บทที่ 652 : แก๊งมังกรเขียว!
“แก๊งมังกรเขียว?!”
“ห๊ะ! คนของแก๊งมังกรเขียว!”
คำว่า ‘มังกรเขียว’ ดูราวกับจะเป็นมนต์วิเศษ เพราะเพียงแค่ได้ยินคำนี้ คนที่พากันมุงดูอยู่หน้าประตูต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที และต่างก็ร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจกลัวพร้อมกับก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวทันที
ในวงการโลกใต้ดินนั้น ทั่วทั้งมณฑลเจียงหนานไม่มีใครจะยิ่งใหญ่ไปกว่าแก๊งมังกรเขียวอีกแล้ว!
แม้แต่จ้าวเผิงเฟยที่ได้ยินคำว่าแก๊งมังกรเขียวก็ถึงกับตกใจและอึ้งไปทันทีเช่นกัน แต่แล้วสีหน้าที่คล้ายกับคนที่กำลังจะขาดใจตายเพราะจมน้ำนั้น ก็เปลี่ยนเป็นมีหวังราวกับคว้าได้ห่วงชูชีพขึ้นมาทันที!
“ฉันก็แก๊งมังกรเขียวเหมือนกัน!”
จ้าวเผิงเฟยร้องออกมาพร้อมกับดิ้นรนที่จะลุกขึ้น สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นมีหวังขึ้นมาทันที!
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับขมวดคิ้วเล็กน้อย..
ตี้เสี่ยวอู๋กระโดดออกมาเตะจ้าวเผิงเฟยที่เพิ่งจะลุกขึ้นได้ทรุดลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาก็กระโดดเข้าไปใกล้พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“หน้าอย่างแกนี่นะเป็นคนของแก๊งมังกรเขียว?! แกอยู่โถงใหนห้องใหนของแก๊งมังกรเขียว?”
สีหน้าของตี้เสี่ยวอู๋ดูไม่เชื่ออย่างมาก เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง เขาคงเสียหน้าอย่างมากเลยทีเดียว!
ภายในแก๊งมังกรเขียวนั้นแบ่งออกเป็นสามส่วนใหญ่ๆ และแต่ละส่วนใหญ่นี้จะเรียกว่า ‘โถง’ ได้แก่โถงมังกร โถงพี่น้อง และโถงลงทัณฑ์
แต่ละโถงก็จะแบ่งย่อยออกเป็นห้องเล็กๆอีก อย่างโถงมังกรก็จะแยกย่อยออกเป็นกลุ่มเล็กๆ และจะเรียกว่า ‘ห้อง’ ได้แก่ห้องวายุ ห้องพิรุณ ห้องอสุนี และห้องอัคนี
ส่วนโถงพี่น้องก็แยกย่อยเป็น ห้องเมตตา ห้องคุณธรรม ห้องพิธีกรรม และห้องปัญญา
ส่วนโถงลงทัณฑ์นั้นไม่มีแยกย่อย และมีหน้าที่ดูแลกฎระเบียบต่างๆภายในแก๊ง
โถงมังกรนั้นเปรียบเหมือนเสาหลักของแก๊งมังกรเขียว!
