ตอนที่ 577 ทำตัวเป็นศัตรู

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 577 ทำตัวเป็นศัตรู

เมื่ออันหลิงเกอมาเยือน มวลบุปผาก็ไร้สีสันขึ้นมาทันใด

พอนึกถึงเรื่องพวกนี้แล้วทัวป๋าหลิวลี่ก็รู้สึกว่าโทสะกำลังปะทุอยู่ในอกและอดเข้าไปหาเรื่องอันหลิงเกอมิได้

ทัวป๋าหลิวลี่จึงหักกิ่งดอกโบตั๋นมาดอมดม ตรงกันข้ามกับอันหลิงเกอที่กำลังนั่งยองอยู่กับพื้น แต่เพราะมิอยากสร้างปัญหาในวังจึงลุกขึ้นและเดินออกมาทันที

“พระชายามิได้เจอข้านาน คงมิได้ลืมกันไปแล้วกระมัง ? ” ทัวป๋าหลิวลี่เล่นกับดอกไม้ในมือพลางเอ่ยถาม “คงมิได้คิดว่าชายารองเยี่ยงข้าจะมิสามารถขึ้นไปถึงตำแหน่งพระชายาเอกของท่านได้”

อันหลิงเกอยังมิทันได้กล่าวตอบ ด้านหลังก็ชนเข้ากับคนผู้หนึ่งและด้วยกลิ่นที่คุ้นเคยจึงมิต้องเดาก็รู้ว่าคือมู่จวินฮาน ตอนนี้นางเห็นเพียงใบหน้าแสนเย็นชาของเขา แววตาซ่อนความอันตรายเอาไว้ เขาไพล่มือไว้ด้านหลังและทั้งตัวก็ปลดปล่อยไอเย็นออกมา

“เป็นแค่ชายารองผู้หนึ่งก็กล้าเสนอหน้าเทียบชายาเอกของข้าหรือ ? ” มู่จวินฮานกล่าวออกมาเสียงเข้มพร้อมโอบเอวของอันหลิงเกอเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด ท่าทางเหมือนแม่ไก่ที่กำลังปกป้องไข่ซึ่งคำที่กล่าวออกไปมิรักษาน้ำใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

“ท่านอ๋อง ! ” ทัวป๋าหลิวลี่หลงเข้าใจผิดว่าการที่ตนเปรียบเทียบกับอันหลิงเกอขณะชมดอกไม้เมื่อครู่ อย่างน้อยท่าทางของตนก็พอเอาชนะอันหลิงเกอได้บ้าง ด้วยเหตุนี้ก็จะสามารถเหยียบอันหลิงเกอลงได้ แต่คาดมิถึงกับการปรากฏตัวของมู่จวินฮาน

แม้ทัวป๋าหลิวลี่มิพอใจ แต่การปรากฏตัวของมู่จวินฮานทำให้นางก่อเรื่องต่อไปมิได้ นางได้แต่ใช้นิ้วบีบดอกโบตั๋นเพื่อระงับความมิพอใจแล้วหมุนตัวเดินออกไป “ฮึ ! ”

ทางด้านฟางจูที่อยู่ห่างออกไปได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แม้นางมิเห็นการแสดงออกของมู่จวินฮานและอันหลิงเกอ แต่มิพลาดการเคลื่อนไหวของทัวป๋าหลิวลี่แม้แต่น้อย กระทั่งดวงตาที่แปรเปลี่ยนเป็นความเคียดแค้นริษยา หลังจากที่อีกฝ่ายหมุนตัวจากมาไกลแล้วก็ขยี้ดอกไม้ในมืออย่างทารุณ

หลังจากนั้นฟางจูก็เดินมายังจุดที่ทั้งสามคนยืนอยู่เมื่อครู่ นางเดินเหยียบซากดอกโบตั๋นที่ทัวป๋าหลิวลี่โยนทิ้งลงพื้น หลังจากนั้นก็หันไปมองเงาของมู่จวินฮานและอันหลิงเกอที่เดินจากไป ส่วนนางก็เริ่มเดินตามทิศทางที่ทัวป๋าหลิวลี่เดินออกไป

ฟางจูสาวเท้าเข้าสู่ศาลาหกเหลี่ยมและโค้งคำนับทัวป๋าหลิวลี่ที่กำลังนั่งอยู่ในศาลาเพียงลำพัง “คารวะหลิวลี่เช่อเฟย เหตุใดจึงมาชมวิวอยู่ที่นี่เพียงลำพังเจ้าคะ”

