บทที่ 372 การจู่โจมกลางตลาด

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 372 การจู่โจมกลางตลาด

“คุณชายหลินระวังตัว!”

เจาโจวหยานร้องตะโกนออกไปด้วยความตกใจ

ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็ดึงตัวเด็กหนุ่มมาด้านหลังโดยไม่รู้ตัว

พลัน เจาอู๋หยางชักกระบี่ออกมาจากฝักและกระโดดเข้ามายืนขวางหน้าคอยคุ้มครองหลินเป่ยเฉิน

ทุกคนรู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นผู้ที่ถูกเลือก

และก่อนที่จะฟื้นฟูการรับพลังศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ ผู้ที่ถูกเลือกจะมีร่างกายอ่อนแอเป็นพิเศษ

พวกเขาไม่ทราบเลยว่าชายหญิงคู่นี้มาจากไหน แต่สิ่งที่ทุกคนดูออกอย่างชัดเจนก็คือ ชายหญิงคู่นี้มีเจตนาสังหารหลินเป่ยเฉิน

เคล้ง!

คมกระบี่สาดประกาย

ฟู่! ฟู่!

เลือดสาดกระเซ็นราวดอกไม้บาน

เจาอู๋หยางส่งเสียงร้องครางในลำคอพร้อมกับเซถลาถอยหลัง

เขาไม่ใช่บุคคลต่ำต้อย มีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชน แต่บัดนี้ กระบี่ยาวในมือของเจาอู๋หยางกลับสั่นไหว ยังไม่ทันที่จะได้ตั้งตัวรับมือ บริเวณแก้มซ้ายแก้มขวาและบนหน้าผากก็ปรากฏคมกระบี่ทิ้งบาดแผลไว้ เลือดเป็นสายไหลทะลักออกมาท่วมเต็มใบหน้าเจาอู๋หยาง

“ลูกพ่อ…”

เจาโจวหยานคำรามด้วยความตกตะลึงและโกรธแค้น

“ลูกไม่เป็นไร…”

เจาอู๋หยางยกมือปาดเลือดออกไปจากใบหน้าและกัดฟันข่มความเจ็บปวด

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า เหตุไฉนถึงต้องยื่นมือเข้ามาแส่หาเรื่องผู้อื่น?” หญิงสาวหน้าตาดุร้ายหัวเราะในลำคอ “รอยแผลเป็นเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่เตือนความจำของเจ้า ว่าไม่ควรยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของผู้อื่น หรือถ้าจะยื่นมือเข้ามา เจ้าก็ควรดูความสามารถของตนเองด้วยว่ามีดีพอหรือไม่ มิเช่นนั้นแล้ว ครั้งต่อไปมันอาจจะทำให้เจ้าต้องเสียชีวิตก็เป็นได้”

เจาโจวหยานเดิมทีก็เป็นคนไม่ยอมใครอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อเห็นบุตรชายถูกรังแกต่อหน้าต่อตา มีหรือที่เขาจะทนทานได้ ชายชราตัวสั่นด้วยความโกรธแค้นขณะคำรามออกไปว่า “พวกเรารีบจับกุมตัวคนร้ายเดี๋ยวนี้”

วูบ!

ชายฉกรรจ์ซึ่งเป็นผู้รักษาความปลอดภัยประจำหอการค้ากระโดดเข้ามายืนรอบบริเวณทันที

“พวกเจ้ารนหาที่ตายนัก” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา และตวัดกระบี่ในมือขึ้นมาอีกครั้ง

คมกระบี่สาดประกายวูบวาบ

“อ๊าก…”

“มือของข้า มือของข้า!”

