บทที่ 653 : หลิงหยุนอีกคน!
สีหน้าของจ้าวเผิงเฟยซีดเผือด ใบหน้าบวมเปล่งนั้นคล้ำดำ และเหงื่อไหลท่วมตัว!
ไม่รู้ว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริงหรือไม่?! แต่เด็กหนุ่มทั้งสี่คนก็แสดงได้เหมือนจริงอย่างมาก ทุกคนล้วนแล้วแต่อายุไม่เกินยี่สิบปี และเขาเองก็ไม่เคยพบเจอมาก่อน
และจากท่าทางการแต่งตัวของเด็กหนุ่มทั้งสี่คนนั้น ก็ดูไม่เหมือนสมาชิกของแก๊งมังกรเขียวเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ดูออกว่าไม่ใช่คนธรรมดาๆเช่นกัน เพราะแม้ว่าทุกคนจะอยู่ในชุดลำลองสบายๆ แต่เครื่องแต่งกายล้วนแล้วแต่เป็นของแบรนด์เนมทั้งสิ้น!
ยิ่งไปกว่านั้น หลิงหยุนเองก็สามารถรักษาใบหน้าที่บวมช้ำของซูปิงหยานกับเยี่ยนจื่อให้หายได้ภายในพริบตาเดียว และสามารถทำให้พวกเธอกลับมาเป็นเหมือนเดิมราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น คนที่ทำเช่นนี้ได้จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไรกัน?
จ้าวเผิงเฟยถึงกลับหันไปมองซูปิงหยานอีกครั้ง เขาได้แต่คิดอยู่ในใจว่าซูปิงหยานไปรู้จักเด็กหนุ่มที่น่ากลัวเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? ก่อนหน้านี้เขาเองก็เคยข่มเหงรังแกซูปิงหยานอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าจะมีใครมาช่วยเธอเลย นอกเสียจากเจ้าเด็กอ้วนคนนั้นคนเดียว!
แต่ซูปิงหยานกลับไม่สนใจมองจ้าวเผิงเฟยเลยแม้แต่น้อย เพราะตั้งแต่หลิงหยุนก้าวเข้ามาในร้าน ดวงตาของเธอก็จับจ้องอยู่ที่หลิงหยุนเพียงคนเดียว เธอกัดริมฝีปากล่างแน่น ในใจรู้สึกสับสนวุ่นวายขณะที่กำลังทำความเข้าใจในตัวหลิงหยุน
ซูปิงหยานยังจำได้แม่นยำว่า.. เมื่อต้นปีที่จ้าวเผิงเฟยพาลูกน้องมาก่อกวนที่ร้านของเธอ ตอนนั้นหลิงหยุนถูกคนของพวกมันทำร้ายจนใบหน้าบวมเปล่งไปหมด เขาได้แต่เอามือกุมใบหน้าของตนเองไว้ และปล่อยให้พวกมันซ้อมและทำร้ายจนหนำใจ
แต่ตอนนี้.. หลิงหยุนแทบไม่ต้องลงมือเองด้วยซ้ำไป เพียงแค่สั่งการไม่กี่คำทุกอย่างก็เรียบร้อย และนั่นทำให้ซูปิงหยานข้องใจอย่างมาก!
ช่างแตกต่างกันกับครั้งนั้นราวฟ้ากับดิน!
ซูปิงหยานยังจำคืนนั้นได้ดี หลิงหยุนถูกคนซ้อมจนใบหน้าบวมปูด และเนื้อตัวเขียวช้ำไปหมดจนไม่สามารถกลับไปที่โรงเรียนได้ แต่ก็ยังยืนยันไม่ยอมไปโรงพยาบาล จนในที่สุดซูปิงหยานจึงต้องพาหลิงหยุนกลับไปที่บ้านของตนเอง และช่วยประคบร้อนตามบาดแผลให้กับเขา ร่างอ้วนๆที่เต็มไปด้วยไขมันของหลิงหยุนนั้นทั้งบวมและเป็นสีม่วงช้ำเต็มไปหมด ทำให้ซูปิงหยานรู้สึกสงสารจับใจ..
