ตอนที่ 371 แอปเปิล
อะ… แอปเปิล… แอปเปิลเนี่ยนะ?
หลินเป่ยเฉินไม่อยากเชื่อเลยว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องของขวัญเป็นเพียงแอปเปิ้ลลูกหนึ่งเท่านั้น
มันกำลังเปล่งแสงสว่างเป็นประกายสีแดงระยิบระยับและมีกลิ่นหอมชวนรับประทานเป็นอย่างยิ่ง
แต่หลินเป่ยเฉินไม่กล้ารับประทานเด็ดขาด
เพราะว่า… เขายังจำได้ดีถึงครั้งสุดท้ายที่เจ้าหนูอากวงรับประทานหญ้าจากดินแดนทวยเทพเข้าไป มันก็เกือบจะต้องเสียชีวิตเลยทีเดียว
ในเมื่อแอปเปิ้ลลูกนี้ถูกส่งลงมาจากดินแดนทวยเทพเหมือนกัน มันก็คงมีผลข้างเคียงต่อผู้รับประทานไม่แตกต่างกัน
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ก็นำแอปเปิ้ลวางคืนกลับลงไปในกล่อง และไม่มีความคิดที่จะรับประทานมันแม้แต่น้อย
เอาไว้ปรุงยาให้อากวงลองกินดูก็แล้วกัน
อีกอย่าง เจ้าหนูนั่นก็มีประโยชน์เรื่องการต่อสู้มากกว่าหวังจงอยู่แล้ว
ในขณะที่หลินเป่ยเฉินดำเนินความคิดมาถึงตรงนี้ เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นในหัวของเขาอีกครั้ง
“ติ๊ง! ตรวจพบการอัปเดตระบบครั้งใหม่ ต้องการอัปเดตตอนนี้เลยหรือไม่? การอัปเดตระบบจำเป็นต้องใช้การโอนถ่ายข้อมูล 50 GB และต้องใช้เวลา 10 ชั่วโมง กรุณาตรวจสอบแบตเตอรี่และการเชื่อมต่อข้อมูลให้พร้อม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขัดข้องระหว่างการอัปเดต…”
ในที่สุดก็ได้อัปเดตแล้วสินะ
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มด้วยความดีใจ
ตั้งแต่ที่ขึ้นรับรางวัลผู้ชนะการค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง เด็กหนุ่มก็เฝ้ารอคอยที่โทรศัพท์จะได้อัปเดตระบบอีกครั้ง
เพราะตามความเป็นไปที่ผ่านมา ทุกครั้งที่หลินเป่ยเฉินสามารถพิชิตหรือเอาชนะรางวัลใหญ่ได้อย่างเป็นทางการ โทรศัพท์มือถือของเขาก็จะได้รับการอัปเดตระบบ นั่นหมายถึงความสามารถที่เพิ่มพูนมากขึ้น โดยเฉพาะบรรดาแอปพลิเคชันต่างๆ ไม่แน่มันอาจจะมีแอปที่ช่วยนำเขากลับไปสู่โลกมนุษย์ก็เป็นได้
แต่ไม่รู้ทำไม การอัปเดตระบบจึงล่าช้ามาถึงขนาดนี้
แต่ตอนนี้การอัปเดตได้มาถึงแล้ว
ทว่า เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นจำนวนการโอนถ่ายข้อมูลที่ต้องใช้ระหว่างการอัปเดต เขาก็มีสีหน้าหมองคล้ำขึ้นมาในทันตา
50 GB เนี่ยนะ?
พลังลมปราณที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา ณ ปัจจุบัน เต็มที่ก็คงมีไม่เกิน 20 GB ด้วยซ้ำ
หลินเป่ยเฉินมีพลังไม่มากพอที่จะอัปเดตระบบครั้งนี้ได้
สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็ต้องกดตัวเลือก ‘อัปเดตภายหลัง’ อย่างไม่เต็มใจสักเท่าไหร่
หน้าต่างแจ้งเตือนย่อขนาดลงและหายวับไปจากหน้าจอ
แต่เมื่อเด็กหนุ่มกดเข้าไปในส่วนตั้งค่าโทรศัพท์ เขาก็พบว่าในหัวข้อ ‘ระบบและการอัปเดต’ ยังคงมีตัวเลือกให้เขากดอัปเดตได้เมื่อมีความพร้อม เห็นดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
แค่นี้ก็หมดปัญหาแล้ว เหลือเพียงรอให้เขายังฟื้นฟูพลังกลับขึ้นมาได้ก่อนเท่านั้น
และนั่นก็คือสิ่งสำคัญสูงสุดในเวลานี้!
