ตอนที่ 573 ราบรื่น
เช้าวันรุ่งขึ้น ทัวป๋าถิงฟางกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้ใต้ต้นไม้ในสวนพร้อมเปลือกองุ่นสีแดงอมม่วงที่บ้วนออกจากปากลูกแล้วลูกเล่า
“คนในจวนอ๋องแห่งนี้มักมองคนแค่ใบหน้า หรือกล่าวง่าย ๆ ว่านกสองหัว”
ทัวป๋าถิงฟางเอ่ยขณะรับผ้าเช็ดหน้ามาจากสาวใช้ หลังเช็ดคราบเปื้อนเสร็จ นางก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
เมื่อไม่มีผู้อื่นมาสร้างปัญหาให้ ทัวป๋าถิงฟางก็ได้ใช้ชีวิตอย่างราบรื่นสมใจ แต่นางมิรู้ว่าตนได้ทำให้คนจำนวนมิน้อยอิจฉามานานแล้ว
“กลับเข้าเรือน” เพราะนางเห็นว่าแสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องแรงขึ้นและกลัวว่าตนจะตากแดดจนตัวดำจึงเดินกลับเข้าไปพักในเรือน
ณ เรือนมู่เหล่าหวางเฟยมีสาวใช้ผู้หนึ่งกำลังก้าวเข้ามาในเรือน แต่เพิ่งเดินเข้ามาถึงฉากกั้นลมในห้องก็ได้ยินเสียงไอดังมาจากบนเตียงและเสียงก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
“เหล่าหวางเฟยให้บ่าวไปเชิญท่านหมอมาดูอาการดีหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยด้วยความร้อนรน ขณะเดียวกันก็หันไปมองสาวใช้ที่อยู่ด้านข้าง “เหล่าหวางเฟยมิสบายถึงเพียงนี้ เหตุใดยังมิเชิญหมอมาอีก ! ”
มู่เหล่าหวางเฟยลูบหน้าอกและส่ายศีรษะ “มิต้อง แค่โรคเก่ากำเริบ ข้าให้คนไปเอายามาจากสำนักหมอหลวงแล้ว”
ทุกครั้งที่ถึงช่วงเปลี่ยนฤดูกาล นางมักไอมิหยุดเสมอ กอปรกับความคับแค้นใจในช่วงนี้จึงเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดอาการไออย่างรุนแรง พอนานวันเข้าก็ทานยาเพื่อบรรเทาอาการได้บ้างแต่มิสามารถรักษาให้หายขาดได้
ก่อนหน้านี้มีอันหลิงเกอคอยดูแล ทว่าตอนนี้…
“ช่วงนี้ท่านอ๋องเอาแต่ไปดูแลพระชายา บางทีเขาคงลืมไปแล้วว่ายังมีแม่คนนี้อยู่” มู่เหล่าหวางเฟยกล่าวออกมาพร้อมส่ายหน้าซึ่งในใจก็ยิ่งริษยาอันหลิงเกอมากขึ้น
เมื่อสาวใช้ผู้นั้นได้ฟังมู่เหล่าหวางเฟยตัดพ้อก็ทำให้นางรู้สึกเคารพ เกรงกลัวและขุ่นเคืองมู่จวินฮานในเวลาเดียวกัน พอเห็นใบหน้าอันขมขื่นของมู่เหล่าหวางเฟย นางก็รู้สึกปวดใจกว่าเดิม “พระชายาจะปีนมาถึงศีรษะอยู่แล้ว เหล่าหวางเฟยได้คิดวิธีกำราบไว้บ้างหรือยังเจ้าคะ ? ”
ย่อมคิดอยู่แล้ว ทว่าความรู้สึกสับสนมิกล้าลงมือก็มีเพียงมู่เหล่าหวางเฟยเท่านั้นที่รู้ดี !
เพราะหลังจากทัวป๋าถิงฟางทำเรื่องสิ้นคิดเมื่อครั้งก่อน ไม่ว่าตนทำอันใดก็ห่วงหน้าพะวงหลังทั้งนั้น มิต้องกล่าวถึงว่าจะวางแผนทำร้ายอันหลิงเกอได้หรอก !
