ตอนที่ 194 นายอยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ / ตอนที่ 195 เอียนมาก

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 194 นายอยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ

 

 

           ไป๋จิ่งลูบจมูกป้อยๆ หน้าซื่อตาใส “ที่จริงผมเองก็ยังงงๆ ซือเหยี่ยนโทรหาผมบอกว่าต้องการจะติดต่อคุณ หลังจากนั้นผมก็มาเป็นเพื่อนเขามาที่นี่”

 

 

           มั่วไป๋ครุ่นคิด เขาหยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความหามั่วไป๋ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ข้อความของเขา เจียงมู่เฉินต้องตอบกลับมาอยู่แล้ว

 

 

           เป็นอย่างที่คิดไว้ ไม่ถึงนาที เจียงมู่เฉินก็ตอบกลับข้อความเขามา

 

 

           มั่วไป๋เห็นข้อความก็วางใจลงได้สักที

 

 

           “คุณไม่สบายหรือเปล่า ทำไมถึงรู้สึกว่าสีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีเลย” ตอนไป๋จิ่งเข้ามาก็รู้สึกว่ามั่วไป๋ดูท่าทางจะเหนื่อยเอามากๆ

 

 

           มั่วไป๋กุมขมับ “ไม่มีอะไร ก็แค่ไข้ขึ้นนิดหน่อย”

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินว่าเขาไข้ขึ้นก็รีบมานั่งข้างเขาทันที “กลับไปนอนพักที่ห้องสักหน่อยเถอะ”

 

 

           มั่วไป๋พยักหน้าลุกขึ้นยืนจากโซฟา เพราะลุกขึ้นเร็วเกินไปทำให้ร่างกายผอมบางที่อ่อนแออยู่แล้วเสียหลักเซไปนิดหน่อย

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นก็หวั่นวิตกจนสอดแขนอุ้มอีกคนขึ้นมา

 

 

           มั่วไป๋ตกใจจนสะดุ้งโหยง เสียงต่ำเอ่ยทันใด “จู่ๆ มาอุ้มฉันทำไม”

 

 

           “แบบนี้เบาแรงกว่า”

 

 

           ไป๋จิ่งอุ้มเจ้าตัวเข้ามาข้างในห้อง วางร่างลงบนเตียงอย่างเบามือและนุ่มนวล ทั้งยังห่มผ้าให้ ทั้งยังเอาใจใส่ดูแล มั่วไป๋มองเขาอย่างน่าเอ็นดูผิดปกติ

 

 

           จนกระทั่งทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ไป๋จิ่งถึงได้ถามด้วยรอยยิ้ม “จ้องผมซะขนาดนี้ มีอะไรหรือเปล่า”

 

 

           มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้น “ไม่มีอะไร จู่ๆ ก็รู้สึกว่าแบบนี้นายหล่อมาก”

 

 

           “ผมหล่อแค่ตอนนี้หรือไง” ไป๋จิ่งพูดไปก็เอามือสัมผัสหน้าผากมั่วไป๋ไปด้วย อุณหภูมิร้อนผ่าวที่ฝ่ามือทำเอาเขารีบลุกขึ้นมาทันที “คุณนอนไปก่อนนะ เดี๋ยวผมจะรินน้ำมาให้”

 

 

           มั่วไป๋นอนอยู่ตรงนั้น เห็นเขารีบร้อนเดินออกไป เสียงฝีเท้าดังที่ข้างหูตลอดเวลา มั่วไป๋กะพริบตาพริบๆ รู้สึกว่าทุกอย่างนี้เหมือนกำลังฝันอยู่ไม่มีผิด

 

 

           คิดไม่ถึงว่าจะมีวันหนึ่งที่เขาจะวิ่งวุ่นทำโน่นทำนี่ไปทั่วเพื่อตัวเองได้

 

 

           มั่วไป๋หลับตาลงยิ้มออกมาอย่างจนใจ ถ้าทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน จะดีมากแค่ไหนกันเชียว?

