ตอนที่ 578 วางอำนาจ

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 578 วางอำนาจ

“ไอหยา ข้าก็นึกว่าผู้ใด” ทัวป๋าหลิวลี่เห็นทัวป๋าถิงฟางก็อยู่ในงานเลี้ยงจากที่ไกล เวลานี้ทัวปาถิงฟางกำลังหัวเราะอย่างสนุกสนานกับสาวใช้คนหนึ่งในสวน เมื่อเห็นรอยยิ้มร่าเริงบนใบหน้าทัวป๋าถิงฟางก็ทำให้นางรู้สึกมิพอใจขึ้นมาทันที เพราะเมื่อครู่นางเพิ่งขายหน้าต่อหน้าอันหลิงเกอมา แล้วตอนนี้นางจะยอมปล่อย ‘น้องหญิง’ ที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ไปได้เยี่ยงไร ? เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางก็รีบเดินเข้าไปด้วยท่าทีของเช่อเฟย

ส่วนทัวป๋าถิงฟางที่ได้ยินเสียงจากด้านหลังก็หันไปมองทางต้นเสียงก็พบทัวป๋าหลิวลี่ พอนึกถึงความก้าวหน้าของอีกฝ่ายในอนาคต นางจึงมีอยากผิดใจด้วยในเวลานี้ คิดได้เยี่ยงนั้น นางก็เข้าไปคำนับทัวป๋าหลิวลี่และคิดเดินจากไปทันที

“ช้าก่อนน้องหญิง” ทัวปาถิงฟางหมุนตัวจะเดินจากไปแต่ทัวป๋าหลิวลี่เข้ามาขวางเอาไว้

“เมื่อครู่ข้าเพิ่งเห็นพระชายาและท่านอ๋องชมดอกไม้อยู่ที่ศาลาด้านหน้า”

ขณะพูดทัวป๋าหลิวลี่ก็หันไปมองด้านข้างราวกับดวงตาสามารถมองทะลุแปลงดอกไม้ไปถึงศาลานั้นได้ “มิว่ากล่าวเยี่ยงไรเจ้าก็เป็นถิงฟางเช่อเฟยของจวนอ๋อง เหตุใดจึงมาเดินชมดอกไม้เพียงผู้เดียว”

“พี่หญิงหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ ? ” ทัวป๋าถิงฟางหยุดฝีเท้าและหันมาถามโดยระงับโทสะเอาไว้

เมื่อเห็นท่าทางของนางแล้ว ทัวป๋าหลิวลี่ก็หัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน จากนั้นก็ยกนิ้วขึ้นเกี่ยวเถาต้นกุหลาบแดงให้โน้มลงมาแล้วหันไปทางทัวป๋าถิงฟางพลางเอ่ยด้วยท่าทีผ่อนคลาย “ข้าแค่เป็นห่วงน้องหญิงว่าก็แต่งกับท่านอ๋องเหมือนกัน แต่โดนดูแลต่างออกไป”

เดิมทีทัวป๋าถิงฟางมิอยากทะเลาะกันในวังหลวง แต่ก็มิอยากให้อีกฝ่ายสะกิดแผลใจของตน นางจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นี่เป็นเรื่องของข้า พี่หญิงมิต้องสนใจให้มากนักหรอกเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นหรือ ! ” ทัวป๋าหลิวลี่เค้นเสียงอย่างเย้ยหยันและเมื่อเห็นทัวป๋าถิงฟางยังสงบนิ่งอยู่ นางจึงอดมิได้ที่จะเดินเข้าไปใกล้ทัวป๋าถิงฟางแล้วพูดทิ่มแทง “มิว่ากล่าวเยี่ยงไรน้องหญิงก็เป็นองค์หญิงแคว้นชิงเยว่ แต่ถูกอันหลิงเกอขโมยความโปรดปรานไป ช่างน่าสงสารยิ่งนัก”

