ตอนที่ 572 ความสุขของนาง

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 572 ความสุขของนาง

อันหลิงเกอคาดมิถึงว่าเขาจะกลับมา นางจึงรีบลุกขึ้นด้วยความตกตะลึง ตามมาด้วยเสียงไพ่หินในมือหล่นกระทบพื้น ตอนนี้ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยความอึดอัดและทำอันใดมิถูก หากกล่าวเรื่องที่นางเรียกสาวใช้เข้ามาเล่นไพ่ในเรือน มันจะดูเหมาะสมที่ไหนเล่า ?

ขณะที่อันหลิงเกอกำลังจมอยู่กับความคิด ไพ่หินบนพื้นก็คืนสู่มือนางอีกครั้ง แต่ภายใต้สายตาของทุกคนเห็นว่ามู่จวินฮานเป็นคนเก็บขึ้นมาด้วยตนเอง

“สอนข้าเล่นได้หรือไม่” ริมฝีปากของเขาเปิดขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นเสียงกลั้นหัวเราะเบา ๆ ของสาวใช้สี่คนก็ดังขึ้นและในเวลาเดียวกันก็มีเสียงกระซิบดังเป็นครั้งคราวเพราะอ๋องมู่ที่ทำตัวสูงส่งในเวลาปกติเกิดอยากเล่นไพ่นี้ !

ยากนัก เป็นเรื่องยากเสียจริง !

“น่ะ…นั่งสิเจ้าคะ” อันหลิงเกอลากเก้าอี้ออกมา เวลาเดียวกันก็สั่งให้คนอื่นออกไปเพราะนางรู้สึกว่าเหตุการณ์แบบนี้มันดูแปลก ๆ หลังมู่จวินฮานนั่งลงแล้ว นางจึงกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง

เรื่องจึงเป็นแบบนี้คือนาง ซูเอ๋อ ปี้จูและมู่จวินฮานนั่งโต๊ะเดียวกัน จากนั้นก็เริ่มสอนจากการปฏิบัติจริง

เวลาเพียง 1 ชั่วยาม มู่จวินฮานก็เล่นได้อย่างคล่องแคล่วและทำให้นางที่เหมือนคนเรียนถึงแก่นแท้แล้วรู้สึกละอายใจยิ่งกว่าอันใด

“ไม่เล่นแล้ว ! ” อันหลิงเกอวางก้อนหินในมือแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห เขาชนะติดต่อกันสี่ตาแล้วจะเหลือทางให้ผู้อื่นได้เยี่ยงไร ?

ซูเอ๋อและปี้จูที่อยู่อีกทางด้านหนึ่งมิสังเกตเห็นความผิดปกติอันใดเพราะหากมิใช่พระชายาชนะก็เป็นท่านอ๋องชนะอยู่ดี สุดท้ายชัยชนะก็มิได้ตกมาเป็นพวกตน

พอเห็นนางสะบัดแขนจะเดินออกไป มู่จวินฮานก็เอื้อมมือไปรั้งไว้แล้วแอบบ่นถึงความผิดของตน ถือเป็นการนึกถึงความรู้สึกของนางแล้ว

“เล่นอีกตาเถิด” มู่จวินฮานกล่าวเบา ๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นไปกดให้นางนั่งกับเก้าอี้อีกครั้ง

ความไม่พอใจปรากฏบนใบหน้าอย่างชัดเจน อันหลิงเกอหยิบไพ่หินกลับมาโดยมิเต็มใจ ทุกคนก็กลับมานั่งใหม่อีกครั้งจนจบเกม สีหน้ามืดมนด้วยความมิพอใจของนางจึงค่อย ๆ จางหาย

ด้านนอกจวนอ๋อง รถม้าหยุดอยู่หน้ารูปปั้นสิงโตตัวขวา หลังคนขับเห็นเจ้านายเดินออกมาจากในจวน เขาก็รีบยกเก้าอี้มารองฝ่าเท้าให้ทันที

“ประเดี๋ยววันหลังจะมาเล่นกับเจ้าใหม่และต้องชนะสักตาให้ได้” ซูเอ๋อเชิดคางเล็กน้อย นางมิยอมรับว่าตนเองแพ้ แต่ใบหน้าไร้เดียงสาทำให้อันหลิงเกอหัวเราะอย่างมีความสุข

“ได้ ครั้งนี้เจ้าเล่นเป็นแล้วก็นำกลับไปเล่นกับสาวใช้ในจวนสิ ถือเป็นวิธีแก้เบื่อดีเชียว” อันหลิงเกอคลี่ยิ้ม หลังส่งซูเอ๋อขึ้นรถม้าและมิเห็นเงาของรถแล้ว นางจึงเดินกลับเข้าจวน