ส่วนโถงพี่น้องนั้น เป็นศูนย์รวมของคนมากหน้าหลายตา ตั้งแต่กลุ่มคนที่ร่ำรวยและมีอำนาจไปจนถึงกลุ่มคนชั้นล่าง โถงนี้จะมีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกันไป จึงเป็นโถงที่ยากต่อการปกครองที่สุด
ส่วนโถงลงทัณฑ์นั้น เปรียบเหมือนผู้ที่มีหน้าที่คอยออกกฎระเบียบ ลงโทษสมาชิกที่ฝ่าฝืนกฏ หรือทรยศต่อแก๊ง คนที่จะทำงานในโถงลงทัณฑ์นี้ได้จะต้องเป็นผู้ที่จงรักภักดิ์ดีต่อแก๊งมังกรเขียวอย่างมาก
ตลอดเวลามากกว่าหนึ่งเดือนผ่านมาที่ตี้เสี่ยวอู๋ทำหน้าที่ปกครองแก๊งมังกรเขียวโดยที่เขาไม่ได้ร้องขอนั้น เขาก็ได้พยายามดูแลด้วยความระมัดระวัง และคิดเสมอว่าทำหน้าที่ดูแลแทนหลิงหยุนเท่านั้น
แต่ตอนนี้ต่อหน้าหลิงหยุน จ้าวเผิงเฟยกล้าบอกว่าเขาเป็นคนของแก๊งมังกรเขียว ทำให้ตี้เสี่ยวอู๋รู้สึกไม่ดีอย่างมาก
จ้าวเผิงเฟยยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าที่บวมเปล่งเหมือนหมูของเขาแสยะยิ้มให้กับตี้เสี่ยวอู๋พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“พี่หกที่เป็นทั้งเพื่อนทั้งพี่ของฉันต่างหาก ที่เป็นคนของแก๊งมังกรเขียว..”
ตี้เสี่ยวอู๋ถึงกับงุนงง ใครคือพี่หก คิ้วหนาของเขาเลิกขึ้นพร้อมกับถามว่า “บอกชื่อมา พี่หกพี่เจ็ดอะไรของแก..!”
เมื่อตี้เสี่ยวอู๋ได้ยินว่าจ้าวเผิงเฟยไม่ใช่คนของแก๊งมังกรเขียว เขาก็ถึงกับโล่งอกขึ้นมาทันที เพราะเป็นเช่นนั้นจริงเขาคงต้องถูกหลิงหยุนตำหนิไปแล้ว
จ้าวเผิงเฟยพูดต่อว่า “เขาก็คือฮู๋เหล่าลิ่ว หรือฉายาพี่หกไงล่ะ!”
และที่จ้าวเผิงเฟยเรียกฮู๋เหล่าลิ่วว่าพี่หกนั้น ก็เพื่อแสดงออกว่าตนเองสนิทสนมนั่นเอง
“ฮู๋เหล่าลิ่ว?!”
ตี้เสี่ยวอู๋คิดอยู่นาน และในที่สุดก็คิดออกว่าในโถงพี่น้องมีชายอายุราวสามสิบสามปีตัวเล็กๆคนหนึ่งท่าทางเหมือนลิง และมีอาชีพเปิดบ่อนเล็กๆแห่งหนึ่ง
“ฮู๋เหล่าลิ่ว? ฉันเคยได้ยินชื่อนี้เหมือนกัน!”
ระหว่างนั้นถังเมิ่งก็ได้พูดแทรกขึ้นมาว่า “นี่คนแซ่จ้าว.. ไม่ต้องบอกว่าแกรู้จักคนชื่อฮู๋เหล่าลิ่วหรือว่าคนแซ่ฮู๋ หรือพี่หกพี่เจ็ดอะไรเลย ฉันจะบอกอะไรให้ ต่อให้แกรู้จักกับหัวหน้าแก๊งมังกรเขียววันนี้แกก็ไม่รอด!”
จ้าวเผิงเฟยถึงกับอึ้งไป เขาอ้างชื่อฮู๋เหล่าลิ่วแล้วก็ยังไม่ได้ผลงั้นหรือ? และถึงแม้เขาจะรู้จักกับหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวก็ช่วยอะไรได้เลยงั้นหรือ? นี่มันอะไรกัน?! เด็กพวกนี้เป็นสมาชิกของแก๊งมังกรเขียวไม่ใช่หรอกหรือ?
“พวกนายเป็นคนของแก๊งมังกรเขียวไม่ใช่เหรอ? ฉันรู้จักกับฮู๋เหล่าลิ่วที่เป็นคนของแก๊งมังกรเขียวจริงๆนะ? ถ้าไม่เชื่อ ฉันจะโทรหาเขาตอนนี้เลยก็ได้..”