เห็นได้ชัดว่าคำพูดของทัวป๋าหลิวลี่ต้องการกระตุ้นให้ทัวป๋าถิงฟางไปหาเรื่องอันหลิงเกอและก่อนที่ทัวป๋าถิงฟางจะได้เอ่ยอันใด นางก็พูดออกมาอีกครั้ง “อันหลิงเกอเก่งยิ่งนัก ข้าชื่นชมจากใจจริง นางสามารถกลับมาเป็นพระชายาเอกของท่านอ๋อง และข้ากลัวว่าต่อให้ผู้ใดมีฐานะสูงมากในจวนอ๋องก็คงตำหนิอันใดนางมิได้”

“หึ ข้าเกรงว่าหลิวลี่เช่อเฟยกำลังเอ่ยถึงตนเองอยู่กระมัง” สุดท้ายทัวป๋าถิงฟางก็ทนมิไหว นางหันไปจ้องทัวป๋าหลิวลี่ตาเขม็งและกล่าวอย่างเย้ยหยัน “สิ่งที่ได้ยินมาก็มิได้แปลว่าจะเป็นจริงไปเสียทุกอย่าง มีแค่ผู้ทรงคุณธรรมเยี่ยงพระชายาเท่านั้นที่ปล่อยให้ท่านก่อเรื่องอยู่ใต้จมูกได้”

ทัวป๋าหลิวลี่ทนฟังผู้อื่นกล่าวเรื่องของตนมิได้มากที่สุดแล้ว ทันใดนั้นนางก็หันไปมองทัวป๋าถิงฟางด้วยความโมโห แต่ทัวป๋าถิงฟางกลับพูดถากถางไม่หยุด “พี่หญิงก็เป็นองค์หญิงแคว้นชิงเยว่ การระวังคำพูดและการกระทำยังต้องให้ผู้อื่นสอน ท่านมิกลัวทำแคว้นชิงเยว่ขายหน้าบ้างหรือเจ้าคะ ? ”

“บังอาจ ! ” ทัวป๋าหลิวลี่ตวาดเสียงสูงทำให้ผู้คนในงานเลี้ยงที่อยู่ห่างออกไปหันมามองทันที

หลังอันหลิงเกอกลับมาที่งานเลี้ยงอีกครั้งก็นั่งอย่างสงบนิ่ง ดูเหมือนแขกในงานเลี้ยงทยอยกลับไปมิน้อยแล้ว ส่วนทัวป๋าหลิวลี่ที่อยู่ไม่สุขนั้นยังชอบใช้พื้นที่และเวลาให้เป็นประโยชน์ ซึ่งตอนนี้นางกำลังทะเลาะกับทัวป๋าถิงฟางอยู่ และมู่เหล่าหวางเฟย ราชทูตแคว้นชิงเยว่และมู่จวินฮานก็อยู่ด้วยกันเพื่อยุติความขัดแย้งของพวกนาง

อันหลิงเกอยืนอยู่ด้านหลังฝูงชน นางมิอยากเข้าไปยุ่งกับความขัดแย้งของทั้งสอง เมื่อมีมู่จวินฮานคอยห้ามอยู่ตรงกลางก็ไม่มีอันใดต้องห่วง ส่วนนางก็ดึงขุนนางระดับเล็กผู้หนึ่งมาเอ่ยถามและชี้ไปยังสถานที่เกิดเหตุอย่างระมัดระวัง “เกิดอันใดขึ้นหรือ ? ”

“ท่านมิรู้หรือขอรับ ? ดูเหมือนเมื่อครู่ทัวป๋าหลิวลี่บอกว่าทัวป๋าถิงฟางเดินชนนางขอรับ” คนผู้นั้นเล่าในสิ่งที่เห็นทั้งหมดให้อันหลิงเกอฟัง