ส่วนไพ่บนโต๊ะถูกปี้จูเก็บกวาดจนเรียบร้อยแล้ว แสงแดดยามสนธยาทำให้ใบหน้าของนางแดงยิ่งกว่าก้อนเมฆบนท้องฟ้าเสียอีก อันหลิงเกอรีบกลับเข้ามาในเรือน หลังจากนั้นก็มีคนตามนางเข้ามา

ในยามค่ำคืน ทั้งสองนอนกอดกันบนเตียง

แต่นางยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ อันหลิงเกอกำลังหันหลังให้เขา พอนึกถึงตอนเล่นไพ่ในตอนบ่ายและโดนเขาชนะไปหลายตาติด นางก็ยิ่งรู้สึกสงสัย

“ท่านอ่อนข้อให้ข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอกล่าวเสียงแผ่วเบา น้ำเสียงอ่อนหวานและลากยาวเหมือนกรงเล็บของแมวสองตัวที่กำลังเกาหัวใจคนที่อยู่ข้างหลัง

แม้หลับตาอยู่ ทว่ามือของมู่จวินฮานก็เริ่มอยู่ไม่สุข “ข้ามิได้อ่อนข้อให้เจ้า เจ้าชนะถือว่าเจ้าเก่งและข้าชื่นชมจากใจจริง”

อันหลิงเกอได้ยินเขากล่าวเยี่ยงนี้ก็รู้สึกว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทันทีและรีบตีมือที่เอว จากนั้นพลิกกายกลับไป ดวงตาจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาจนนางเกือบลืมตัวว่าอยากจะถามบางอย่าง ถ้ามิถามตอนนี้ก็ต้องนอนแบบไม่เป็นสุขแน่นอน

“พอเถิด ท่านช่วยโกหกให้น่าเชื่อกว่านี้ได้หรือไม่เจ้าคะ ? ” นางประชดกลับ ในขณะที่กำลังจะลุกขึ้นมานั่งและเห็นชัดว่าอากาศเริ่มเย็นแล้ว เหตุใดนางจึงรู้สึกร้อนได้เล่า ?

ผ่านไปอีกพักใหญ่มู่จวินฮานก็ยังมิตอบ

เมื่ออันหลิงเกอมิได้คำตอบที่ต้องการ นางก็มิฝืนทำต่อและพลิกตัวลงนอนอีกครั้ง

“หลับแล้วหรือ ? ” เมื่อด้านข้างไม่มีเสียงดังขึ้นอีก มู่จวินฮานก็ลืมตามองผ้าห่มที่อันหลิงเกอแย่งไปกว่าครึ่งอีกครั้ง เขาจึงดึงตัวคนที่อยู่ร่วมผ้าห่มเข้ามากอดเสียเลย

บางทีอาจเพราะช่วงนี้ถูกเอาใจจนเสียนิสัยแล้ว ตอนแรกเริ่มอันหลิงเกอยังต่อต้านอยู่ ทว่าต่อมาก็หมดแรงจึงได้แต่แสร้งทำตัวเป็นปลาตายมิดิ้นหรือไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย

มู่จวินฮานเอ่ยหยอกเย้าอยู่นานสองนาน ทว่าคนตรงหน้าก็ยังมิขยับสักที เขาจึงยื่นหน้ามาแกล้งโดยใช้เคราถูไหล่ของนาง

พอนางบ่น มู่จวินฮานจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงขอโทษเล็กน้อย “ในเมื่อเจ้ารู้แล้วจะถามอีกทำไม คงมิได้อยากให้ข้าจุมพิตยอมรับว่าเจ้าแพ้อย่างคลุมเครือหรอกกระมัง ? ”

เป็นอย่างที่คิด เขาตั้งใจปล่อยให้นางชนะ !

แม้อันหลิงเกอบ่นในใจ แต่ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าตนกับเขาเริ่มสนิทกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอดีตทั้งสองคนก็สนิทกันอยู่แล้ว แต่มันเทียบมิติดกับความเข้าอกเข้าใจกันในปัจจุบันนี้

เมื่อร้องออกมาสองครั้ง อันหลิงเกอก็ดึงผ้าห่มมาปิดหน้าที่แดงก่ำไว้

ค่ำคืนนี้ นอกหน้าต่างราวกับภาพวาดสีหมึก เงาตะเกียงสั่นไหวเงียบสงัดและทั้งสองคนนอนกอดกันจนราตรีสุขสมผ่านพ้นไป