มู่เหล่าหวางเฟยครุ่นคิดมาถึงตรงนี้ก็อดเผยแววตาดุร้ายขึ้นมามิได้ มือกำแน่นและเส้นเอ็นก็ปรากฏขึ้นบนขมับขาวผ่อง
“เพราะคราวก่อนข้าประมาทเกินไป ครั้งนี้คิดทำอันใดก็คงยากแล้ว” หลังนางกล่าวจบก็หลับตาลงด้วยความอ่อนล้าจนสาวใช้ผู้นั้นเอ่ยปากขึ้นจึงลืมตาอีกครั้ง
สาวใช้ผู้นั้นกล่าวออกมาเสียงเบาและหันไปมองโดยรอบ เมื่อไม่มีผู้อื่นอยู่นางจึงบอกว่าคิดแทนมู่เหล่าหวางเฟยไว้ตั้งนานแล้ว ขณะเดียวกันหางตากับคิ้วก็ยกขึ้นเล็กน้อยและยังอบอุ่นราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิไม่ผิดเพี้ยน
มู่เหล่าหวางเฟยมองสาวใช้ที่มีความคิดลึกล้ำตรงหน้าด้วยสายตามิอยากเชื่อ มาถึงตอนนี้ถือว่ามิได้เลี้ยงให้เสียข้าวสุกจริง ๆ
“ทำเช่นนี้แล้วจะได้ผลจริงหรือ ? ” สายตาของเหล่าหวางเฟยดูเศร้าสร้อย เสียงที่กระซิบแผ่วเบาทำให้ผู้อื่นยากที่จะได้ยิน
พอรู้ว่ามู่เหล่าหวางเฟยคิดได้แล้ว สาวใช้ก็ลุกขึ้นพร้อมกล่าวคำอำลา “ตราบใดที่มีบ่าวอยู่ เหล่าหวางเฟยมิต้องกังวลใด ๆ สามารถลงมือได้เลยเจ้าค่ะ ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วบ่าวต้องขอตัวก่อน พรุ่งนี้จักเข้ามาปรนนิบัติท่านใหม่เจ้าค่ะ”
หลังให้โมโม่ส่งนางออกจากเรือนแล้วมู่เหล่าหวางเฟยก็รู้สึกสดใสขึ้นมาทันที ภายในอกก็มิได้อึดอัดเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งนางต้องระบายออกมาถึงจะสบายใจ
“พรุ่งนี้ห้ามวู่วามเด็ดขาด” มู่เหล่าหวางเฟยกระซิบสั่งสาวใช้เสียงเบาขณะชี้นิ้วไปที่กิ่งดอกไม้สีชมพูบนโต๊ะ จากนั้นนางก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นและในเวลาต่อมาจึงออกคำสั่งว่า “เก็บของสิ่งนี้ให้ดี อย่าให้ผู้อื่นเห็นมันเด็ดขาด”
โคมไฟในเรือนสว่างไสว เรือนทั้งหลังเต็มไปด้วยแสงไฟและตัวมู่เหล่าหวางเฟยกำลังนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นพระโพธิสัตว์ ปากพึมพำเสียงสวดที่ผู้อื่นมิได้ยิน เครื่องหอมในเรือนเผาไหม้ตลอดทั้งคืนกว่าจะดับลง
เช้าวันรุ่งขึ้น นางสนมทั้งหลายก็มาถวายความเคารพ
มู่เหล่าหวางเฟยนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสง่างามและฉีกยิ้มมองผู้คนที่มาคารวะตรงหน้า “ช่วงนี้ร่างกายข้ามิค่อยแข็งแรงจึงเพิ่งให้พวกเจ้ามาวันนี้ เป็นสิ่งที่ช่วยมิได้จริง ๆ ”
หลังกล่าวจบนางก็ยกชาขึ้นจิบพร้อมเค้นเสียงดัง ฮึ อย่างเยือกเย็นและดูเหมือนว่านางได้ใช้แรงกับถ้วยชาจนเกินไปหน่อย ถ้วยจึงกระทบโต๊ะจนเกิดเสียงดัง
ทำให้พวกนางเงยหน้าขึ้นมองแต่เห็นเพียงน้ำชากระเด็นและตกกระทบโต๊ะไม้ที่เคลือบเงา
“หมู่เฟยทำเยี่ยงนี้เพราะมีอันใดไม่พอใจหรือเจ้าคะ ? ” เสียงแผ่วเบาของทัวป๋าหลิวลี่ดังขึ้นในหมู่ผู้คน
“พี่สาวจะพูดสิ่งใดต้องระวังหน่อยนะเจ้าคะ”
มู่เหล่าหวางเฟยได้ยินก็รู้สึกรำคาญจึงเอ่ยออกมาเสียงดังลั่น “เงียบ ! ทุกคนเห็นเรือนของข้าเหมาะแก่การมาคุยกันหรือ ? ” เมื่อเหล่าหวางเฟยกล่าวออกมาเยี่ยงนี้ก็ทำให้นางทั้งสองต้องนั่งลงแล้วจ้องตากันไปมา
