บทที่ 373 ขอข้าไปนั่งเล่นที่บ้านท่านได้หรือไม่

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 373 ขอข้าไปนั่งเล่นที่บ้านท่านได้หรือไม่

 

 

หญิงสาวมีใบหน้าซีดขาว พลังลมปราณในร่างกายแตกกระจาย แต่เมื่อได้รับการประทับฝ่ามือถ่ายทอดพลังจากชายหนุ่ม สีหน้าของนางก็เริ่มกลับมาเป็นปกติอย่างแช่มช้า

 

 

“น้องไท้ เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

 

ชายหนุ่มถามเสียงเครียด

 

 

“ข้าเป็นอย่างไรบ้าง ท่านมองไม่ออกหรือ?” หญิงสาวหน้าตาดุร้ายมีแววตาเหนื่อยจิตเหนื่อยใจ นางกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว “หานเฉิงคนไม่ได้เรื่อง เห็นข้าถูกรังแก ท่านมัวยืนทำอะไรอยู่? ยังไม่รีบแก้แค้นให้แก่ข้าอีก…”

 

 

ชายหนุ่มรีบตอบรับโดยเร็วไว “น้องไท้อย่าเพิ่งเดือดดาล คอยดูข้าจะจัดการพวกมันให้เจ้าเอง”

 

 

พูดจบ เขาก็ชักกระบี่ออกมาจากฝัก

 

 

วูบ!

 

 

คมกระบี่ทิ่มแทงลงไปที่ขาของหลินเป่ยเฉินด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด

 

 

นับเป็นการจู่โจมที่รวดเร็วยิ่ง

 

 

กระบวนท่าดุดัน ไม่มีช่องว่างให้โจมตีกลับ

 

 

ผู้คนที่มุงดูอยู่โดยรอบรู้สึกหนาวเยือก พวกเขาได้แต่อุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก

 

 

ชายหนุ่มผู้มีนามว่าหานเฉิงมีระดับพลังสูงล้ำมากกว่าหญิงสาวที่มาด้วยกัน แต่ที่น่ากลัวที่สุดก็คือวิชาตัวเบาของเขาร้ายกาจมาก แม้แต่พวกของเจาโจวหยานก็ไม่มีเวลาได้ตอบสนองสิ่งใดแล้ว…

 

 

แต่โชคดีที่หลินเป่ยเฉินระมัดระวังตัวอยู่ก่อนหน้า

 

 

เข้ามาเลย

 

 

เขาไม่กลัวอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร

 

 

ใบหน้าของหลินเป่ยเฉินแสดงออกถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตอีกครั้ง

 

 

เมื่อดาบศีลธรรมในมือเขายกขึ้นสูง มันก็จู่โจมไปที่หน้าผากของชายหนุ่มฝ่ายตรงข้ามทันที นี่เรียกได้ว่าเป็นการโจมตีที่ไม่มีช่องว่างให้ตีโต้กลับเช่นกัน!

 

 

หนึ่งกระบวนท่าตัดสินความเป็นความตาย

 

 

ใครก็ตามที่รั้งกระบี่กลับไปก่อนคือผู้พ่ายแพ้

 

 

เพราะร่างกายของเขาแข็งแกร่งด้วยวิชากระบี่กระดูกเหล็ก หลินเป่ยเฉินจึงมีความมั่นใจในตนเองสูงสุด แม้กระบี่ของอีกฝ่ายจะโจมตีใส่เขาได้สำเร็จ แต่ด้วยความที่มีผิวทองแดงกระดูกเหล็ก เต็มที่ก็แค่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่มีทางถูกโจมตีจนถึงแก่ชีวิตแน่นอน

 

 

หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าตนเองสามารถเอาชนะชายหญิงคู่นี้ได้ไม่มีปัญหา

 

 

เขาก็เป็นเหมือนเด็กหนุ่มโอตาคุทั่วไป ที่เมื่อชีวิตอยู่ในภาวะวิกฤต ก็จะสามารถรีดเค้นความสามารถออกมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ บัดนี้มันทำให้หลินเป่ยเฉินกลายเป็นคนกล้าหาญไม่กลัวตาย ต่อให้อีกฝ่ายเป็นปีศาจร้าย เขาก็ไม่หวั่นเกรงที่จะยกดาบใหญ่เข้าฟาดฟัน