ทว่าคนที่อยู่อีกทางด้านหนึ่งไม่มีความสุขเหมือนพวกเขา

เสียงของแตกกลางห้องโถงเปรียบดั่งเสียงฟ้าร้องกึกก้องในค่ำคืนที่เงียบสงัด ทำให้คนอดตื่นตัวและรู้สึกหวาดระแวงมิได้

“เจ้าว่าอันใด วันนี้ท่านอ๋องไปหานางอีกแล้วหรือ ? ” ทัวป๋าหลิวลี่มองสาวใช้ที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าดุร้าย เล็บเรียวยาวจมลึกเข้าไปในเนื้อแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นนางก็มิรู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย สิ่งที่ทำให้คนเจ็บปวดจริง ๆ มิใช่เนื้อหนังแต่เป็นหัวใจ !

เมื่อเห็นเยี่ยงนั้น สาวใช้ก็โน้มหน้าผากแนบติดกับพื้นแล้วหลับตาสวดอ้อนวอนขอให้ทัวป๋าหลิวลี่คลายโทสะโดยเร็ว “เช่อเฟยอย่าโมโหไปเลยเจ้าค่ะ หากโมโหจนล้มป่วยเพราะคนผู้นั้นมันจะมิคุ้มค่าเจ้าค่ะ ! ”

ทัวป๋าหลิวลี่หันไปจ้องนางอย่างดุร้าย ดวงตาคมกริบราวกับลูกศร สาวใช้จึงได้แต่เอาหน้าผากโขกพื้น

เมื่อให้ทุกคนออกไปแล้วทัวป๋าหลิวลี่ก็ล้มตัวนั่งบนเตียงพร้อมดวงตาที่ว่างเปล่าราวกับขุมนรกที่ทำให้เดาความคิดของนางมิออก

เหตุใดตั้งแต่อันหลิงเกอกลับมาท่านอ๋องก็มิเคยมาหานางที่เรือนอีก คงมิได้เป็นเพราะอันหลิงเกอใช้วิชามาร ท่านอ๋องถึงได้ละเลยนางเยี่ยงนี้

ทัวป๋าหลิวลี่หลับตาและพยายามอย่างหนักเพื่อทำให้ตนกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง นางเตือนตนเองนับครั้งมิถ้วนว่าให้รอก่อน รอให้ถึงเวลาที่สมควรแล้วอันหลิงเกอก็จะยอมเผยจุดอ่อนออกมา

ทว่ารอมานานขนาดนี้แล้วอันหลิงเกอไม่เสียความโปรดปรานแต่ยังได้ความรักจากท่านอ๋องมากกว่าเดิม ความแค้นนี้นางทนต่อไปมิได้แล้ว !

“เด็กเด็ก” ทัวป๋าหลิวลี่ส่งเสียงเรียก ทันใดนั้นโมโม่ที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกมาเป็นเวลานานก็เดินเข้ามา “จับตาดูพระชายาให้ข้าต่อไป เวลาจับตาดูก็ระวังหน่อย อย่าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงเด็ดขาด ! ”

โมโม่คนนั้นลังเลพักหนึ่ง ใบหน้าเหี่ยวย่นเผยสีหน้าจนปัญญาพอสมควร “เช่อเฟย เท่าที่บ่าวเห็นคือพวกเราจะทนต่อไปมิได้แล้วนะเจ้าคะ”

คำพูดของโมโม่คนนี้ทำให้ทัวป๋าหลิวลี่คิดตาม

นางยืดตัวตรง ดวงตาเปล่งประกายใต้แสงเทียนราวกับมีระลอกคลื่นเกิดขึ้น “โมโม่กล่าวเยี่ยงนี้ เจ้าคิดจริงจังหรือ ? ”

“เจ้าค่ะ” โมโม่รีบพยักหน้าตกลง หลังเช่อเฟยของตนเป็นที่โปรดปราน สาวใช้ที่คอยติดตามก็จะพลอยได้ดีไปด้วย ดังนั้นโมโม่จึงพยักหน้าให้อย่างหนักแน่น

ทัวป๋าหลิวลี่ก็มิได้หัวร้อนจนขาดสติ หลังนึกถึงเรื่องวางยาพิษเมื่อครั้งก่อน นางก็แสยะยิ้มอย่างเย็นชา คราวนี้นางไม่มีทางโง่จนปล่อยให้คนจับได้แน่นอน

“พอแล้ว นี่ก็ดึกมากแล้วเจ้ากลับไปพักผ่อนก่อน หากไม่มีคำสั่งจากข้าก็ห้ามวู่วามลงมือเด็ดขาด” เมื่อออกคำสั่งอย่างเกียจคร้านอีกสองสามประโยค นางก็ไล่โมโม่ออกไป