มิรู้ว่าทัวป๋าถิงฟางเดินชนทัวป๋าหลิวลี่ได้เยี่ยงไร ต่อจากนั้นทัวป๋าหลิวลี่ก็แค่อยากได้คำขอโทษ แต่ทัวป๋าถิงฟางมิยอมกล่าวและยังพูดดูหมิ่นอีกฝ่ายว่าทางออกจะกว้างแล้วจักเดินชนได้เช่นไร

ตอนนี้สีหน้าของทัวป๋าถิงฟางดูมิสบายใจเท่าไร มือของนางบิดผ้าเช็ดหน้าจนเป็นเกลียว นิ้วมือซีดขาว หงุดหงิดที่เมื่อครู่มิสามารถระงับอารมณ์เอาไว้ได้

จากนั้นอันหลิงเกอจึงมองใบหน้าเฉยชาของมู่จวินฮานจากที่ไกล ส่วนทัวป๋าหลิวลี่ดูเหมือนอับอายกว่าปกติเมื่อเทียบกับทัวป๋าถิงฟาง ตอนนี้ท่าทางของทัวป๋าหลิวลี่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกสงสารและหลังจากที่มู่จวินฮานฟังนางกล่าวจบ เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที

“ท่านอ๋องเจ้าคะ นางมิเคารพข้าเลย ขอแค่นางขอโทษก็จบแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ ? ” นี่มิใช่เรื่องที่ขอโทษแล้วจะจบ เพราะสิ่งที่ทัวป๋าหลิวลี่ต้องการคืออยากให้ทัวป๋าถิงฟางโดนลงโทษ และขณะที่นางรู้สึกเกลียดทัวป๋าถิงฟางอยู่นั้นก็เกลียดอันหลิงเกอยิ่งกว่า เพราะสิ่งที่นางอยากเห็นที่สุดก็คือสตรีทั้งสองคนทะเลาะกันแล้วทำให้มู่จวินฮานเบื่อหน่ายในตัวอันหลิงเกอ

มู่จวินฮานหันไปมองทัวป๋าถิงฟางด้วยท่าทีลำบากใจเพราะมิใช่โอกาสดีในการลงโทษ คำพูดเมื่อครู่ของทัวป๋าหลิวลี่ทำให้เขาตัดสินได้ว่าทั้งสองคนมิได้มีความแค้นอันใดต่อกันมากนัก ดังนั้นการให้ทัวป๋าถิงฟางขอโทษถือว่าเป็นการแสดงความใจกว้างของจวนอ๋องและมิทำให้ฮ่องเต้ทรงขุ่นเคืองพระทัย

“ท่านราชทูตเห็นว่า…” มู่จวินฮานหันมามองท่านราชทูตอย่างมิรีบร้อนและเอ่ยปากถาม

“องค์หญิงน้อยถิงฟางมีนิสัยเสียและชอบวิ่งชนองค์หญิงหลิวลี่ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ จักลงโทษเยี่ยงไรก็แล้วแต่ท่านอ๋องตัดสินเถิดขอรับ”

ราชทูตมองต่ำและเอ่ยอย่างระมัดระวัง ในใจรังเกียจทัวป๋าหลิวลี่อยู่มาก ทว่าเพราะนางกำลังเป็นที่โปรดปรานจึงกล่าวอันใดมากมิได้

“หลิวลี่เช่อเฟยกล่าวอันใดก็ถูกทุกอย่างเพราะมีฐานะสูงส่ง” มู่เหล่าหวางเฟยเข้ามาพูดแทรกในเวลานี้ ทำให้ทุกคนหันมามองด้วยความสนใจ แต่ทัวป๋าหลิวลี่หัวใจเต้นรัวอย่างมาก มู่เหล่าหวางเฟยกำลังช่วยพูดแทนทัวป๋าถิงฟางหรือ ?