 

 

           บางทีเขาอาจจะซึ้งใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำในวันนี้ จนควักหัวใจทุ่มรักเขาต่อไปก็ได้

 

 

           ไป๋จิ่งรีบถือแก้วน้ำเข้ามา ในมือยังถือยามาด้วย เขานั่งลงข้างเตียง เอ่ยเสียงต่ำ “มา กินยาก่อน แล้วค่อยไปนอนพักผ่อนดีๆ”

 

 

           มั่วไป๋มองยาลดไข้ในมือเขา แล้วยกมุมปากขึ้นเบาๆ “ฉันไม่มีแรง ไม่อยากกิน”

 

 

           ไป๋จิ่งร้อนใจแล้ว “คุณยังไข้ขึ้นอยู่ จะไม่กินยาได้ยังไง”

 

 

           มั่วไป๋มองเขา “งั้นนายป้อนฉัน?”

 

 

           พอไป๋จิ่งได้ยินก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงต่อ เขาวางแก้วน้ำไว้บนตู้ข้างเตียง นั่งลงข้างมั่วไป๋ แล้วค่อยๆ ประคองขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

 

 

           เขาพยายามให้มั่วไป๋ได้เอนพิงอย่างสบายตัวแล้วถึงได้หันมาหยิบยาและแก้วน้ำ เขาส่งยาต่อให้มั่วไป๋ ครั้งนี้เขาเปิดปากกินยาเข้าไปอย่างว่าง่าย ดื่มน้ำตามแล้วถึงได้กลืนยาลงไป

 

 

           ไป๋จิ่งเอ่ยถาม “ยังอยากดื่มน้ำอีกไหม”

 

 

           มั่วไป๋ส่ายหัว

 

 

           ไป๋จิ่งเอาแก้วน้ำกลับมาวางบนโต๊ะ เพิ่งจะหมุนตัวเตรียมจะคลายมือออกให้มั่วไป๋ได้นอนลงดีๆ จู่ๆ มั่วไป๋ก็ประชิดตัวเข้ามาจูบ

 

 

           เขาจูบตามอำเภอใจ แต่ท่าทางกลับไร้เรี่ยวแรงลงทีละนิด เพราะอาการป่วยเป็นสาเหตุ

 

 

           จนกระทั่งมั่วไป๋จูบเสร็จแล้ว ถึงได้ผละตัวออกนิดหนึ่ง

 

 

           “ยาขมมาก” มั่วไป๋เอ่ยเสียงต่ำอธิบาย

 

 

           ไป๋จิ่งยิ้มหัวเราะเบาๆ “ยังขมอยู่ไหม ยังขมอีกก็จูบอีกได้นะ”

 

 

           “ไม่ขมแล้ว”

 

 

           “โอเค งั้นคุณก็นอนพักผ่อนดีๆ แล้วกัน” ไป๋จิ่งค่อยๆ วางอีกคนให้นอนลง แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาให้ ทันใดนั้นมั่วไป๋ก็คว้ามือเขาไว้แน่น

 

 

           ไป๋จิ่งมองเขาอย่างประหลาดใจ “เป็นไรไป หรือว่ายังรู้สึกไม่สบายอยู่”

 

 

           “อืม” มั่วไป๋รับคำ “นายอยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ ฉันคนเดียวนอนไม่หลับ”

 

 

 

 

ตอนที่ 195 เอียนมาก

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นใบหน้าขาวซีดของมั่วไป๋ ก็พยักหน้ารับ “ได้ งั้นผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ” เขาถอดเสื้อสูทออก แล้วทิ้งตัวลงนอนตะแคงข้างหามั่วไป๋ เขาจ้องมองดวงตาสีดำขลับของมั่วไป๋แล้วยิ้ม “เอาล่ะ รีบนอนเถอะ ผมจะอยู่ตรงนี้เคียงข้างคุณเอง”

 

 