“ผมกำลังจะตาย.. ผมกำลังจะตาย..”
คืนนั้น.. หลิงหยุนพูดประโยคเดิมซ้ำๆอยู่เช่นนี้ แม้แต่ซูปิงหยานเองก็คิดว่าหลิงหยุนคงถูกซ้อมจนประสาทเสียไปแล้ว จึงได้พูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระเช่นนั้น และเขาก็พูดประโยคเดิมนั้นซ้ำๆจนกระทั่งหลับไป..
ตั้งแต่นั้นมา.. สิ่งหนึ่งที่ซูปิงหยานเข้าใจหลิงหยุนมากก็คือ เขารู้สึกโดดเดี่ยวอย่างที่สุด!
ในคืนที่หลิงหยุนนอนสลบไสลอยู่บนเตียงของเธอนั้น ซูปิงหยานได้โอบกอดร่างของหลิงหยุนไว้ในอ้อมแขนไม่ต่างจากพี่สาวที่ใจดีคนหนึ่ง เธอคอยเช็ดเหงื่อที่ไหลโชกให้กับเขา และคอยปลอบปะโลมเขาไปจนกระทั่งหลับ ส่วนตัวเธอเองนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดใจอย่างบอกไม่ถูก
แน่นอนว่าหลิงหยุนเองก็ไม่รู้เรื่องนี้ แต่ถึงแม้หลิงหยุนคนก่อนอาจจะรู้เรื่องนี้ แต่หลิงหยุนคนปัจจุบันย่อมไม่รู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน
ตั้งแต่นั้นมา ซูปิงหยานก็คอยเอาใจใส่ดูแลหลิงหยุนไม่ต่างจากพี่สาวคนหนึ่ง และไม่ว่าทั้งคู่จะไปใหนมาใหนด้วยกัน หรือมองตากัน ต่างคนต่างก็รู้สึกว่ามีบางอย่างในดวงตาของอีกฝ่าย แต่ทั้งคู่ต่างก็ไม่มีใครก้าวข้าม
แต่ตอนนี้หลิงหยุนไม่เพียงผอมลงเท่านั้น แต่ยังทั้งหล่อและเก่งกาจไปเสียทุกเรื่องอีกด้วย เขากลายเป็นคนที่มีความสามารถรอบตัวอย่างน่าอัศจรรย์
หลิงหยุนคนเดิมได้หายไปแล้ว!
แต่เมื่อเธอต้องพบกับการก่อกวนอีกครั้ง หลิงหยุนก็ยังมาช่วยเธออีก แต่ครั้งนี้เขากลับจัดการปัญหาทุกอย่างได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ อีกทั้งยังเป็นฝ่ายปลอบโยนเธอ แววตาของเขาที่มองเธอนั้นไม่ใช่แววตาของเด็กหนุ่มเลือดร้อน แต่เป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสงบเยือกเย็นราวกับสายน้ำ..
ซูปิงหยานเชื่อว่า.. หากเธอไม่ใช้ข้ออ้างเรื่องการนำค่าจ้างไปให้กับหลิงหยุนที่โรงเรียนในวันนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอคงต้องจบลงไปแล้วอย่างแน่นอน และสิ่งที่ผ่านมาก็คงเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น
และเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ซูปิงหยานที่กำลังมองตาหลิงหยุนก็ถึงกับหัวใจเต้นแรง หูของเธออื้อไปหมดจนไม่ได้ยินสิ่งที่อาปิงพูดกับจ้าวเผยเฟิงแม้แต่คำเดียว
ถึงตอนนี้ฮู๋เหล่าลิ่วก็ได้พาลูกน้องมาอีกสี่คันรถ รวมแล้วก็มากกว่ายี่สิบคน และแต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่หน้าตาดุร้ายทั้งสิ้น
“ใคร? ใครกล้าทำร้ายน้องชายของฉัน นี่มันไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่มั๊ย?”