ทุกคนกำลังรอให้นางเอ่ยต่อ มู่เหล่าหวางเฟยจึงคลี่ยิ้มแล้วกล่าวอีกครั้ง “ถิงฟางมีนิสัยค่อนข้างร่าเริง แต่มิได้มีความคิดชั่วร้ายอันใดหรอก เรื่องขอโทษก็ปล่อยผ่านไปเถิด ส่วนหลิวลี่หากอภัยได้ก็อภัย และอย่าทำให้จวนอ๋องมู่ต้องเสียหน้าเลย”

ทัวป๋าหลิวลี่แอบบ่นในใจ ปากมิดีก็รู้จักแต่พูดอะไรเน่า ๆ ออกมา ! เมื่อเห็นมู่จวินฮานแสดงท่าทีพอใจและแม้นางไม่พอใจมากเพียงใดก็พูดได้แค่ว่า “ถ้าเป็นเยี่ยงนี้ก็ให้ท่านอ๋องตัดสินเถิดเจ้าค่ะ”

“ถิงฟางเช่อเฟยขอโทษแล้วก็ให้เรื่องนี้จบไปเถิด” มู่จวินฮานพยักหน้าและกล่าวออกมาในที่สุด

“มิว่าเอ่ยเยี่ยงไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ในเมื่อให้อภัยได้ก็ให้อภัยไปเถิด” ตอนนี้มู่จวินฮานมิได้สังเกตเห็นท่าทางอึดอัดของทัวป๋าถิงฟาง

“เมื่อก่อนหลิวลี่เช่อเฟยก็มีสัมพันธ์อันดีกับถิงฟางเช่อเฟย เห็นทีเรื่องนี้คงเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด”

เดิมทีการทะเลาะกันของสองพี่น้องมิได้เกี่ยวข้องกับมู่จวินฮานแต่อย่างใด ทว่าเวลานี้ทุกคนกำลังอยู่ในวังหลวง เรื่องนี้จึงต้องเกี่ยวกับเขา

“หืม ? ยังมีเรื่องนี้ด้วยหรือ ? ” มู่เหล่าหวางเฟยพูดผ่อนคลายสถานการณ์ การที่ทำให้ทัวป๋าหลิวลี่พ่ายแพ้ได้ นางมิเคยคิดออมมือ อีกทั้งยังยื่นเท้าเข้าไปกระทืบซ้ำอีก แม้เรื่องที่นางกดดันทัวป๋าหลิวลี่ในเวลานี้จะทำให้ท่านอ๋องมิสบอารมณ์ แต่นางก็สามารถอธิบายถึงข้อดีข้อเสียของการทำเช่นนี้ได้ “หากมิเป็นเช่นนี้หลิวลี่ก็จะทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา อย่าทำให้ถิงฟางตกใจเลย”

เมื่ออันหลิงเกอได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็ทำให้นางแทบอยากหัวเราะออกมาเสียงดัง เพราะมู่เหล่าหวางเฟยกำลังพยายามกำราบทัวป๋าหลิวลี่ที่ชอบทำตัวโอหังจึงมิน่าแปลกใจที่มู่เหล่าหวางเฟยจะมิชอบ ไม่ว่าผู้ใดก็มิอยากเห็นบุตรชายไปรักสตรีอื่นโดยเฉพาะมู่เหล่าหวางเฟย

อีกด้านหนึ่งเหล่าหวางเฟยคิดกำจัดตน ทว่าอีกทางด้านหนึ่งก็อยากกำจัดทัวป๋าหลิวลี่ด้วย ความหมายก็คืออยากให้มู่จวินฮานแก่ตายเพียงลำพัง !

ฝั่งนี้กำลังชมฉากละครอย่างสนุกสนานและพอใจกับท่าทีของมู่จวินฮานมาก แต่อีกด้านหนึ่งกลับพูดออกมาว่า “มิว่ากล่าวเยี่ยงไรก็เป็นเพราะถิงฟางประมาทเอง ข้าต้องขอโทษด้วยเจ้าค่ะ”