           อาจเพราะเสียงของไป๋จิ่งอ่อนโยนเกินไป มั่วไป๋ที่อยู่ข้างๆ กายเขาค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ เพียงครู่เดียวก็เข้าสู่นิทราไปในที่สุด

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งได้ยินเสียงหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอที่ข้างกายแล้ว ถึงเพิ่งเอามือเกลี่ยผมที่ปกหน้าผากเขาออก

 

 

           เขาจ้องมองใบหน้าของมั่วไป๋ พลางถอนหายใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เห็นเขาแบบนี้ ก็อดจะทั้งรักทั้งสงสารไม่ได้

 

 

           ไป๋จิ่งคว้ามือของมั่วไป๋ที่วางข้างตัวเอาไว้ เขากุมมือนั้นเบาๆ คอยอยู่เป็นเพื่อนเขา แล้วค่อยๆ หลับลงไปอย่างช้าๆ

 

 

           ……

 

 

           ตลอดทั้งบ่ายซือเหยี่ยนวิ่งวุ่นไปทุกที่ที่เจียงมู่เฉินจะสามารถไปได้ ไม่มีการตอบรับใดใดทั้งสิ้น ซือเหยี่ยนเพิ่งจะเข้าใจ ดูท่าว่าครั้งนี้เจียงมู่เฉินโกรธเขาแล้วจริงๆ

 

 

           เขาไม่อยากเจอหน้าตัวเอง เช่นนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตามไม่มีทางจะได้เจอเขา

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ ตอนนี้ซูเตอร์กลับประเทศมาแล้ว เจียงมู่เฉินยังมาหลบหน้าเขาในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้อีก เขาไม่รู้จริงๆ ว่าถ้าเวลานี้ซูเตอร์เกิดนึกสงสัยขึ้นมา แล้วต้องการจะลงมือกับเจียงมู่เฉิน เขาจะต้องทำอย่างไร

 

 

           “ช่วยฉันสืบหาร่องรอยตำแหน่งที่เจียงมู่เฉินไปมาวันนี้ที”

 

 

           “ได้ ฉันจะตรวจสอบให้ทันที”

 

 

           ซือเหยี่ยนวางมือถือลง ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้อยู่ต่อหน้าหน้าต่าง หวังว่าเจ้าหมอนั่นอย่าไปไกลเกินไป ให้เขายังตามไปทันได้อยู่

 

 

           ……

 

 

           ลงจากเครื่องมาแล้ว เจียงมู่เฉินกับซังจิ่งก็นั่งรถที่ซังจิ่งเตรียมเอาไว้ มุ่งหน้าไปยังเขตภูเขา

 

 

           ระหว่างทาง ซังจิ่งมองดูเจียงมู่เฉินที่กำลังมองออกนอกหน้าต่างไป ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความใคร่อยากรู้ “ตลอดทางมาที่นี่ คุณไม่บอกผมเลยว่าทำไมถึงอยากมาล่วงหน้ากะทันหันแบบนี้ จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่คิดจะพูดอีกเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้นขำๆ “ประธานซังพูดแบบนี้ตลกจริงๆ ก่อนขึ้นเครื่อง นายก็ถามไม่ได้อะไร นายยังคิดว่าลงเครื่องแล้ว นายยังจะถามได้คำตอบอยู่อีกเหรอ”

 

 

           “ให้ผมเดา…คุณคงจะไม่ทะเลาะกันกับซือเหยี่ยนหรอกใช่ไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ทำไม นี่นายหวังอยากจะให้ฉันทะเลาะกับซือเหยี่ยนมากเลยใช่ไหม”

 

 

           “ใช่สิ” ซังจิ่งพยักหน้ารับอย่างหน้าไม่อาย “พวกคุณทะเลาะกัน ผมก็จะได้เป็นตาอยู่เอาพุงปลาไปกิน[1]ซะเลย”

 

 

           “นายตื่นตาสว่างสักหน่อยเถอะ ซีอีโอซัง เรื่องเพ้อฝันขนาดนี้ นายยังกล้าคิดได้เหรอ”

 

 

           ซังจิ่งมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ “ผมยังแปลกใจมากอยู่จริงๆ คุณว่าคุณคบกับซือเหยี่ยนมีอะไรน่าสนุกกัน หน้าตายังกับก้อนน้ำแข็งแบบนั้น เห็นแล้วไม่รู้สึกเอียนบ้างเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาแล้วกะพริบตาปริบๆ “ที่จริง ฉันรู้สึกว่าเห็นนายแล้วเอียนมากกว่าอีกนะ”

 

 

           พูดจบเจียงมู่เฉินก็หลับตาลงนอนทันที ทำท่าทางเหมือนซังจิ่งน่าเอียนมากจริงๆ

 

 

           ซังจิ่งทำไขสือลูบจมูกปอยๆ คิดใคร่ครวญอย่างจริงจัง นี่เขาดูเอียนมากขนาดนั้นเลยเหรอ

 

 

           ‘ที่จริงเขายังรู้สึกว่าตัวเองหล่อเอาเรื่องอยู่นะ’

 

 

           จากสนามบินมาก็ขึ้นทางด่วนไป หลังจากเดินทางได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็เป็นทางขึ้นเขาทั้งหมด เจียงมู่เฉินนั่งโคลงเคลงไปมาจนเวียนหัว สีหน้าดูไม่ค่อยจะไหวเท่าไหร่

 

 

           ซังจิ่งส่งน้ำขวดหนึ่งจากด้านข้างมาให้ “ดื่มน้ำสักหน่อยเถอะ สีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย”

 

 

           เจียงมู่เฉินกุมขมับที่ปวดตุบๆ ขึ้นมา “ไม่เป็นไร น่าจะเพราะเป็นครั้งแรกที่ใช้ถนนบนเขา เลยไม่ค่อยชินเท่าไหร่”

 

 

           “ผมไม่ได้พิจารณาถึงเรื่องนี้ไว้ ไม่ควรจะชวนคุณมาเลย ถ้ารู้แต่แรกว่าคุณไม่ชินกับถนนบนเขาแบบนี้”

 

 

           “ช่างเถอะ ไหนๆ ฉันก็มาแล้ว ตอนนี้พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก” เจียงมู่เฉินรับขวดน้ำต่อจากมือซังจิ่งมาเปิดฝาดื่มเข้าไปหนึ่งคำ

 

 

           “ข้างหน้ายังอีกไกลเท่าไหร่”

 

 

           “ประมาณอีกหนึ่งชั่วโมง”

 

 

           เจียงมู่เฉินมองออกไปนอกหน้าต่างดูเส้นทางบนเขา แล้วกุมขมับ “งั้นฉันจะนอนสักพักหนึ่ง ใกล้ถึงแล้วเรียกฉันด้วย”

 

 

           ซังจิ่งพยักหน้า “ได้ คุณพักผ่อนดีๆ เถอะ” ระหว่างพูดอยู่ จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว คุณต้องการจะบอกครอบครัวคุณหน่อยไหม เดี๋ยวเข้าในภูเขาแล้วสัญญาณจะแย่มาก”  

 

 

   

 

 

 

 

[1] เป็นตาอยู่เอาพุงปลาไปกิน เป็นสำนวนมาจากเรื่องราวของตาอิน กับ ตานา หาปลามากินกัน ได้ปลาทุกวันรักกันก็ปันกันไป แล้ววันหนึ่งได้ปลามาตัวเดียว ตาอินกับตานาเริ่มทะเลาะกัน ตาอยู่มาเดี๋ยวเดียวคว้า พุงเพียวๆ ไปกิน มักใช้เพื่อตักเตือนว่า ยามที่ต้องทะเลาะ หรือมีปากเสียงกับผู้อื่น ควรใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาแทนที่จะใช้อารมณ์ มิเช่นนั้นจะทำให้เกิดความสูญเสียทั้ง 2 ฝ่าย ปล่อยให้มือที่ 3 ได้รับประโยชน์ไปฟรีๆ