“สาวใช้ข้างกายเหล่าหวางเฟยเยี่ยงเจ้าก็มาด้วยหรือ ? ” ทัวป๋าหลิวลี่มิกล้าเผยความไม่พอใจออกมาต่อหน้าฟางจู ดังนั้นจึงตอบกลับด้วยรอยยิ้มแต่ก็ยากที่จะซ่อนความรู้สึกดูถูกนั่นไว้

“เหตุใดเช่อเฟยดูไม่มีความสุขเลยเจ้าคะ ? ” เมื่อกล่าวจบ ฟางจูก็หรี่ตาลงเพื่อมองการเคลื่อนไหวทุกอย่างของทัวป๋าหลิวลี่ “คงมิได้ทะเลาะกับพระชายาเมื่อครู่หรอกนะเจ้าคะ ? ”

ทัวป๋าหลิวลี่ได้ยินก็ตกตะลึงทันที ดวงตาเหลือบมองไปที่ฟางจูและสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบางอย่างจากตัวอีกฝ่าย “แค่ดอกโบตั๋นสีขาวเท่านั้น ท่านอ๋องกลับคิดว่าข้ารังแกพระชายาเสียได้”

“โอ้ ความรักที่ท่านอ๋องมีต่อพระชายาถือว่าเลื่องลือเจ้าค่ะ แม้แต่ฐานะเหล่าหวางเฟยก็ยังต้องให้เกียรติพระชายา…” ฟางจูตอบกลับด้วยเสียงเรียบนิ่ง คำกล่าวเมื่อครู่ของทัวป๋าหลิวลี่ดูเหมือนไร้เดียงสา แต่ยิ่งทำให้คนฟังรับรู้ได้ถึงการปกปิดความริษยาที่เด่นชัดกว่าเดิม

“ข้าเริ่มเหนื่อยแล้ว เจ้าตามสบายเถิด” มิรอให้อีกฝ่ายกล่าวจบ ทัวป๋าหลิวลี่ก็ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีมิสบอารมณ์และหาข้ออ้างเดินออกไป

เนื่องจากฟางจูมีชาติกำเนิดเป็นเพียงสาวใช้นางหนึ่ง

ฟางจูจึงได้แต่มองร่างของอีกฝ่ายที่ค่อย ๆ เดินจากไป

หลังรู้ว่าวันนี้มู่เหล่าหวางเฟยก็อารมณ์เสียเพราะเรื่องของอันหลิงเกอ ฟางจูก็ยิ้มและพูดปลอบใจ “เหล่าหวางเฟยอย่าอารมณ์เสียเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจะทำให้ล้มป่วยได้นะเจ้าคะ”

บนใบหน้าของมู่เหล่าหวางเฟยเปรียบดั่งคลื่นลมกำลังจะมา หน้าอกยกขึ้นและยุบลง…ดีนัก นางทัวป๋าหลิวลี่ นางอันหลิงเกอ !

“รีบไปสืบให้กระจ่างว่าทัวป๋าหลิวลี่ยังแอบทำอันใดไว้บ้าง ! ”

ฟางจูได้รับคำสั่งแต่ก็รู้ดีว่าทัวป๋าหลิวลี่ระมัดระวังเกินไปและไม่สามารถถามอะไรจากนางได้ ดังนั้นจึงเบนความสนใจไปที่อันหลิงเกอซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล หากต้องการเข้าใจอันหลิงเกอก็ต้องถามจากตัวอันหลิงเกอเท่านั้น…

ทางด้านอันหลิงเกอที่ตอนนี้กำลังเดินไปห้องแต่งตัวของวังหลวง ทันใดนั้นก็มีนางกำนัลคนหนึ่งเข้ามาขวางปี้จูไว้ “เจ้านายของเราอยากคุยกับพระชายาเพียงลำพังเจ้าค่ะ”

ระหว่างเดินตามนางกำนัลคนนั้นไปอันหลิงเกอก็กวาดตามองสำรวจว่าเป็นเจ้านายคนไหนที่อยากพบตน หลังเดินผ่านซุ้มสวนขนาดเล็กแห่งหนึ่ง นางก็เห็นฟางจูกำลังถือกุหลาบสีชมพูอยู่ในมือ ดวงตาทรงเสน่ห์ขณะมองนางเดินเข้ามาในสวน รอยยิ้มอบอุ่นก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก อันหลิงเกอเห็นแล้วก็รู้สึกตกตะลึงและคิดที่จะเดินหนีทันที

คนข้างกายมู่เหล่าหวางเฟย อย่างไรก็อย่าเข้าไปยุ่งด้วยจะดีที่สุด

“คารวะพระชายา สุขภาพดีขึ้นหรือยังเจ้าคะ ? ” ฟางจูกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน เมื่อลองเปรียบเทียบแล้วเห็นได้ชัดว่านางจงใจทำ หลังจากนั้นนางก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาหาอันหลิงเกอ

ตอนนี้พวกนางอยู่ในวังหลวง การที่เหล่ามู่หวางเฟยสามารถจัดการได้ง่ายขนาดนี้ บางทีคงมีคนแฝงตัวอยู่ในวังมิน้อย

“ต้องขอบพระคุณความห่วงใยจากหมู่เฟยจึงทำให้อาการบาดเจ็บของข้าได้ยาดีมารักษา” อันหลิงเกอระงับความรู้สึกกระวนกระวายเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ถอยหลังครึ่งก้าวอย่างระมัดระวัง

ในเมื่อเหล่ามู่หวางเฟยให้สาวใช้คนสนิทมาหาก็แสดงว่าต้องมีเป้าหมายแน่นอน

“บ่าวเพิ่งเห็นพระชายารองหลิวลี่แย่งดอกไม้มาจากท่านเจ้าค่ะ” หลังกล่าวจบ นางก็ยื่นดอกกุหลาบในมือมาตรงหน้าอันหลิงเกอ ท่าทางราวกับเป็นห่วงจริง ๆ “เหล่าหวางเฟยจึงให้บ่าวมาปลอบท่านเจ้าค่ะ”

อันหลิงเกอมองดอกกุหลาบสีจืดจางตรงหน้า แต่ในใจกำลังก่นด่าทุกคนในวัง เห็นได้ชัดว่านี่เป็นงานเลี้ยงที่จัดไว้เพื่อนางชัด ๆ แล้วสถานการณ์ตรงหน้ามันเริ่มมาจากอันใด ?

“มิต้องหรอก” หลังกล่าวจบอันหลิงเกอก็ถอยออกไปอีกสามถึงห้าก้าวและอ้างไปว่า “จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกมิสบายขึ้นมา ต้องขอตัวก่อน”

เมื่ออันหลิงเกอหันหลังจากไปอย่างรวดเร็ว ฟางจูก็มองนางเดินผ่านซุ้มประตู จากนั้นก็ยกกุหลาบบนมือขึ้นสูดดมแล้วโยนมันทิ้งและเดินออกจากสวนไป

อันหลิงเกอเดินออกมาก็มาอยู่ข้างกายมู่จวินฮาน เพราะตอนนี้การอยู่ข้างตัวเขาจะเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุด

“เป็นอันใดไปหรือ ? ” เวลานี้อันหลิงเกอได้เปลี่ยนจากชุดพระชายาเอกเป็นชุดเรียบง่ายแล้ว

“ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ” นางมิได้เล่าเรื่องของมู่เหล่าหวางเฟยให้มู่จวินฮานฟัง เนื่องจากทั้งสองเป็นแม่ลูกกัน นางจึงมิอยากกล่าวอันใดให้มากนัก

“ช่างเถิด” เหมือนมู่จวินฮานมองบางอย่างออกจึงย้ายสายตาอันคมกริบไปยังพื้นที่ห่างออกไป

ซึ่งทิศทางนั้นเป็นทางที่อันหลิงเกอเพิ่งเดินผ่านมาพอดี

“พวกเรากลับกันเถิดเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอถอนหายใจ วังหลวงแห่งนี้มีมีดดาบซ่อนอยู่มากเกินไป นางจึงมิอยากอยู่นาน

หากไม่ได้เป็นเพราะบุตรของนางยังอยู่กับมู่เหล่าหวางเฟย นางจะมิยอมอดกลั้นเช่นนี้เด็ดขาด

ทว่าตอนนี้นางยังทนไหว

ดูเหมือนมู่จวินฮานก็เห็นความอดกลั้นในแววตาของอันหลิงเกอ แม้มิรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่เขาก็รู้สึกมิสบายใจขึ้นมา

“ข้ารู้ว่าเจ้าเหนื่อยแล้ว พวกเรากลับกันเลยก็ได้” เขารู้ว่าอันหลิงเกอมิชอบงานสังสรรค์แบบนี้มาโดยตลอด ตอนนี้จึงอยากทำให้นางสบายใจขึ้นบ้าง

“ขอบพระคุณท่านอ๋องเจ้าค่ะ” เนื่องจากตอนนี้อยู่ข้างนอก อันหลิงเกอจึงต้องระวังเรื่องการวางตัวเป็นพิเศษ มิเช่นนั้นหากมีคนคิดร้ายมาเห็นเข้าก็จะมีเรื่องวุ่นวายตามมาได้