“ไม่ได้การแล้ว พวกเราถอย”

ม่านหมอกเลือดสาดกระจาย เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังกึกก้องทั่วบริเวณ

ชายฉกรรจ์หลายสิบคนล้มลงนอนกองอยู่บนพื้น

กระดูกแตกหัก

กระบี่หลุดออกจากมือ

ที่มือบังเกิดรอยแผลฉกรรจ์

ทุกคนบาดเจ็บแต่ไม่ถึงตาย ทว่าคงต้องใช้เวลารักษาตัวอีกยาวนาน

และถ้าได้รับการรักษาไม่ทันเวลา ชายฉกรรจ์เหล่านี้ก็ไม่อาจฟื้นฟูพลังยุทธ์กลับขึ้นมาได้อีกตลอดไป

สำหรับชายฉกรรจ์ผู้ทำงานรักษาความปลอดภัยเป็นอาชีพ การสูญเสียพลังยุทธ์ เท่ากับสูญเสียอาชีพเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

นับว่าหญิงสาวหน้าตาดุร้ายผู้นี้มีจิตใจโหดเหี้ยมเหลือเกิน

“มีใครคิดที่จะเข้ามาขัดขวางข้าอีกหรือไม่?”

หญิงสาวหัวเราะในลำคอ หันหน้ากลับมาจ้องมองเจาโจวหยาน แล้วกล่าวว่า “ข้าจำท่านได้แล้ว ท่านคือประมุขหอการค้าสามพันโยชน์ประจำเมืองหยุนเมิ่ง ท่านไม่น่ายื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เลย… อีกไม่นานท่านจะได้เข้าใจว่าตนเองต้องเจอกับความเดือดร้อนมากแค่ไหน”

เจาโจวหยานเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง

เขาสัมผัสได้ว่าคราวนี้ตนเองพบปัญหาใหญ่เข้าแล้วจริงๆ

ดูจากวิชากระบี่ที่หญิงสาวใช้ออกมา สถานะของนางต้องไม่ต่ำต้อย คำพูดคำจายโสโอหัง บอกถึงกลุ่มคนหนุนหลังที่ไม่ธรรมดา

ซวยแล้วไง

เขาไปมีเรื่องกับคนที่ไม่ควรมีเรื่องด้วยอีกแล้ว

“นางมารร้าย!”

หลินเป่ยเฉินเห็นสีหน้าตกตะลึงของเจาโจวหยานก็รีบก้าวเท้าเดินออกไปตบไหล่ชายชรา และพยักหน้าบอกให้เจาโจวหยานถอยกลับไปข้างหลัง ก่อนที่เขาจะหัวเราะลั่น “ไม่ทราบว่าเจ้ารับประทานอาจมเป็นอาหารหรืออย่างไร ปากถึงได้มีกลิ่นเหม็นถึงเพียงนี้?”

หญิงสาวหน้าตาดุร้ายถลึงตาจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความขุ่นเคืองใจ “เด็กน้อย เจ้าว่าใครปากเหม็น?”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “ไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นผู้ใดได้อีก…”

เขาหันหน้ากลับไปพูดกับเจาโจวหยานว่า “ประมุขเจา รีบพาพี่ชายที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านี้ไปรักษาบาดแผลที่วิหารเทพกระบี่เถิด บอกคนที่นั่นว่าข้าเป็นคนส่งพวกเขาไปเอง”

ด้วยความสามารถของนักบวชในวิหาร พวกนางย่อมรักษาอาการบาดเจ็บของชายฉกรรจ์เหล่านี้ได้ทันเวลา เพราะถ้าปล่อยให้เนิ่นนานไปมากกว่านี้ ทุกอย่างอาจจะสายเกินแก้ไข เหมือนที่เขายังไม่สามารถหาหนทางขจัดรอยแผลเป็นจากใบหน้าของเยว่หงเซียงได้นั่นเอง

“แต่ว่า…”

เจาโจวหยานเห็นกับตาว่าชายหนุ่มหญิงสาวคู่นี้มีฝีมือไม่ธรรมดา เขาจึงไม่กล้าที่จะทิ้งให้หลินเป่ยเฉินอยู่รับมือเพียงลำพัง ต่อให้ใจจริงชายชรารู้สึกอยากจะล่าถอยเต็มที่ แต่เขาก็เป็นห่วงหลินเป่ยเฉินเกินกว่าจะทำได้ลงคอ

“ไม่เป็นไร เรื่องราวทางนี้เดี๋ยวข้าจัดการเอง”

หลินเป่ยเฉินพูด

แม้ว่าความจริงแล้วหลินเป่ยเฉินจะมีนิสัยรักตัวกลัวตาย แต่เขาก็ยึดมั่นในศักดิ์ศรีของตนเองเช่นกัน

ชายหญิงปริศนาคู่นี้เดิมทีมีเจตนามาหาเรื่องเขา พ่อลูกตระกูลเจายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจนบริวารได้รับบาดเจ็บ แล้วเขาจะทำตัวหดหัวเป็นเต่าในกระดองได้อย่างไร?

