ตอนที่ 576 จัดการสาวใช้

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 576 จัดการสาวใช้

พอลากตัวขึ้นมาอีกครั้ง สาวใช้ผู้นั้นก็หายใจรวยรินและท้ายที่สุดร่างของนางก็ถูกโยนลงหลุมศพไร้ญาติอย่างมิใส่ใจ

ตอนนี้ดูเหมือนความคับแค้นใจของทัวป๋าถิงฟางที่ถูกกดขี่ในจวนได้ถูกระบายออกมาจนหมดสิ้น ทำให้นางพอใจกับมันมิน้อย

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ทางฝั่งมู่เหล่าหวางเฟยยังมีสุขภาพร่างกายดังเดิม ส่วนทัวป๋าถิงฟางได้แต่กลืนความแค้นลงท้องและเผชิญหน้ากับมู่เหล่าหวางเฟยด้วยท่าทีอ่อนน้อม

“ถิงฟางเช่อเฟย” ริมฝีปากของมู่เหล่าหวางเฟยแดงเรื่อ คิ้วเหยียดตรงสง่างามและรอยยิ้มเป็นมิตร

“คารวะมู่เหล่าหวางเฟยเจ้าค่ะ” ทัวป๋าถิงฟางลุกขึ้นคำนับแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพ “หมู่เฟยประสงค์สิ่งใดหรือเจ้าคะ ? ”

มู่เหล่าหวางเฟยเงยหน้ากวาดตามองด้านหลังของอีกฝ่ายแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “สาวใช้ข้างกายของเจ้าหายไปไหนแล้ว ? ”

ครั้งหนึ่งในอดีต มู่เหล่าหวางเฟยเคยคิดอยากใช้ทัวป๋าถิงฟางเป็นหมาก แต่ตอนนี้มิมีแล้วเพราะสตรีผู้นี้โง่เขลาเกินไป

ทัวป๋าถิงฟางก้มหน้า แววตามืดหม่นขึ้นแต่เสี้ยวเวลาต่อมาก็รีบตอบกลับทันที “เรียนหมู่เฟย สาวใช้ผู้นั้นมือเท้ามิสะอาด ลูกจึงจัดการนางเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

“มีสิ่งใดให้น้องหญิงจัดการกันเล่า สาวใช้มือเท้ามิสะอาดเยี่ยงนั้นก็แค่หมาแมวที่คิดหาโอกาสปีนขึ้นที่สูง เจ้าเองก็เป็นคนรู้ความในจวน มีคนเยี่ยงนั้นอยู่ข้างกายตั้งนานเจ้าจะมิรู้เลยหรือ ? ” ทัวป๋าหลิวลี่ที่นั่งอยู่อีกทางด้านหนึ่งมองทัวป๋าถิงฟางด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน

“ฟังพี่สาวพูดเข้า ถิงฟางเช่อเฟ่ยแค่ระวังไว้ก่อน แต่จะพูดก็พูดเถิด คงมีแค่ถิงฟางเช่อเฟยผู้เดียวที่กล้าจัดการสาวใช้ด้วยตนเองเพราะการที่สาวใช้ทำเรื่องเยี่ยงนี้ก็ควรมาขอคำแนะนำจากหมู่เฟยเสียก่อนถึงจะถูก ตอนนี้พระชายามิได้ดูแลงานในจวน หมู่เฟยก็ต้องดูแลแทนอยู่แล้ว” ทางฝั่งหลิงอวี่หนิงกล่าวออกมาด้วยความมิพอใจ

คำพูดพวกนี้ฟังแล้วมิสบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัดเพราะหลิงอวี่หนิงก็โมโหที่ตนถูกดึงเข้าไปเกี่ยวในความขัดแย้งของสองพี่น้อง

หลังจากที่อันหลิงเกอได้รับการอภัยจากมู่จวินฮานก็มิจำเป็นต้องมาคำนับมู่เหล่าหวางเฟยอีก ด้วยเหตุนี้นางจึงมีความสุขและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ ส่วนสนมคนอื่นได้แต่มาป่วนกันอยู่ที่นี่

“ถิงฟางอายุยังน้อย พวกเจ้าก็อย่าถือสานางนักเลย” มู่เหล่าหวางเฟยพูดขัดได้ทันเวลา จากนั้นก็หันมาเอ่ยกับทัวป๋าถิงฟาง “ถิงฟางก็อย่าคิดว่าทุกคนมิชอบเจ้า พวกนางแค่เผลอพูดมิคิด อย่าให้เรื่องนี้มาทำร้ายความพันธ์ระหว่างพี่น้องเด็ดขาด”