เมื่อร่างผอมแห้งของฮู๋เหล่าลิ่วก้าวลงมาจากรถ เขาก็ร้องตะโกนเสียงดังข่มคู่ต่อสู้ขึ้นมาทันที!
เมื่อผู้คนที่มุงดูอยู่เห็นว่าคนของแก๊งมังกรเขียวตัวจริงมาแล้ว แทบไม่ต้องร้องสั่ง ทุกคนต่างก็หลบออกเป็นสองแถวเปิดทางให้ทันที และนี่คืออำนาจของแก๊งมังกรเขียว!
“ห๊ะ..?!”
ทันทีที่ฮู๋เหล่าลิ่วเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปด้านใน และมองเห็นตี้เสี่ยวอู๋ยืนอยู่ เขาก็ถึงกับยืนนิ่งด้วยความตกตะลึงอยู่ที่หน้าร้านทันที
“ท่านหัวหน้า!?” ฮู๋เหล่าลิ่วดวงตาเบิกโพลงพร้อมกับร้องอุทานออกมาเสียงดัง!
ลูกน้องที่วิ่งตามฮู๋เหล่าลิ่วเข้ามาในร้านต่างก็รู้ว่าตี้เสี่ยวอู๋คือหัวหน้าแก๊งมังกรเขียว ไม้บาสเก็ตบอลในมือถึงกับร่วงลงพื้นทันที
หลังจากหายตกใจ ฮู๋เหล่าลิ่วก็ไม่ลังเลที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง เขารีบเดินตรงเข้าไปคำนับให้ตี้เสี่ยวอู๋ถึงสามครั้งพร้อมกับพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น
“ท่านหัวหน้า.. คิดไม่ถึงว่าท่านจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง? ใครกันที่กล้ามาหาเรื่องกับแก๊งมังกรเขียวของเรา? ฉันจะจัดการกับมันเอง!”
ฮู๋เหล่าลิ่วคิดว่านับว่าเป็นเรื่องดีที่ท่านหัวหน้ามาปรากฏตัวในเหตุการณ์สำคัญเช่นนี้ด้วยตัวเอง และเป็นความโชคดีของเขาที่จะได้แสดงความสามารถต่อหน้าท่านหัวหน้า
“พี่.. พี่หก.. คือฉัน..!”
ครั้งแรกที่จ้าวเผิงเฟยเห็นฮู๋เหล่าลิ่วเดินเข้ามาพร้อมลูกน้องอีกมากมายนั้น เขาเองก็นึกดีใจอย่างมาก แต่ภาพเหตุการณ์ต่อมากลับทำให้เขาถึงนึกโมโหตัวเองอย่างมากที่มีตาแต่กลับไม่มีแวว และแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปทันที!
ท่านหัวหน้า?! ฮู๋เหล่าลิ่วเรียกเขาว่าท่านหัวหน้า?! และแก๊งมังกรเขียวก็มีหัวหน้าอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น! เมื่อคิดได้เช่นนี้จ้าวเผิงเฟยก็ถึงกับหน้าเขียวคล้ำขึ้นมาทันที!
แต่ไม่ใช่เขียวคล้ำเพราะความโกรธ แต่เขียวคล้ำเพราะความตกใจกลัวต่างหาก!
ฮู๋เหล่าลิ่วสังเกตุเห็นว่าจ้าวเผิงเฟยนั่งกองอยู่กับพื้น เขาจึงหันไปมองตี้เสี่ยวอู๋อีกครั้ง และก็ถึงกับตกใจสุดขีดเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่า นี่จ้าวเผิงเฟยถูกหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวทำร้ายหรือนี่?!
แต่ตี้เสี่ยวอู๋เองก็ไม่ปล่อยให้ฮู๋เหล่าลิ่วต้องคาดเดาอยู่นาน เขาพูดขึ้นทันทีว่า “ฉันเป็นคนจัดการกับมันเอง แล้วก็ลูกน้องของมันอีกยี่สิบคนที่กองกันอยู่ในห้องนี้ด้วย แต่ตอนนี้ฉันไม่ใช่หัวหน้าแก๊งมังกรเขียวอีกแล้ว หัวหน้าแก๊งมังกรเขียวคนใหม่คือเขา!”