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”

ทันใดนั้น ชายหนุ่มที่ยืนเงียบมาตลอดเวลาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง

“นับเป็นวาสนาของพวกเจ้าแล้วที่ไม่ต้องมาตายด้วยน้ำมือของน้องไท้ในวันนี้ รอยแผลเป็นและความพิการที่พวกเขาได้รับ ถือว่าเป็นความเมตตาของนางอย่างสูงสุด คิดอยากจะกลับไปรักษาบาดแผลอย่างนั้นหรือ? พวกเจ้าคงต้องผ่านข้าไปให้ได้ก่อน”

หลังจากนั้น ร่างกายของชายหนุ่มก็มีเปลวไฟลุกโชนสว่างไสว

เขาเป็นผู้มีพลังปราณธาตุไฟ

มีพลังอยู่ในขอบเขตปรมาจารย์ระดับ 6 เป็นอย่างต่ำ

ฝูงชนและเหล่าพ่อค้าที่มุงดูอยู่โดยรอบตกตะลึงจนลืมหายใจ

แต่พวกเขาก็รู้สึกโกรธแค้น ใบหน้าร้อนผ่าว

ชายหนุ่มหญิงสาวคู่นี้มีเจตนาทำร้ายผู้คน และอยากจะทำให้ผู้อื่นเสียโฉม รวมถึงกลายเป็นผู้พิการอย่างนั้นหรือ?

ซ้ำยังขัดขวางไม่ให้ผู้บาดเจ็บได้ไปรักษาตัว

นี่ออกจะอำมหิตเกินไปแล้วกระมัง?

แม้แต่หลินเป่ยเฉินที่ได้รับฉายาว่าเป็นเศษขยะประจำเมือง เขาก็ยังไม่มีจิตใจชั่วร้ายถึงขนาดนี้

บัดนี้ หลินเป่ยเฉินถึงกับทนไม่ไหวอีกต่อไป

“บัดซบ พวกเจ้าสองคนเป็นใคร ถึงได้กล้ามาประพฤติตัวชั่วร้ายต่อหน้าคนโฉดอันดับหนึ่งประจำเมืองอย่างข้า?”

เขาสบถต่อไปว่า “คิดว่ามีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับ 6 แล้วข้าจะกลัวอย่างนั้นหรือ? แม้แต่เซียนกระบี่อย่างไป๋ไห่ชินก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่ข้ามาแล้ว พวกเจ้าต่างหากที่เป็นฝ่ายรนหาที่ตาย…ประมุขเจา ท่านรีบส่งผู้บาดเจ็บไปรักษาตัวที่วิหารเทพกระบี่เถิด เดี๋ยวข้าจะจัดการลูกเต่าสองตัวนี้เอง”

“เฮอะ พูดดีไปเถอะ ชีวิตของเจ้าต้องจบลงเพียงเท่านี้” หญิงสาวหน้าตาดุร้ายตวัดกระบี่ด้วยความโกรธแค้น

หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ ไม่ตอบรับคำใดอีก เขาดาวน์โหลดดาบศีลธรรมออกมาถือด้วยมือข้างหนึ่ง และยกขึ้นรับกระบี่ได้ทันเวลา แม้ยังไม่สามารถใช้พลังลมปราณได้ตามปกติ แต่พละกำลังของเขายังแข็งแรงเหนือมนุษย์อยู่เช่นเดิม

ที่สำคัญก็คือ เขายังสามารถใช้วิชาโลหิตกระชากวิญญาณได้เช่นกัน

ละอองเลือดแผ่กระจายจากรูขุมขนของเขาเหมือนเปลวไฟสีแดงอ่อน

ดาบในมือเหวี่ยงออกไปด้วยความเร็วไว น้ำหนักกว่าพันชั่งพุ่งตรงไปที่ศีรษะของหญิงสาวหน้าตาดุร้าย

เคล้ง! เคล้ง!