 

 

“ฮ่าฮ่า…” แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มฝ่ายตรงข้ามจะคาดเดาเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว

 

 

ความเหยียดหยามปรากฏขึ้นบนสีหน้า กระบี่ในมือเปลี่ยนแปลงทิศทาง ปลายกระบี่ฉกตัวเหมือนงูพิษแทงเข้าใส่ข้อมือขวาของหลินเป่ยเฉินด้วยความรวดเร็วสายฟ้าฟาด

 

 

หลินเป่ยเฉินยามนี้มีสมาธิตั้งมั่น ดังนั้นเขาจึงตั้งรับได้ทันเวลา

 

 

เด็กหนุ่มใช้มือซ้ายช่วยจับดาบ ก่อนจะบิดข้อมือขวาเหวี่ยงดาบโต้กลับไปใส่ศีรษะของคู่ต่อสู้ด้วยความรุนแรง

 

 

สีหน้าของชายหนุ่มแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

 

แล้วกระบี่ในมือของเขาก็เปลี่ยนทิศทางเป็นครั้งที่สาม

 

 

ปลายกระบี่แทงเข้ามาปะทะกับปลายดาบศีลธรรมโดยตรง

 

 

เคล้ง!

 

 

เสียงโลหะปะทะกันดังขึ้น

 

 

หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนดาบในมือของเขาแทงเข้าใส่ก้อนหินขนาดใหญ่ยักษ์ แรงสั่นสะเทือนดีดสะท้อนกลับมา ข้อมือของเขารู้สึกชาวูบ ทำให้ไม่สามารถโจมตีต่อเนื่องได้อีกต่อไป

 

 

เขาคาดไม่ถึงเล็กน้อย

 

 

ปรากฏว่าชายหนุ่มคนนี้ก็มีพละกำลังแข็งแกร่งไม่แพ้กัน

 

 

พวกเขาต่อสู้พัวพันกันหลายกระบวนท่า บัดเดี๋ยวช้าบัดเดี๋ยวเร็ว การเคลื่อนไหวสลับซับซ้อน คมกระบี่และคมดาบสาดประกายแวววาว กลุ่มคนที่มุงดูอยู่โดยรอบรู้ตัวอีกทีการต่อสู้ก็จบลงแล้ว

 

 

โดยเฉพาะกระบี่สุดท้ายของชายหนุ่มที่ร้ายกาจมาก

 

 

ปลายกระบี่ของเขาเป็นเหมือนเข็มแหลมทิ่มแทงไปตามจุดสำคัญบนร่างกายของหลินเป่ยเฉินอย่างรวดเร็วรุนแรง อย่าว่าแต่จะสามารถหาทางป้องกัน เพียงมองด้วยตาเปล่าก็ไม่สามารถทำได้ทันแล้ว

 

 

ที่ชายหนุ่มต้องโจมตีถึงขนาดนี้ ก็เพราะว่าถ้าเขาพลาดเพียงนิดเดียว ดาบใหญ่ในมือของหลินเป่ยเฉินก็จะต้องหั่นร่างของเขาแยกออกเป็นสองท่อนแน่นอน

 

 

“ประเสริฐ”

 

 

หานเฉิงหัวเราะออกมาด้วยความเคารพเลื่อมใสเมื่อเห็นว่าหลินเป่ยเฉินสามารถปัดป้องกันการโจมตีของเขาได้ทุกกระบวนท่า “เจ้ามีความสามารถ… แต่มันยังไม่เพียงพอ!”

 

 

พูดจบ เขาก็รั้งกระบี่กลับไป

 

 

ก่อนที่จะเสือกแทงออกมาข้างหน้าอีกครั้ง

 

 

วูบ!

