ตอนที่ 579 ชั่วช้า
หลังจากนั้นทัวป๋าถิงฟางก็เอ่ยคำขอโทษต่อทัวป๋าหลิวลี่พร้อมส่งสายตาให้มู่จวินฮานเพราะการกระทำเยี่ยงนี้ของนางเป็นการเห็นแก่หน้าเขา และในที่สุดเรื่องทุกอย่างก็จบลง
ในขณะนี้ไม่ว่าทัวป๋าถิงฟางเห็นสิ่งใดก็รู้สึกว่าทุกอย่างสวยงามไปหมด จนกลับมาถึงเรือนแล้วอารมณ์ของนางก็ยังดีเหมือนเดิม นางนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมรอยยิ้มหยาดเยิ้ม พู่บนปิ่นปักมวยผมสั่นไหวอย่างทรงเสน่ห์
เมื่อสาวใช้ที่อยู่ด้านข้างเห็นแล้วก็เอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม “นายหญิงยิ้มแล้วงดงามยิ่งนักเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ ? ” รอยยิ้มบนใบหน้าทัวป๋าถิงฟางมิจางหายแต่แสร้งทำให้ดูจริงจังกว่าเดิม หลังจากนั้นก็หยิบหวีขึ้นมาสางผมยาวสลวยบนหน้าอกของตน
“วันนี้ท่านอ๋องปกป้องท่านต่อหน้าขุนนางทั้งหลาย เห็นได้ชัดว่าภายในใจท่านอ๋องต้องมีท่านอยู่แน่นอนเจ้าค่ะ” สาวใช้ถือโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อนเพื่อกล่าวประจบอย่างต่อเนื่อง “นายหญิงเห็นหรือไม่ว่าสีหน้าของพระชายารองหลิวลี่แย่ยิ่งกว่าอันใด หากจะบอกว่านางเป็นคนเข้ามาหาเรื่องท่านก่อนแล้วท่านอ๋องยังตามใจต่อไปก็คงร้ายกาจยิ่งกว่าเดิมแน่เจ้าค่ะ”
“คำพูดพวกนี้จักนำไปเอ่ยข้างนอกมิได้” ทัวป๋าถิงฟางรีบเตือน “จงระวังคำพูดและการกระทำให้ดี หากมิได้เป็นเพราะวันนี้นางเข้ามาหาเรื่องข้าก่อน ข้าก็ไม่มีทางทำอันใดสิ้นคิดกับนางเช่นนั้นหรอก”
“เจ้าค่ะ นายหญิง”
“ออกไปเตรียมผงแป้งมาให้ข้าที” ทัวป๋าถิงฟางเห็นผงแป้งในตลับใกล้หมดแล้วจึงให้สาวใช้ออกไปหยิบของใหม่เข้ามา จากนั้นนางก็ช้อนตามองตนเองในกระจก พอนึกถึงความโปรดปรานที่เขามีต่อตนจึงได้กล่าวพึมพำออกมา “ในใจท่านอ๋องต้องมีข้าอยู่เป็นแน่”
แล้วเหตุใดจนถึงตอนนี้แววตาอ่อนโยนของท่านอ๋องจึงมองแค่อันหลิงเกอคนเดียว ?
เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้วทัวป๋าถิงฟางก็รู้สึกปวดราวในใจจนต้องยกมือขึ้นกำเสื้อที่หน้าอกพร้อมกัดริมฝีปากแดงระเรื่อแน่น อันหลิงเกอคือนางจิ้งจอกที่แย่งความรักไปจากนางจนหมด เหตุใดยังมีชีวิตอยู่อีก ?
หลังจากนั้นทัวป๋าถิงฟางจึงหลับตาลงเพื่อสงบอารมณ์ เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นตนเองในกระจกและกำปิ่นมุกไว้ในมือแน่น
นางจึงยกปิ่นมุกขึ้นและมองอย่างระมัดระวังเพราะในด้ามปิ่นเป็นรูกลวงที่มียาพิษซ้อนไว้ใช้ในยามฉุกเฉินอยู่ด้านใน ซึ่งนางใส่ไว้หลายปีแล้ว บางทีคงถึงเวลานำออกมาใช้แล้วกระมัง ?