เมื่อทุกอย่างเงียบสงบ ทุกคนก็ถอดหายใจอย่างโล่งอกแต่เห็นทัวป๋าถิงฟางล้มลงกับพื้น ดวงตาเหลือกขาวและหมดสติไปทันที
ทุกคนที่พบเห็นต่างตกใจและรีบเข้าไปล้อมดูทันที ส่วนมู่เหล่าหวางเฟยก็รีบสั่งให้คนให้ไปตามหมอมาดูอาการ
การที่เรื่องนี้เกิดท่ามกลางผู้คนมากมายทำให้แพร่ไปถึงห้องหนังสือของมู่จวินฮาน ผ่านไปครู่ใหญ่มู่จวินฮานจึงได้เดินทางมาที่นี่
พอเห็นทัวป๋าถิงฟางนอนบนเตียงด้วยใบหน้าซีดขาว ผิวบริเวณดวงตาดำคล้ำ เขาก็รีบถามหมอหลวงทันที “นางเป็นเยี่ยงไรบ้าง อันตรายถึงชีวิตหรือไม่ ? ”
หมอหลวงมิกล้าปิดบังจึงส่ายศีรษะแล้วถอนหายใจ “พิษในครานี้ร้ายแรงยิ่งนัก เกรงว่าข้าน้อยจะไร้ความสามารถแล้วขอรับ”
มู่จวินฮานกระวนกระวายจนเหงื่อไหลมิหยุด พอเหล่าหวางเฟยเข้าไปปลอบแล้วนางก็ออกคำสั่งเสียงขรึม “ส่งคนไปค้นให้ทั่วจวน สืบให้ได้ว่าผู้ใดกล้าทำสกปรกเยี่ยงนี้ ! ”
หลังจากนั้นมู่จวินฮานก็สูดหายใจเข้าลึกและคิดว่ามีคนก่อปัญหาใต้จมูกเขาอีกครั้งแล้ว
แม้เขามิได้รักทัวป๋าถิงฟางสักนิด แต่เพื่อปกป้องอันหลิงเกอจึงต้องแสร้งทำเป็นรักนาง
กอปรกับนี่เป็นจวนอ๋องมู่ มีเรื่องเยี่ยงนี้เกิดขึ้นเขาก็ต้องสืบให้กระจ่างอยู่แล้ว
หลังสืบหาเบาะแสได้ระยะหนึ่งก็ค้นพบหลักฐานคือกิ่ง*เจียจู๋เถาในเรือนของหลิงอวี่หนิง เมื่อเป็นเช่นนี้มู่จวินฮานจึงชี้หน้านางด้วยความโมโห “หญิงชั่ว ! ลากตัวออกไป ! ”
เขามิสนใจแม้แต่น้อยว่าใครจะฆ่าใคร
เมื่อได้ยินดังนั้น หลิงอวี่หนิงก็รีบคุกเข่าลงและกล่าวด้วยความตกใจ “ท่านอ๋อง เชี่ยเซินมิได้ทำเรื่องนี้ เชี่ยเซินอยู่ที่นี่ตลอดแล้วจะวางยานางได้อย่างไร ! ท่านอ๋องโปรดตรวจสอบให้กระจ่างด้วยเจ้าค่ะ ! ”
หลังเห็นมู่จวินฮานมิไหวติง นางจึงรีบออกคำสั่งกับสาวใช้ทันที “ไปเอายาฟื้นวิญญาณมาจากในเรือนของข้า ท่านอ๋อง เชี่ยเซินมียาที่สามารถแก้พิษร้อยชนิดได้เจ้าค่ะ พอพี่สาวทานแล้วต้องฟื้นขึ้นมาแน่เจ้าค่ะ ! ”
หลังกล่าวจบ นางก็คว้าแขนเสื้อมู่จวินฮานมาจับไว้แน่นและร้องไห้โฮด้วยความหวาดกลัว
ภายใต้ความโกลาหล ไม่มีผู้ใดหันมาเห็นแววตาที่เย็นชาของมู่เหล่าหวางเฟยซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของทุกคน
หลังจากนั้นมินานสาวใช้ที่รีบเข้าไปเอายาก็ออกมาพร้อมกล่องยาและป้อนยาให้ทัวป๋าถิงฟาง จากนั้นก็ถอยมายืนด้านข้างด้วยตัวที่สั่นสะท้าน
เมื่อหมอหลวงลองตรวจชีพจรอีกครั้งก็ต้องตกใจเพราะพบว่าชีพจรของทัวป๋าถิงฟางกลับมามั่นคงอีกครั้ง
“ท่านอ๋อง ท่านดูสิว่ายานี้ออกฤทธิ์ทันที ท่านอ๋องได้โปรดสืบให้กระจ่างด้วยเจ้าค่ะ เชี่ยเซินมิได้ทำเรื่องนี้จริง ๆ เจ้าค่ะ ! ” หลิงอวี่หนิงยังคุกเข่าขอร้องและดึงเสื้อเขามิปล่อย
พอเห็นทัวป๋าถิงฟางมิเป็นอันตรายถึงชีวิตแล้ว มู่จวินฮานจึงนวดขมับและค่อย ๆ นั่งลง จากนั้นก็โบกมือส่งสัญญาณให้คนพาหลิงอวี่หนิงออกไป ส่วนคนอื่นในห้องก็ถอยออกไปอย่างรู้งาน
…
*เจียจู๋เถา คือ ดอกยี่โถ