จ้าวเผิงเฟยได้แต่คิดในใจว่า ถ้าเด็กหนุ่มทั้งสี่คนเป็นคนของแก๊งมังกรเขียวจริง และดูจากอายุแล้ว ทั้งสี่คนก็ไม่น่าจะมีตำแหน่งสูงอะไรนัก และควรจะต้องเห็นแก่หน้าของฮู๋เหล่าลิ่วบ้าง!
แต่หากทั้งสี่คนนี้ไม่ใช่คนของแก๊งมังกรเขียวจริง และกล้าเอาชื่อของแก๊งมังกรเขียวมาแอบอ้างแบบนี้ เมื่อฮู๋เหล่าลิ่วมาถึง ทั้งสี่คนก็จะต้องเจอดีอย่างแน่นอน!
ตี้เสี่ยวอู๋กำลังจะห้าม แต่กลับถูกหลิงหยุนหยุดไว้ก่อน “ปล่อยมัน.. มันอยากจะโทรเรียกใครมาก็ปล่อยมัน ยิ่งเรียกมามากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี!”
ทางด้านอาปิงนั้นยังคงยืนพิงประตูสูบบุหรี่นิ่งเฉย และตั้งแต่จัดการกับคนพวกนั้นเสร็จจนถึงตอนนี้ เขายังไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
หลิงหยุนเองยังคงใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดูปฏิกิริยาของอาปิงอยู่ตลอดเวลา และได้แต่คิดในใจว่า ‘เด็กนี่นิ่งขรึมกว่าที่คิดมากจริงๆ!’
เด็กนี่มีทั้งความมั่นใจ ใจกล้า เลือดร้อน แต่ก็นิ่งขรึม ทำให้หลิงหยุนมีความหวังกับอาปิงมากขึ้น เขาต้องการดูว่าเด็กคนนี้จะปกครองแก๊งมังกรเขียวได้อย่างไร?
หลิงหยุนจึงจัดการส่งกระแสจิตพูดกับคนทั้งสามว่า “ตั้งแต่นี้ไป.. เรื่องทุกอย่างยกให้อาปิงเป็นคนจัดการ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเขา..”
ในเมื่อตอนนี้ซูปิงหยานและเยี่ยนจื่อต่างก็ปลอดภัยแล้ว นับจากนี้ไปหลิงหยุนเองก็ต้องการทดสอบอาปิงว่าจะสามารถแก้ไข และจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร?
“พี่หก? ฉันเผิงเฟยนะ.. ฉันถูกคนทำร้าย..” จ้าวเผิงเฟยหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาฮู๋เหล่าลิ่วทันที
แล้วเสียงแหลมสูงก็ดังจากปลายสายมาเข้าหูของหลิงหยุน “อะไรนะ? นายถูกคนทำร้ายงั้นเรอะ? พวกมันเป็นใครกัน กินดีหมีดีมังกรมาหรือยังไงถึงได้กล้าขนาดนี้? แล้วตอนนี้นายอยู่ที่ใหน?”
จ้าวเผิงเฟยรีบบอกฮู๋เหล่าลิ่วทันที และเสียงปลายสายก็ดังขึ้นว่า “ได้.. นายรอฉันอยู่ที่นั่น ฉันจะไปเดี๋ยวนี้! กล้าทำร้ายพี่น้องของฉัน พวกมันเล่นผิดคนซะแล้ว! ทุกคนตามฉันมา!”
หลังจากวางสายไปแล้ว จ้าวเผิงเฟยก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก เขารีบตอบหลิงหยุนกับคนอื่นๆไปทันที “พี่หกกำลังจะมาแล้ว..”