หลังจากได้โอกาส.. ตี้เสี่ยวอู๋ก็รีบปลดตัวเองออกจากตำแหน่งหัวหน้าแก๊งมังกรเขียว และรีบยกตำแหน่งหน้าที่นี้ให้กับอาปิงทันที!
เมื่อฮู๋เหล่าลิ่วได้ยินว่าคนที่จ้าวเผิงเฟยมีเรื่องด้วยก็คือหัวหน้าแก๊งมังกรเขียว เขาถึงกับใจเต้นอย่างแรง และตอนนี้ขาทั้งสองข้างก็เริ่มสั่นจนเกือบจะทรุดลงไปกองกับพื้นเช่นกัน!
“จ้าวเผิงเฟย! นี่แกสมองเสื่อมไปแล้วหรือยังไงกัน? ถึงได้กล้าไปมีเรื่องกับหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวแบบนี้?!”
แม้ว่าฮู๋เหล่าลิ่วจะตกใจและหวาดกลัวอย่างมาก แต่ก็ไม่กล้าทรุดลงไปกองกับพื้น และรีบเดินตรงเข้าไปหาจ้าวเผิงเฟยที่โทรเรียกให้เขามา แล้วยกขาขึ้นเตะเข้าไปอย่างแรง!
จ้าวเผิงเฟยร้องขอความเมตตาอย่างน่าสมเพช และหลังจากที่ฮู๋เหล่าลิ่วจัดการกับจ้าวเผิงเฟยแล้ว เขาก็เดินตรงไปโค้งคำนับอาปิงถึงสามครั้งพร้อมกับพูดขึ้นด้วยท่าทางเคารพนบนอบ
“เหล่าลิ่ว – จากห้องปัญญา โถงสมาชิก แห่งแก๊งมังกรเขียวทำความเคารพท่านหัวหน้าคนใหม่!”
แม้ว่าจะไม่มีพิธีรับมอบตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่เมื่อตี้เสี่ยวอู๋บอกว่าอาปิงคือหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวคนใหม่ แน่นอนว่าฮู๋เหล่าลิ่วจะต้องน้อมรับ และให้ความเคารพ
อาปิงยังคงยืนนิ่ง สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉย แต่ก็ยอมรับการทำความเคารพจากฮู๋เหล่าลิ่วพร้อมกับสั่งว่า
“ฮู๋เหล่าลิ่ว พรุ่งนี้นายมีหน้าที่รับผิดชอบพาจ้าวเผิงเฟยไปจัดการโอนบ้านทั้งสองหลัง เงินในบัญชีจำนวนสามล้านห้าแสน และร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่อีกสี่ร้าน มอบให้กับพี่สาวท่านนี้เป็นค่าเสียหายด้วย!”
“แล้วจัดการส่งจ้าวเผิงเฟยเข้าไปสำนึกผิดภายในโถงลงทัณฑ์..”
จากนั้นอาปิงก็ยกมือขึ้นชี้ไปรอบๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ส่วนพวกที่มาสร้างความวุ่นวายในร้านนี้ทั้งหมด หลังจากที่พวกเราออกไปแล้ว นายจัดการเรียกตำรวจมาลากคอพวกมันไปเข้าคุกให้หมดด้วย!”
“ส่วนนาย.. โทษฐานที่ทำงานไม่ระมัดระวังจนเกิดเรื่องวุ่นวายแบบนี้ ฉันจะยึดบ่อนของนายเป็นเวลาสามปี ภายในสามปีนี้นายมีหน้าที่ดูแลกิจการเท่านั้น แต่รายได้ทั้งหมดจะตกเป็นของแก๊งมังกรเขียว หลังจากนั้นสามปีจึงค่อยคืนให้กับนาย แต่ก็ยังต้องดูความประพฤติของนายอีกทีด้วย!”