หลินเป่ยเฉินต้องรีบฟื้นฟูพลังลมปราณของตนเองกลับคืนมาให้ได้
อย่างน้อยก็ต้องเลื่อนระดับขึ้นไปอยู่ในขั้นปรมาจารย์ให้ได้ก่อน เขาถึงจะมีพลังเพียงพอสำหรับการอัปเดตโทรศัพท์
หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องพึ่งพาแค่แอปวิชาการโคจรพลังลมปราณขั้นพื้นฐานเท่านั้น
แต่เพื่อให้แน่ใจว่ามันทำงานอยู่ตลอดเวลา หลินเป่ยเฉินก็จำเป็นต้องชาร์จโทรศัพท์
แล้วหัวใจของเด็กหนุ่มก็เจ็บปวดอีกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องนี้
หลังจากที่ถูกเทพีกระบี่หิมะไร้นามหลอกให้เสียค่าส่งของไปเมื่อสักครู่ เขาก็กลับกลายเป็นคนล้มละลายอีกครั้งและไม่เหลือเงินติดตัวเลยสักเหรียญทองเดียว
ถ้าอย่างนั้น… ก็คงได้เวลาแล้วสินะ
ต้องออกไปหาเงิน
หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินออกมาจากตำหนักไม้ไผ่ด้วยความรีบเร่ง
อีก 1 ชั่วยามพระอาทิตย์ก็จะตกดินแล้ว
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจยังไม่เข้าร่วมการแข่งขันจตุรมิตรสามัคคี เพราะเขาจะเดินทางไปคุยเรื่องค่าโฆษณาสินค้ากับบรรดาเจ้าของหอการค้าและพ่อค้าในตัวเมืองให้ลงตัวก่อน
หลังตระเวนไปตามร้านค้าชื่อดังในตลาด หลินเป่ยเฉินก็ได้เงินติดมือกลับออกมาเป็นจำนวนมาก
ต้องไม่ลืมว่าสถานะของเขาในปัจจุบันค่อนข้างสูงส่ง หลินเป่ยเฉินกลายเป็นวีรบุรุษของชาวเมืองหยุนเมิ่ง ประกอบกับความสำเร็จก่อนหน้านี้ของเขาช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดี ว่าผู้ที่ลงทุนค่าโฆษณากับเขาจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า และเพียงครึ่งชั่วยามต่อมาเท่านั้น หลินเป่ยเฉินก็มีเงินติดตัวมากถึง 500 เหรียญทองคำแล้ว
และเมื่อลงนามในสัญญาการโฆษณาสินค้าเรียบร้อย เด็กหนุ่มก็มีเงินอยู่ในกระเป๋าถึง 2,000 เหรียญทองคำ
นี่อาจเป็นเงินจำนวนมากของใครหลายคน
แต่ไม่ใช่สำหรับหลินเป่ยเฉิน
เพราะก่อนหน้านี้ ระหว่างการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง หลินเป่ยเฉินรับโฆษณาเพียง 3 ถึง 4 ตัวเท่านั้น เขาก็ได้เงินถึง 5,000 เหรียญทองคำแล้ว
บัดนี้ เขามีความโด่งดังมากกว่าเก่า สถานะก็สูงส่งมากกว่าเก่า
แล้วเหตุไฉนถึงได้ค่าโฆษณาน้อยลงกว่าเดิมเล่า?
“คุณชายหลินไม่รู้อะไรเสียแล้ว ที่พวกเรายอมประมูลจ่ายค่าโฆษณาให้ท่านมากมายถึงขนาดนั้น เป็นเพราะว่าการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองได้รับการถ่ายทอดสดไปทั่วเมือง โอกาสที่สินค้าของพวกเราจะเข้าถึงชาวเมืองจึงมีมากขึ้นเป็นธรรมดา แต่ถ้าจะเอาชื่อเสียงเป็นตัวตั้งต้นในการตีราคาค่าโฆษณา ราคาที่คุณชายหลินได้มาบัดนี้ ก็ถือว่ายุติธรรมดีแล้วขอรับ”
เจาโจวหยานประมุขหอการค้าสามพันโยชน์ประจำเมืองหยุนเมิ่งพูดอย่างตรงไปตรงมา
“อ๋อ… แล้วหากการแข่งขันจตุรมิตรสามัคคีมีการถ่ายทอดสด ข้าจะได้ค่าโฆษณาเพิ่มขึ้นอีกประมาณเท่าไหร่?”
หลินเป่ยเฉินถาม
เจาโจวหยานยกนิ้วขึ้นมาคำนวณเล็กน้อย ก็ตอบว่า “ถ้ามีการถ่ายทอดสดไปทั่วเมืองเหมือนครั้งที่แล้ว ข้ายินดีจ่ายค่าโฆษณาให้คุณชาย 5,000 เหรียญทองคำเลยขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า “แล้วถ้ามีการถ่ายทอดสดไปทั่วแคว้นสำคัญของมณฑลเฟิงอวี่ล่ะ?”
เจาโจวหยานระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความเบิกบานใจ “ถ้ามีการถ่ายทอดสดยิ่งใหญ่ระดับนั้น ข้ายินดีจ่ายค่าโฆษณาให้คุณชาย 10,000 เหรียญทองคำเลยขอรับ และถ้าคุณชายเปิดการประมูลแบบครั้งที่แล้ว ราคาก็น่าจะพุ่งสูงถึง 100,000 เหรียญทองคำต่อโฆษณา 1 ตัวเลยด้วยซ้ำ ต้องขอบอกเลยว่าหอการค้าสามพันโยชน์สู้ราคาแน่นอน… แต่โอกาสที่จะมีการถ่ายทอดสดระดับนั้น เกิดขึ้นได้ยากมากขอรับ เพราะปกติแล้ว ทางหน่วยงานบ้านเมืองไม่ค่อยให้ความสำคัญที่การถ่ายทอดสดสักเท่าไหร่”
เมื่อรู้ข้อมูลเบื้องต้น หลินเป่ยเฉินก็เริ่มวางแผนการคร่าวๆ อยู่ในใจ
“เอาล่ะ งั้นพอแค่นี้ก่อน”
เขาลุกขึ้นยืน พูดว่า “รอฟังข่าวจากข้าให้ดี”
เจาโจวหยานเห็นปฏิกิริยาของเด็กหนุ่ม ก็อดรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้ ต้องถามออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “คุณชายหลินขอรับ หรือว่าจะมีการถ่ายทอดสดไปทั่วมณฑลจริงๆ? การแข่งขันจะยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเชียวหรือ?”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “น่าจะเป็นอย่างนั้น”
แต่เขาต้องลองกลับไปถามอาจารย์ฉู่เหินดูก่อน
ขนาดการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองยังมีการถ่ายทอดสดเลย
คราวนี้เป็นการแข่งขันระดับมณฑล จะไม่มีการถ่ายทอดสดได้อย่างไร?
พูดจบแล้ว เด็กหนุ่มก็เดินออกไปจากห้องรับแขก
เจาโจวหยานไม่กล้าพูดจามากความ เขากับบุตรชายเจาอู๋หยาง เดินออกมาส่งหลินเป่ยเฉินด้วยตนเอง
หอการค้าสามพันโยชน์เป็นหอการค้าแห่งแรกที่เข้ามาเปิดบริการในเมืองหยุนเมิ่ง พื้นที่โดยรอบเปิดเป็นตลาดค้าขายใหญ่โตกว้างขวาง สินค้าทุกชนิดล้วนเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของชาวเมือง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเดินลงบันไดออกมาจากตึกที่ทำการหอการค้า หลินเป่ยเฉินก็ได้พบกับแผงขายอัญมณีไปจนถึงแผงขายอาหารปิ้งย่างมากถึง 40 แผง จากนั้นก็เป็นสินค้าชนิดอื่นๆ แผงขายมีทั้งร้านเล็กร้านใหญ่ แต่ทุกร้านต้องจ่ายค่าเช่าที่ให้แก่หอการค้าสามพันโยชน์ทั้งสิ้น
เที่ยงวัน ผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยคึกคัก
เมื่อหลินเป่ยเฉินปรากฏตัว ความวุ่นวายก็ตามมา
ไม่ว่าเดินไปที่ไหนก็มีเสียงต้อนรับอย่างอบอุ่น
มีเสียงปรบมือชื่นชมดังไม่ขาดสาย
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มและโบกไม้โบกมือตอบรับอย่างมีความสุข
แต่ทันใดนั้น ชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งพลันปรากฏกายขึ้นยืนขวางทางอยู่ข้างหน้า
พลังลมปราณแผ่ออกมากดดันคุกคามไม่เป็นมิตร
หลินเป่ยเฉินสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากตัวชายหญิงคู่นี้
พลังกดดันที่คุกคามออกมาจากตัวชายหญิงปริศนา ทำให้บรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่อยู่โดยรอบหยุดชะงักกิจกรรมทุกอย่างราวกับโดนแช่แข็ง เสียงที่ครึกครื้นของตลาดค้าขายพลันเงียบกริบลงไปในพริบตา
“เจ้าคือหลินเป่ยเฉินใช่หรือไม่?”
หญิงสาวที่ยืนขวางทางเป็นคนพูด
นางมีอายุ 20 ปี ร่างสูง ผมดำยาว ใบหน้าสวยสะคราญ แต่ถ้าพินิจดูให้ดี ก็จะได้พบว่านางมีจมูกเชิดรั้น ยามพูดจากับผู้คนชอบเชิดหน้าถลึงตา สีหน้าดุดันก้าวร้าว ชวนให้รู้สึกถึงความขมขื่น หยาบคายและไม่เป็นมิตร
นับว่าเป็นคนที่ไม่มีเสน่ห์โดยสิ้นเชิง
“แล้วเจ้าเป็นใคร?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วถามกลับไป
วูบ!
คมกระบี่สาดประกายแวววาว
หญิงสาวไม่ตอบคำถาม แต่กลับชักกระบี่ออกมาแล้ว
คมกระบี่พุ่งตรงเข้ามาที่กลางหว่างคิ้วของหลินเป่ยเฉิน
นี่คือกระบวนท่าที่หมายมั่นปลิดชีวิตในกระบี่เดียว!