เสียงของเนื้อโลหะปะทะกันดังขึ้น

ดาบใหญ่ในมือหลินเป่ยเฉินยามที่ปะทะกระบี่ของฝ่ายตรงข้าม ก่อเกิดเป็นแรงกระแทกรุนแรง ทำให้เกิดคลื่นแรงสั่นสะเทือนกึ่งโปร่งแสงที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแผ่กระจายไปรอบบริเวณ

“หึหึ เจ้าเองก็มีฝีมือไม่ต่ำต้อย…” หญิงสาวหน้าตาดุร้ายแสยะยิ้ม แต่พูดได้เพียงเท่านั้นสีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนไป

เพราะนางพบว่าแววตาของหลินเป่ยเฉินมีแต่ความบ้าคลั่งโดยสมบูรณ์ เขาบุกโจมตีต่อเนื่องอย่างไม่กลัวตาย เหมือนต้องการที่จะหั่นร่างของนางให้แยกออกเป็นสองส่วนให้ได้

แต่แววตาที่ดุดันนั้น การโจมตีที่เผ็ดร้อนนั้น กลับสร้างความประทับใจให้แก่หญิงสาวหน้าตาดุร้ายได้อย่างประหลาด

เมื่อได้มาต่อสู้จริงๆ หญิงสาวจึงได้นึกถึงข่าวลือที่ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นผู้มีปัญหาทางสมอง และเขามักทำเรื่องผิดปกติเกินมนุษย์อยู่ตลอดเวลา

การต่อสู้ก็เช่นกัน

นางพยายามรั้งกระบี่ หาทางถอยหนี

แต่ในจังหวะต่อมานั้นเอง หญิงสาวจึงได้เข้าใจว่าตนเองตัดสินใจผิดพลาดอย่างมหันต์

เคล้ง!

เสียงของเนื้อโลหะปะทะกันดังขึ้นอีกครั้ง

หลังจากนั้น กระบี่ยาวในมือของหญิงสาวก็ปรากฏรอยแตกร้าวเหมือนใยแมงมุม ตัวกระบี่สั่นไหวอย่างรุนแรงเหมือนงูพิษผู้พยายามจะเลื้อยหนีนักล่าด้วยความตื่นกลัว แรงสั่นสะเทือนนั้นส่งผ่านมาถึงข้อมือของหญิงสาว แล้วม่านหมอกเลือดก็ฟุ้งกระจายในอากาศ สาดกระเซ็นเต็มเสื้อคลุมทางแขนขวาของนาง…

“โอ๊ย!”

หญิงสาวร้องด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับซวนเซถอยหลังไปหลายก้าว

นางใบหน้าแดงก่ำ ความรู้สึกร้อนอุ่นพุ่งขึ้นมาในลำคอ หญิงสาวพยายามโคจรพลังลมปราณสะกดกลั้นอาการนั้น แต่ในที่สุดก็ไม่อาจทนทานไหว แล้วเลือดเป็นสายก็ไหลทะลักออกมาจากปากของนาง!

“น้องไท้ เจ้าเป็นไรหรือไม่?”

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างเบิกตาโตด้วยความตะลึงงัน เห็นได้ชัดว่าเขาคิดไม่ถึงว่าผู้ที่สมควรมีร่างกายอ่อนแออย่างหลินเป่ยเฉินกลับสามารถต่อสู้ได้ดีเลิศถึงเพียงนี้

เขารีบถลันกายเข้าไปประทับฝ่ามือลงบนแผ่นหลังของนางเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ

หลินเป่ยเฉินยกดาบในมือขึ้นพร้อมกับหัวเราะในลำคอ “ข้านึกว่านางจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน ที่แท้ก็มีพลังเพียงปรมาจารย์ระดับ 3 เท่านั้นเอง แล้วยังจะกล้ามาทำตัวอวดดีต่อหน้าข้าอีกหรือ”

เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง เสแสร้งแกล้งทำเป็นว่าเขาไม่เคยหวาดกลัวผู้ใดในโลกใบนี้

ว่าแต่ว่าชายหญิงปริศนาคู่นี้เป็นใครมาจากไหนกันนะ?