ที่จริงมู่เหล่าหวางเฟยมิสนใจทัวป๋าหลิวลี่มาพักหนึ่งแล้ว นางรู้ว่าหากจัดการทัวป๋าถิงฟางในครั้งนี้มิสำเร็จ ทัวป๋าถิงฟางจะต้องทำบางอย่างเพื่อตอบกลับอย่างแน่นอน แต่ท้ายที่สุดนางก็ตรวจสอบพบแค่แป้งที่มีสารพิษบางอย่างปะปนอยู่แต่ก็มิได้เป็นอันตรายถึงชีวิต

เหล่าหวางเฟยมิได้โง่จึงตรวจพบว่าแป้งมีกลิ่นไม่เหมือนเดิม แต่นอกจากนั้นก็มิมีอันใดผิดแปลก นางจึงตริตรองเรื่องแป้งมาทั้งคืนแต่ก็ยังมิรู้ถึงอุบายด้านในอยู่ดี

จนกระทั่งเห็นทัวป๋าถิงฟางเปลี่ยนสาวใช้ในวันนี้ถึงได้เข้าใจขึ้นมา

“ลูกจะกล้าโทษหมู่เฟยได้เยี่ยงไรเจ้าคะ พี่หญิงและน้องสาวต่างใส่ใจดูแลลูกอย่างดี ลูกย่อมจดจำใส่ใจและต่อไปต้องตอบแทนทุกคนแน่นอนเจ้าค่ะ”

ทัวป๋าถิงฟางกล่าวพร้อมเผยสีหน้าชื่นชมออกมา ทว่าภายในใจมีอารมณ์ต่างออกไปและนางต้องฝืนระงับความโกรธเอาไว้

“เมื่อเจ้ารู้ถึงความหวังดีของพวกนางก็พอแล้ว หากสาวใช้ทำผิดพลาดก็อย่าเอาชีวิตพวกนางง่าย ๆ จนทำให้เสื่อมเสียศีลธรรมของตนไป”

ดูเหมือนมู่เหล่าหวางเฟยจะกล่าวด้วยความปรารถนาดี แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกประโยคได้ทิ่มแทงใจทัวป๋าถิงฟางที่ได้แต่จดจำความอัปยศไว้อย่างเงียบ ๆ

หลังจากนั้นมินานมู่เหล่าหวางเฟยก็บอกให้เหล่าสนมกลับไปพักที่เรือนส่วนตัว

เช้าวันรุ่งขึ้น มู่เหล่าหวางเฟยอ้างว่ารู้สึกมิสบายจึงล้มเลิกการคำนับในตอนเช้า แต่ทัวป๋าหลิวลี่มิได้รับข่าวนี้ ดังนั้น…

ทัวป๋าหลิวลี่กำลังยืนรออยู่หน้าเรือนของมู่เหล่าหวางเฟย แต่รอไปรอมาสาวใช้ก็ออกมาแจ้งเพียงประโยคเดียวว่า “เหล่าหวางเฟยเชิญหลิวลี่เช่อเฟยเข้าไปด้านในเจ้าค่ะ”

หลังเข้ามาในเรือน นางก็คุกเข่าคำนับแต่มู่เหล่าหวางเฟยนอนอยู่บนเก้าอี้ยาว เสื้อผ้าสวยหรู มือประคองศีรษะ ท่าทางกำลังหลับตาพักสมองและมิยอมเรียกให้นางลุกขึ้นคล้ายกำลังนอนหลับเป็นตายอยู่อย่างนั้น

เวลาผ่านไปได้ 2 เค่อ ( ครึ่งชั่วโมง ) มู่เหล่าหวางเฟยจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นและหันมองทัวป๋าหลิวลี่ที่คุกเข่าอยู่เบื้องล่าง

“ลุกขึ้นเถิด” จากนั้นมู่เหล่าหวางเฟยก็ลุกขึ้นยืนและรับถ้วยชามาจากสาวใช้ ใบหน้าของนางปราศจากรอยยิ้ม หลังดื่มชาเข้าไปอึกหนึ่งจึงถามสาวใช้คนสนิทว่า “เหตุใดมิปลุกข้า? ให้พระชายารองต้องรออยู่นานถึงเพียงนั้น”

ฟางจูได้ยินก็รีบคุกเข่าลงพื้นทันที “บ่าวเห็นเหล่าหวางเฟยเหน็ดเหนื่อยทุกคืน เมื่อวานนี้เหล่าหวางเฟยก็มิสบาย บ่าวเป็นห่วงจึงมิกล้าปลุกเจ้าค่ะ”

เดิมทีทัวป๋าหลิวลี่ก็รอจนทนมิไหวอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของฟางจูจึงทำให้นางโมโหกว่าเดิม ทว่าสุดท้ายก็ได้แต่หันไปถลึงตาใส่ฟางจูเท่านั้น