ในเวลานั้นเอง อาปิงก็เดินออกมาจากประตูโดยที่ไม่พูดอะไร ร่างสูงใหญ่ของเขาค่อยๆก้าวเข้ามาหาจ้าวเผิงเฟยทีละก้าว และเมื่อมาถึงก็ค่อยๆย่อตัวลงไปหาร่างของจ้าวเผิงเฟยที่นั่งกองอยู่กับพื้น จากนั้นจึงถามจ้าวเผิงเฟิงเสียงเรียบ
“เอาล่ะเพื่อไม่ให้เสียเวลา.. ระหว่างที่พี่หกของแกยังไม่มา บอกฉันมาว่าแกมีกิจการอะไรบ้าง มีเงินฝากเท่าไหร่ แล้วก็มีบ้านกี่หลัง..”
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับต้องหันไปมองถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋ และได้แต่คิดในใจว่าดูเหมือนเขาไม่จำเป็นต้องสอนอะไรเด็กคนนี้เลยแม้แต่น้อย เด็กคนนี้คงเกิดมาเพื่อเป็นหัวหน้าแก๊งโดยธรรมชาติ
“ฉันมีร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟอยู่ทั้งหมดสี่ร้าน.. ว่าแต่นายถามเรื่องนี้ทำไม?”
จ้าวเผิงไฟถึงกับถามออกมาอย่างงุนงงที่จู่ๆ อาปิงซึ่งนิ่งอยู่นานก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมา
ทันทีที่ถามจบ.. จ้าวเผิงเฟยก็ถูกอาปิงตบปากถึงสี่ครั้ง และพูดกับเขาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
“ถ้าไม่อยากถูกตบอีก ก็ตอบคำถามฉันมาดีๆ! แกมีหน้าที่ตอบ ไม่ใช่มาถามฉันกลับ!”
แทบไม่ต้องพูดถึง อาปิงนั้นเป็นลูกชายในครอบครัวทหาร จึงง่ายมากที่จะจัดการกับจ้าวเผิงเฟย ในเมื่อหลิงหยุนให้อำนาจในการจัดการกับเขาแล้ว เขาจึงไม่รีรอที่จะจัดการในแบบของเขาเอง
จ้าวเผิงเฟยถึงกับอึ้งไปและยังไม่รู้ตัวว่า วันนี้ต่อให้เขาเรียกใครมาก็ตาม ผลก็จะเป็นเช่นเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่อาจจะมีแตกต่างกันบ้างก็แค่มีคนโชคร้ายเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นเอง!
แต่เมื่อเห็นสีหน้าของอาปิง จ้าวเผิงเฟยก็กลัวถูกตบอีกจึงรีบตอบกลับไปว่า “ฉันมีร้านอินเทอร์เนตคาเฟ่ทั้งหมดสี่ร้าน มีเงินฝากทั้งหมดสามล้าน และมีบ้านสองหลัง..”
“สามล้านเองเหรอ?”
“เอ่อ.. สามล้านห้าแสน..”
จ้าวเผิงเฟยได้แต่แอบคิดในใจว่า การที่เขามีร้านอินเทอร์เนตคาเฟ่ถึงสี่ร้าน มีเงินเก็บมากกว่าสามล้าน ก็นับได้ว่าเขาเป็นคนรวยอยู่บ้าง หลิงหยุนกับคนอื่นๆน่าจะไว้หน้าเขาบ้าง
อาปิงตอบกลับเสียงเบา “ดีมาก.. ถ้างั้นก็เอาบ้านทั้งสองหลัง ร้านอินเทอร์เน็ตทั้งสี่ร้าน แล้วก็เงินเงินฝากทั้งหมดของแกมาจ่ายเป็นค่าเสียหายให้กับพี่สาวคนนี้ก็แล้วกัน..”
“อะไรนะ?!” จ้าวเผิงเฟยถึงกับอึ้งไป และถึงกับลืมความเจ็บปวดบนใบหน้าพร้อมกับอ้าปากกว้าง
“อย่าคิดว่าฉันพูดเล่น! ฉันขอเตือนไว้ว่าแกมีเวลาพรุ่งนี้แค่วันเดียวในการจัดการเรื่องทั้งหมดให้เรียบร้อย!”