“เรื่องความเสียหายที่เกิดขึ้นภายในร้านนี้ นายจะต้องเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด ภายในหนึ่งอาทิตย์ร้านอินเทอร์เนตนี้ต้องกลับมาเปิดบริการได้ตามปกติ!”
“มีปัญหาอะไรมั๊ย?”
ฮู๋เหล่าลิ่วถึงกับเหงื่อตกและในใจได้แต่กร่นด่าจ้าวเผิงเฟย ช่างเป็นความโชคร้ายของเขาเสียจริงๆ เขาเหลือบมองจ้าวเผิงเฟยเล็กน้อยก่อนจะตอบไปว่า
“ไม่มีปัญหาครับท่านหัวหน้า!”
‘ไอ้ลูกหมา.. จะมีเรื่องกับใครก็ไม่มี ดันมามีเรื่องกับหัวหน้าแก๊งมังกรเขียว แล้วยังเสือกโทรเรียกฉันมาให้อับอายขายหน้าและซวยไปด้วย!’
หลังจากที่อาปิงพูดจบ เขาก็เดินไปหาหลิงหยุนพร้อมกับกระซิบถามว่า “พี่หยุน.. ฉันจัดการแบบนี้พอใจมั๊ย?”
หลิงหยุนไม่พูดอะไร และเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย เขาเดินเข้าไปหาจ้าวเผิงเฟยพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“จ้าวเผิงเฟย.. แกจำได้มั๊ยว่าเคยทำร้ายฉัน?”
จ้าวเผิงเฟยทั้งหวาดกลัวและงุนงง เพราะหลิงหยุนนั้นเปลี่ยนไปมาก และเขาก็จำหลิงหยุนไม่ได้จริงๆ
“พ่อหนุ่ม.. เธอเป็นใคร..?!”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า “ฉันก็หลิงหยุนไง!”
ใบหน้าของจ้าวเผิงเฟยถึงกับเปลี่ยนเป็นสีม่วงทันที ริมฝีปากของเขาอ้ากว้างด้วยความตกใจพร้อมกับพูดตะกุกตะกัก
“เธอ.. นี่เธอคือเด็กอ้วนคนนั้นจริงๆเหรอ?”
จ้าวเผิงเฟยรู้สึกราวกับฟ้ากำลังจะถล่มลงมา! เขายังจำได้ว่าครั้งนั้นเขาได้จัดการซ้อมหลิงหยุนอย่างสนุกสนาน และคิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์เดียวกันนั้นกำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง
แย่แล้ว! หัวหน้าแก๊งมังกรเขียวทั้งสองคนยังต้องเชื่อฟังคำสั่งของหลิงหยุน นี่เขาจะไม่ถูกซ้อมปางตายเลยงั้นหรือ?!
เขาคงต้องตายแน่ๆ!
เมื่อได้ฟังหลิงหยุนพูดจบ ถังเมิ่งที่ยืนอยู่ก็ก้าวไปหาจ้าวเผิงเฟยด้วยความโมโหพร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า
“แกเตรียมตัวหายไปจากโลกนี้ได้เลย!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงหยุน แม้แต่ตี้เสี่ยวอู๋กับอาปิงต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที อาปิงถึงกับรู้สึกว่าเขาลงโทษจ้าวเผิงเฟยเบาเกินไป
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นไร..” เขาพอใจกับผลงานของอาปิงมาก..
หลิงหยุนสั่งให้ถังเมิ่งหยุดพูด แล้วเดินตรงเข้าไปหาจ้าวเผิงเฟย จัดการจี้ไปที่จุดตันเถียนใต้ท้องน้อยของมัน และจุดตันเถียนของมันก็หมุนเร็วราวกับพายุเฮอริเคน
“ที่เหลือพวกนายสามคนจัดการไปก็แล้วกัน ฉันกลับก่อนล่ะ!”
พูดจบหลิงหยุนก็ประคองซูปิงหยานและเยื่ยนจื่อเดินออกไปจากร้าน