อย่างไรก็ไม่มีประโยชน์อันใด ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงกัดฟันและกล่าวออกมา “ร่างกายของหมู่เฟยเป็นสิ่งสำคัญ ลูกรอสักหน่อยก็เป็นเรื่องที่สมควรเจ้าค่ะ”

“หลิวลี่ช่างอ่อนโยนและเอาใส่ใจเสียจริง รู้แล้วว่าเหตุใดท่านอ๋องจึงปฏิบัติต่อเจ้าต่างออกไป” หลังจากนั้นนางก็ปรบมือสองครั้ง “ไปเอาปิ่นเงินหยกปี้อวี้ของข้าออกมา”

เมื่อได้ยินเยี่ยงนั้นฟางจูก็ขานรับทันทีและเดินไปหยิบกล่องผ้าใบหนึ่ง จากนั้นมู่เหล่าหวางเฟยก็ส่งสัญญาณให้มอบแก่ทัวป๋าหลิวลี่แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ปิ่นปักผมชิ้นนี้เหมาะกับเจ้ายิ่งนัก แม่ยกให้เจ้า”

มิรอให้ทัวป๋าหลิวลี่ได้กล่าวอันใดมา นางก็บอกว่าเหนื่อยและสั่งให้สาวใช้ส่งแขกทันที

อีกด้านหนึ่ง ฮ่องเต้ได้จัดงานเลี้ยงในวังหลวงขึ้น อันหลิงเกอที่กำลังนั่งอยู่ข้างกายมู่จวินฮานก็กระซิบกับเขาเบาๆ “จวินฮาน ท่านคิดว่าทันหรือไม่หากข้าจะขุดหลุมให้ตนเองออกไปจากที่นี่ตอนนี้ ? ”

มู่จวินฮานถือจอกสุราอยู่ในมือ เมื่อได้ยินนางเอ่ยถามเยี่ยงนี้ เขาก็เลิกคิ้วขึ้นและเหลือบมองนาง หลังเห็นท่าทางมิชอบใจของนางก็อดสงสารมิได้เพราะเขารู้ว่านางไม่อยากมาสักเท่าไร แต่เพราะนางมิสามารถหลีกเลี่ยงได้เขาจึงยกยิ้มให้อย่างอ่อนโยนและกล่าวว่า “สายไปแล้ว”

อันหลิงเกอรู้สึกทรมานและกรีดร้องอยู่ในใจ ท้ายที่สุดนางก็ก้มหน้าและมิยอมกล่าวออกมาอีก แต่เพราะอยู่ในงานเลี้ยงที่ฮ่องเต้จัดขึ้นตัวนางจึงมิอาจทำหน้าตาเหมือนมีความคับข้องใจได้

ทันใดนั้นเองมู่จวินฮานก็วางจอกสุราแล้วยื่นมือมาจับมือซ้ายที่อยู่ใต้โต๊ะของอันหลิงเกอ นางจึงหันไปมองเขาด้วยความสงสัยแต่เห็นความอ่อนโยนในดวงตาของเขา “รอให้เจ้าทานอิ่มแล้วพวกเราค่อยกลับ”

เขากระซิบข้างหูของนางเบา ๆ ราวกับขนนกที่กำลังจั๊กจี้ใบหู มันทั้งคมชัดและน่าอาย

ทันใดนั้นใบหน้าและหูของอันหลิงเกอก็แดงระเรื่อขึ้นมาและรีบดึงตัวออกห่างมู่จวินฮานทันที หลังจากนั้นก็หันไปจ้องเขาและหลบตาไปมองดอกโบตั๋นที่บานสะพรั่งอยู่ห่างออกไป นางลุกขึ้นและเดินไปทางนั้น “ดอกโบตั๋นสวยยิ่งนัก ข้าจะไปดูเสียหน่อยเจ้าค่ะ”

ในสายตาของมู่จวินฮานแล้วการกระทำของนางเรียกว่า หลบหนี เขาเห็นนางมองดอกโบตั๋นอย่างระมัดระวัง แม้เวลานี้อันหลิงเกอกำลังชมดอกไม้แต่ความคิดกลับลอยไปไกล

ทันใดนั้นเองมือเนียนละเอียดของใครบางคนก็เอื้อมมาสัมผัสกลีบดอกโบตั๋นเบา ๆ ทำให้นางตกใจทันที เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือทัวป๋าหลิวลี่ผู้หยิ่งยโส

ศัตรูหัวใจมักริษยา เมื่อพบเห็นการเกี้ยวพาราสีระหว่างมู่จวินฮานและอันหลิงเกอเมื่อครู่จักมิกระตุ้นความสนใจของทัวป๋าหลิวลี่ได้เยี่ยงไร ?