 

 

คมกระบี่เป็นประกายราวดาวตก รวดเร็วและสวยงาม การเคลื่อนไหวไหลลื่นเหมือนมังกรบิน ปลายกระบี่จู่โจมใส่จุดสำคัญบนร่างกายของหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง

 

 

หลินเป่ยเฉินไม่จำเป็นต้องพูดคำใดอีกแล้ว เขายกดาบขึ้นปัดป้องดังเดิม

 

 

แรงกระแทกของดาบกับกระบี่ทำให้มวลอากาศเกิดคลื่นแรงสั่นสะเทือน

 

 

ยังคงไม่มีผู้แพ้ผู้ชนะ

 

 

หานเฉิงขมวดคิ้ว

 

 

เขามั่นใจว่าตนเองมีระดับพลังสูงกว่าหลินเป่ยเฉินหลายเท่า ภายใต้สถานการณ์ปกติ หลินเป่ยเฉินคงจะลงไปนอนสิ้นชีวิตภายใน 3 กระบวนท่าเท่านั้น แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่สามารถเอาชนะหลินเป่ยเฉินได้เลย เสมือนว่าอีกฝ่ายหนึ่งกำเนิดขึ้นมาพร้อมพลังพิเศษที่จะไม่พ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใด และยิ่งต่อสู้กันไปนานมากขึ้นเท่าไหร่ หานเฉิงก็รู้สึกว่าโอกาสที่เขาจะเอาชนะหลินเป่ยเฉินยิ่งลดน้อยลงมากขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น

 

 

เขาเปลี่ยนแปลงกระบวนท่าอีกครั้งอย่างไร้ความหวัง

 

 

หญิงสาวหน้าตาดุร้ายที่ยืนดูอยู่ด้านข้างทนไม่ไหวอีกต่อไป

 

 

วูบ!

 

 

คมกระบี่สาดประกายเจิดจ้า

 

 

นางลอบเข้ามาเล่นงานหลินเป่ยเฉินทางด้านหลัง

 

 

กระบี่ปราศจากสุ้มเสียง ไม่มีแม้แต่เสียงเสียดทานในอากาศ คมกระบี่จู่โจมด้วยความเงียบงัน

 

 

กว่าที่หลินเป่ยเฉินจะรู้สึกตัวก็สายเกินไปแล้ว

 

 

ระหว่างที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนกเมื่อเห็นดังนั้น สีหน้าของพวกเขาปรากฏความตกตะลึงขวัญผวา ไม่มีเวลามากพอที่จะเอ่ยเตือนให้หลินเป่ยเฉินระวังตัว

 

 

แต่แล้วในจังหวะนั้นเอง…

 

 

“ท่านพี่ระวัง!”

 

 

เสียงที่คุ้นหูพลันดังขึ้น

 

 

แล้วเด็กหนุ่มร่างอ้วนก็พุ่งแหวกกลุ่มคนออกมาข้างหน้า กระบี่ยาวในมือเขายื่นเข้ามาด้วยความรวดเร็วรุนแรง และรับกระบี่ที่กำลังจะปักลงมาบนคอของหลินเป่ยเฉินได้ทันเวลาอย่างหวุดหวิด!

 

 

เคล้ง!

 

 

เสียงของโลหะปะทะกันดังขึ้น

 

 

ประกายไฟสาดกระจาย

 

 

เช่นเดียวกับเลือดสีแดงสด

 

 

เด็กหนุ่มร่างอ้วนลอยกระเด็นกลิ้งไปหลายตลบ

 

 

ในเวลาเดียวกันนั้น หญิงสาวหน้าตาดุร้ายก็ต้องส่งเสียงครางในลำคอด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับเซถอยหลังไปหลายก้าว

 

 

“น้องไท้…” เมื่อหานเฉิงเห็นดังนั้น เขาก็ไม่สนใจการต่อสู้กับหลินเป่ยเฉินอีกต่อไป รีบพลิ้วกายกลับไปหาหญิงสาวทันที

 

 

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอกและวิ่งไปดูอาการของเด็กหนุ่มร่างอ้วน

 

 

เขาประคองอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมแขน และก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นหน้าเด็กหนุ่มร่างอ้วนอย่างชัดเจน “เซียวปิง เป็นเจ้าได้อย่างไรเนี่ย?”

