรียบเปรยว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว