ตอนที่ 230 สมปรารถนาโดยบังเอิญ  

 

 

 

 

 

“ผู้น้อยอยู่ในหน้าที่ หากองค์หญิงไม่มีอะไรให้รับใช้ ผู้น้อยขอตัวไปลาดตระเวน” 

 

 

ซูจิ่วซือยืนอยู่ข้างๆ หลี่ซั่วนำทหารใต้บัญชาไปแล้ว ซูจิ่วซือไม่ได้ขยับตัว มองตามหลังหลี่ซั่วแล้วยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว นี่เรียกว่าพบโดยไม่ต้องหาอย่างแท้จริง 

 

 

“คุณหนู เป็นอะไรไปหรือ” 

 

 

พอเห็นซูจิ่วซือยิ้ม จื่อหลานก็ถามด้วยความประหลาดใจ 

 

 

“ไม่มีอะไร แต่มั่นใจอยู่เรื่องหนึ่ง ไปเถอะ กลับจวน” 

 

 

จื่อหลานเห็นว่าซูจิ่วซือไม่ต้องการบอกก็ไม่ได้ถามต่อ ได้แต่เดินตามหลังซูจิ่วซือ หลังจากขึ้นรถม้า จู่ๆ ซูจิ่วซือก็ถามขึ้น “จื่อหลาน ได้ข่าวกู้เฉินหรงหรือไม่” 

 

 

จื่อหลานสั่นหัว “บ่าวส่งคนไปสืบถาม ไม่ได้ข่าวอะไรเลย ไม่รู้ว่าเวลานี้คุณชายกู้ไปถึงไหนแล้ว” 

 

 

ซูจิ่วซือเอนพิงรถม้า ถอนหายใจเบาๆ กู้เฉินหรงจากไปห้าวันแล้ว 

 

 

นางรู้ว่าซิ่นอ๋องตามล่าสังหารกู้เฉินหรงมาตลอด จึงห่วงกู้เฉินหรง ให้จื่อหลานส่งคนไปสืบ ถ้าได้ข่าวว่าเขาไปถึงแคว้นเว่ยอย่างปลอดภัย นางจึงจะวางใจ 

 

 

คาดไม่ถึงว่าพอกู้เฉินหรงออกไปจากเมืองหลวงก็เหมือนสูญหายไปจากโลก ไม่ได้ข่าวคราวเขาเลย ซูจิ่วซือรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี 

 

 

ไม่ทันรู้ตัว นางก็คิดถึงกู้เฉินหรงขึ้นมา ไม่ว่าตนจะปฏิเสธอย่างไร พอถึงตอนนี้นางไม่อาจปฏิเสธได้ กู้เฉินหรงครอบครองหัวใจนางแล้ว และมีความสำคัญมากกว่าที่นางคิด 

 

 

กู้ชิงเฉิงพอกลับถึงวังจื่อจิงก็เข้าไปในห้อง นางรู้สึกง่วง จึงนอนพัก 

 

 

ตอนที่เฟิ่งอวิ๋นหล่างเสด็จมาที่วังจื่อจิงโดยไม่ให้กู้ชิงเฉิงรู้ล่วงหน้า เมื่อทรงทราบว่านางหลับอยู่ เฟิ่งอวิ๋นหล่างก็ให้นางกำนัลออกไป แล้วเสด็จเข้าไปในห้องของกู้ชิงเฉิงตามลำพัง นานแล้วที่พระองค์ไม่ได้เสด็จมาที่ห้องของกู้ชิงเฉิง ยามนี้ทรงปรารถนาจะทอดพระเนตรนางขณะนอนหลับ ถ้ากู้ชิงเฉิงตื่น ก็จะไม่เห็นพระองค์ 

 

 

ขณะเสด็จเข้าไปทรงได้ยินเสียงประหลาด พระองค์เป็นฮ่องเต้ผู้ครอบครองทั้งวังใน จึงทรงรู้ดีว่าเสียงนี้หมายความว่าอย่างไร 

 

 

เฟิ่งอวิ๋นหล่างสีพระพักตร์กริ้ว เสด็จไปที่เตียง ทรงแหวกมุ้งออก เห็นภาพที่ทำให้พระองค์ตกตะลึง 

 

 

กู้ชิงเฉิงหลับตานอนบนเตียง สีหน้าแดงซ่าน ความรู้สึกอึดอัดทำให้นางส่งเสียงครางไม่ขาดระยะ ดึงเสื้อผ้าที่สวมจนกระจุย เผยให้เห็นผิวขาวผ่องราวหิมะ 

 

 

“ชิงเฉิง” 

 

 

เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงรู้ว่ากู้ชิงเฉิงเป็นอะไรไป พระทัยรู้สึกกริ้ว ใครหนอที่วางยากู้ชิงเฉิง ทรงนึกขึ้นได้ว่าซูจิ่วซือเป็นคนทูลพระองค์ พระองค์ทรงสงสัยซูจิ่วซือ แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้ 

 

 

น้ำเสียงของซูจิ่วซือห่วงใยกู้ชิงเฉิงมาก นางพูดแต่ว่ากู้ชิงเฉิงไม่ค่อยสบาย 

 

 

เฟิ่งอวิ๋นหล่างประทับนั่งข้างเตียงทรงจับมือกู้ชิงเฉิงไว้ มือของนางร้อนผ่าว ให้ความรู้สึกวูบวาบ  

 

 

สัมผัสที่เย็นเยียบทำให้กู้ชิงเฉิงรู้สึกสบาย นางจับพระหัตถ์ของเฟิ่งอวิ๋นหล่างไว้แน่น เอนร่างเข้าแนบชิดเฟิ่งอวิ๋นหล่างมากขึ้นเรื่อยๆ  

 

 

หลายปีมานี้ เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงควบคุมพระองค์เองไม่ให้เสด็จมาหากู้ชิงเฉิง เวลานี้พระองค์ไม่อาจควบคุมพระองค์ได้ ทรงลูบใบหน้าของกู้ชิงเฉิงอย่างลืมพระองค์  

 

 

“ชิงเฉิง เราดีกันนะ ดีหรือไม่” 

 

 

เฟิ่งอวิ๋นหล่างตรัสจบ ก็ทรงก้มลงประทับจูบริมฝีปากกู้ชิงเฉิง กู้ชิงเฉิงไม่รู้สึกตัว รู้แต่ว่าได้อิงแอบความเย็นเยียบ  

 

 

ขณะที่กู้ชิงเฉิงตื่นขึ้นมา ข้างนอกฟ้ามืดแล้ว นางรู้สึกถึงความผิดปกติทันที พอลืมตาขึ้นก็เห็นเฟิ่งอวิ๋นหล่างบรรทมอยู่ข้างๆ พระหัตถ์วางบนเอวนาง 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 231 ฮ่องเต้ทรงกริ้ว 

 

 

 

 

 

“ตื่นแล้วหรือ” เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงลืมพระเนตรขึ้น ฉายแววแย้มสรวล ขณะทอดพระเนตรกู้ชิงเฉิงด้วยความรัก 

 

 

ในสมองของกู้ชิงเฉิงยังมีความจำเลือนราง แล้วชัดเจนขึ้นทันที เฟิ่งหลิงอวี๋ใส่อะไรบางอย่างลงในน้ำบ๊วยชามนั้น ไม่ใช่ยาพิษ แต่เป็นยากระตุ้นสวาท  

 

 

เฟิ่งหลิงอวี๋ต้องการใช้วิธีนี้มาทำลายความบริสุทธิ์ของซูจิ่วซือ โชคดีที่นางเป็นคนดื่มยาชามนั้นเสียเอง ไม่เช่นนั้นซูจิ่วซืออาจจะเสียหาย 

 

 

แต่เฟิ่งอวิ๋นหล่างเสด็จมาที่นี่ได้อย่างไร 

 

 

เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงลุกขึ้นนั่ง ยื่นพระหัตถ์ไปกอดกู้ชิงเฉิง ทรงดึงนางมาไว้ในอ้อมพระกร “ชิงเฉิง อย่าหมางเมินกับเราเลย สามปีแล้วนะ ปล่อยวางเรื่องนั้นเสียเถอะ ดีหรือไม่” 

 

 

เฟิ่งอวิ๋นหล่างพระบารมีสูงส่ง แต่ไหนแต่ไรไม่เคยตรัสกับพระสนมด้วยพระสุรเสียงเช่นนี้ พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ ขอแต่ให้กู้ชิงเฉิงยินยอม พระองค์จะไม่ถือโทษ ปล่อยให้เรื่องนั้นผ่านพ้นไป  

 

 

ชั่วขณะหนึ่ง กู้ชิงเฉิงอยากรับปาก แต่จู่ๆ นางก็เห็นร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของจางเฉิง นางรู้จักจางเฉิงตั้งแต่เด็ก ถือเขาเป็นพี่ชาย และรู้สึกผิดต่อการตายของเขามาตลอด เขาฆ่าตัวตายเพื่อนาง 

 

 

กู้ชิงเฉิงหลับตาลง ไม่พูดไม่จา พอทอดพระเนตรเห็นกู้ชิงเฉิงไม่พูด เฟิ่งอวิ๋นหล่างจึงตรัสด้วยพระสุรเสียงเย็นชา “สามปีแล้ว เจ้ายังไม่ลืมจางเฉิงอีกหรือ” 

 

 

พระดำรัสนี้ทำให้กู้ชิงเฉิงผลักเฟิ่งอวิ๋นหล่างออกไปทันที ใช่ สามปีแล้ว แต่เฟิ่งอวิ๋นหล่างยังทรงระแวงเรื่องนางกับจางเฉิง ยังถือว่านางกับจางเฉิงลักลอบเล่นชู้กัน 

 

 

ชั่ววินาทีนี้ นางเข้าใจทันที ความเข้าใจผิดระหว่างนางกับเฟิ่งอวิ๋นหล่างไม่อาจแก้ไขได้ 

 

 

“ชาตินี้ข้าไม่มีวันลืมจางเฉิง” 

 

 

เมื่อทรงได้ยินคำนี้ เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงกริ้วจนควบคุมพระองค์ไม่อยู่ ทรงจับคางกู้ชิงเฉิงไว้ สายพระเนตรฉายแววพิโรธ “จางเฉิงเป็นเพียงหมอหลวงตัวเล็กๆ เราเทียบเขาไม่ได้ตรงไหน เจ้าจึงลืมเขาไม่ลง 

 

 

กู้ชิงเฉิง ตอนนั้นถ้าเจ้ารักจางเฉิงปานนี้ ก็ไม่ควรเข้าวัง เราเป็นฮ่องเต้ ไม่คิดจะชิงคนรักของคนอื่น เมื่อเข้าวัง ก็ต้องเป็นผู้หญิงของเรา เป็นตลอดชีวิต เจ้าถือเราเป็นใครกัน 

 

 

เราเลิกพูดถึงจางเฉิงแล้ว แต่เจ้ากลับโทษเรา กู้ชิงเฉิง เจ้าถือตัวว่าเรารักเจ้ากระนั้นหรือ” 

 

 

กู้ชิงเฉิงกอดผ้าห่ม หลบสายพระเนตรเฟิ่งอวิ๋นหล่าง “วังในมีพระสนมมากมาย ในเมื่อหม่อมฉันทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย ไยฝ่าบาทจึงทำให้พระองค์ทรงลำบากด้วย” 

 

 

“ได้ ได้ ได้” เฟิ่งอวิ๋นหล่างกริ้วถึงขีดสุดจึงตรัสอย่างต่อเนื่องสามคำ “กู้ชิงเฉิง เราตามใจเจ้า เจ้าคิดถึงจางเฉิงปานนี้ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็คิดถึงไปตลอดชีวิต ชาตินี้ เราจะไม่เหยียบย่างเข้ามาในวังจื่อจิงอีก เจ้าไม่มีค่าพอให้เราคิดถึง” 

 

 

ตรัสจบ เฟิ่งอวิ๋นหล่างก็ทรงลุกขึ้นทรงฉลองพระองค์ แล้วเสด็จออกจากห้องของกู้ชิงเฉิงโดยไม่หันพระพักตร์กลับมา 

 

 

กู้ชิงเฉิงนอนในผ้าห่ม ดวงตาไร้ประกาย นางไม่เข้าใจว่าทำไมเฟิ่งอวิ๋นหล่างจึงไม่เชื่อใจนาง ทรงรู้สึกเสมอว่านางรักจางเฉิง ไม่เคยเชื่อใจนางเลย 

 

 

“พระสนม ฝ่าบาทเสด็จมาไม่ใช่เรื่องง่าย ทำไมพระสนมจึงทำเช่นนี้เล่าเพคะ” 

 

 

เสี่ยวเหลียนเห็นเฟิ่งอวิ๋นหล่างเสด็จออกไปด้วยสีพระพักตร์โกรธกริ้ว นางรู้สึกว่าครั้งนี้เฟิ่งอวิ๋นหล่างทรงพิโรธหนัก เกรงว่าวันหลังคงไม่เสด็จมาอีก 

 

 

“อย่างนี้ก็ดี เสี่ยวเหลียน ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้า” 

 

 

“ถ้าอย่างนี้ต่อไปพระสนมจะทำอย่างไร  ในใจพระสนมมีฝ่าบาท บ่าวไม่อาจทนดูพระสนมเป็นอย่างนี้ต่อไป” 

 

 

กู้ชิงเฉิงยิ้มอย่างขมขื่น “เจ้ายังรู้ว่าหัวใจข้ามีพระองค์ แต่พระองค์ไม่เชื่อเรื่องนี้ เสี่ยวเหลียน เจ้าว่าน่าขันหรือไม่” 

 

 

“พระสนมยอมอ่อนให้ฝ่าบาทดีกว่าเพคะ” 

 

 

“ไม่ต้องพูดมาก อย่างนี้แหละดีแล้ว”