 

 

บนแขนของเซียวปิงในขณะนี้มีรูกระบี่ประมาณ 6 ถึง 7 รูเป็นบาดแผลฉกรรจ์ เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาตลอดเวลา

 

 

เซียวปิงเพียงฝืนยิ้มด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าอ้วนกลมของเขาซีดขาวมากกว่าเดิม “ขะ… ข้ายังสามารถช่วยชีวิตท่านได้ทันเวลาใช่ไหมขอรับ?”

 

 

เด็กหนุ่มร่างอ้วนเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่แข็งแรง เสียแต่ว่าฝีมือด้านกระบี่ของเขาไม่ดีเท่าที่ควร

 

 

“อย่าเพิ่งคิดเรื่องนั้นเลย”

 

 

หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบด้วยความซาบซึ้ง

 

 

เซียวปิงกล่าวต่อว่า “หลังจากนี้ ขอข้าไปนั่งเล่นที่บ้านท่านได้หรือไม่?”

 

 

“เอ่อ เรื่องนี้…”

 

 

ใจจริงหลินเป่ยเฉินก็อยากจะอนุญาตอยู่หรอก แต่เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเซียวปิงกินจุขนาดไหน อาหารทั้งงานเลี้ยงในคืนนั้นแทบจะไม่พอยัดลงท้องเขาคนเดียวด้วยซ้ำ หลินเป่ยเฉินคำนวณดูแล้วเลี้ยงข้าวเซียวปิงหนึ่งมื้อเท่ากับเลี้ยงหมูได้ 500 ตัว เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่แปลกใจเลยที่ฐานะทางบ้านมารดาของเซียวปิงจะค่อนข้างยากจนข้นแค้น

 

 

หลินเป่ยเฉินรีบเปลี่ยนเรื่องโดยเร็วไวว่า “เซียวปิง เจ้ามาทำอะไรที่นี่? ไม่ใช่ว่าเจ้าไปเรียนต่อที่สำนักกระบี่ประจำมณฑลแล้วหรือ?”

 

 

“พี่เป่ยเฉิน ท่านได้โปรดตรวจสอบอาการบาดเจ็บของข้าและตอบคำถามของข้าก่อน”

 

 

เซียวปิงพูดด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า

 

 

หลินเป่ยเฉินรู้ชะตากรรมแล้วว่าไม่มีทางเปลี่ยนเรื่องได้เลย เขาก้มหน้ามองบาดแผลที่แขนของเด็กหนุ่มร่างอ้วน สุดท้ายก็ต้องพยักหน้าตอบตกลง “ย่อมได้ เจ้ามานั่งเล่นที่บ้านข้าได้ทุกเมื่อ…”

 

 

อาการบาดเจ็บของเซียวปิงต้องแลกมาด้วยอาหารจำนวนมากมายขนาดไหนกันนะ

 

 

แต่หลินเป่ยเฉินก็ทำได้เพียงยอมรับชะตากรรม

 

 

เซียวปิงที่มีสภาพบาดเจ็บปางตายก่อนหน้านี้ เมื่อได้รับฟังคำตอบของหลินเป่ยเฉิน เขาก็เบิกตาโตด้วยความคึกคักแจ่มใสและพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า “ขอบคุณท่านพี่ หลังจากนี้ข้าขอสัญญาว่าจะติดตามท่านพี่ตลอดไป…”

 

 

ในเวลาเดียวกันนี้

 

 

หญิงสาวหน้าตาดุร้ายผู้มีนามว่าไท้เสว่เหมยได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับเซียวปิงเมื่อสักครู่ นางกำลังตกตะลึงในพละกำลังของเด็กหนุ่มร่างอ้วนเป็นที่สุด

 

 

นางต้องพ่ายแพ้ให้กับฝ่ายตรงข้ามถึงสองครั้งสองครา นี่สร้างความขุ่นเคืองใจให้แก่ไท้เสว่เหมยยิ่งนัก เมื่อโทสะเข้าครอบงำจิตใจ หญิงสาวก็กระทำเรื่องราวโดยไม่คิดหน้าคิดหลังอีกต่อไป นางยกกระบี่ขึ้นมาพาดกับลำคอของตนเองและตะโกนว่า “หานเฉิง หากท่านไม่ฆ่าเจ้าลูกเต่าสองตัวนี้ให้แก่ข้า ข้าจะฆ่าตัวตายให้ท่านดู…”