ทางด้านอันหลิงเกอจู่ ๆ ก็รู้สึกหนาวขึ้นมา นางเข้าใจผิดว่าเป็นเพราะลมแรงแต่มิรู้ตัวว่าเพียงชั่วครู่นางก็ได้เข้าไปเดินวนรอบประตูยมโลกแล้ว
ตอนนี้มู่จวินฮานกำลังพาอันหลิงเกอไปยังสถานที่หนึ่งซึ่งนางก็รู้สึกมึนงงจึงเงยหน้ามองมู่จวินฮาน แต่เห็นดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและรอยยิ้มมุมปากพลางกล่าวว่า “เมื่อไปถึงเจ้าก็รู้เอง”
“บอกข้าก่อนมิได้เลยหรือเจ้าคะ ? ” ริมฝีปากแดงเรื่อของอันหลิงเกอดูน่ารักเป็นพิเศษขณะบ่นพึมพำ
“ข้ารู้เพียงว่าเจ้าต้องชอบมันอย่างแน่นอน” มู่จวินฮานยังปิดบังต่อไป
“แล้วหากข้ามิชอบล่ะเจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอมิยอมแพ้เพราะอยากให้มู่จวินฮานพูดออกมาด้วยตนเอง “ท่านบอกมาก่อนเถิด”
“ข้ายอมเจ้าแล้ว คราวก่อนเจ้าบอกว่าอยากได้บ่อน้ำร้อนมิใช่หรือ ? ” มู่จวินฮานเอ่ยพร้อมเหลือบมอง “ข้าจึงสร้างบ่อน้ำร้อนให้เจ้านั่นไงเล่า”
“ข้าบอกตอนไหนว่าอยากได้เจ้าคะ ? ต้องเป็นท่านที่จำผิดแน่ ! ” อันหลิงเกอเขินอายเล็กน้อย
“ไม่อยากได้แต่ข้าก็สร้างให้เจ้าเสร็จแล้ว” มู่จวินฮานดึงตัวอันหลิงเกอให้หยุดเดิน จากนั้นก็ดึงนางเข้ามากอดแล้วพานางเข้าไปในเรือนของตนที่สร้างขึ้นใหม่
“ใหญ่เพียงนี้เชียวหรือเจ้าคะ ! ” อันหลิงเกอตกตะลึงและเดินไปบนทางหินสีคราม ตรงกลางก็จะเป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่และน้ำในบ่อก็กำลังระเหยไอขึ้นมา “นี่คือ ? ”
“คือน้ำร้อน” ขณะมองท่าทางตื่นเต้นดีใจของนาง มู่จวินฮานก็ตอบด้วยรอยยิ้ม
“ดียิ่งนัก ! ” อันหลิงเกอดีใจจนกระโดดโลดเต้นพลางดึงมือมู่จวินฮานมาด้วยความดีใจ “ข้ามิคิดว่าจะสวยงามเพียงนี้เจ้าค่ะ”
“อือ ชอบหรือไม่ ? ”
“ชอบเจ้าค่ะ ! ” อันหลิงเกอดีใจพลางชี้นิ้วไปที่บ่อน้ำแล้วเอ่ยถามขึ้นอีก “ถ้าเช่นนั้นมันเป็นของข้าผู้เดียวใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”
เวลานี้อันหลิงเกอเหมือนเด็กคนหนึ่งไม่มีผิด
มู่จวินฮานพยักหน้า “ร่างกายเจ้ามิค่อยดี จำเป็นต้องใช้บ่อน้ำร้อนปรับร่างกาย การลงไปแช่บ่อย ๆ ก็ดีต่อเจ้า”
“จวินฮาน” ดวงตาอันหลิงเกอทอประกาย มันดูสดใสเป็นพิเศษ จากนั้นนางก็พูดออดอ้อนว่า “ขอบคุณเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้น…เจ้าจะตอบแทนข้าเยี่ยงไรดี ? ” มู่จวินฮานถามพร้อมรอยยิ้ม
“เชี่ยเซินไม่มีสิ่งใดตอบแทน ได้แต่ใช้ร่างกายตอบแทนเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอเอ่ยหยอกเย้าพร้อมยกมือเกาะไหล่มู่จวินฮาน นางเชิดคางขึ้นพร้อมฉีกยิ้มน่ารักสดใสของสาวน้อยขณะมองเขา “มิทราบว่าท่านอ๋องรังเกียจหรือไม่เจ้าคะ ? ”
มู่จวินฮานคลี่ยิ้มพลางเอื้อมมือไปปลดผ้าคาดเอวของนาง แต่การกระทำที่กะทันหันทำให้อันหลิงเกอตกใจ มือทั้งสองข้างเคลื่อนไปจับกระโปรงอย่างหวาดระแวง มู่จวินฮานจึงหัวเราะออกมา “เป็นอันใดไปหรือ? ข้ามิรังเกียจอย่างไรเล่า”
“เหตุใดท่านต้องถอดเสื้อผ้าข้าด้วยเจ้าคะ ? ” หากมิใช่สามีของนาง ใบหน้าเขาก็คงเต็มไปด้วยรอยช้ำแล้ว
“ข้าพาเจ้ามาที่นี่เพื่อแช่น้ำร้อน”
มู่จวินฮานดึงมือกลับแล้วค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าของตน “ยังมิลงมาอีกหรือ ? ”
เมื่ออันหลิงเกอได้สติอีกครั้ง มู่จวินฮานก็ลงไปอยู่ในสระนานแล้ว นางจึงได้แต่แบกความเขินอายแล้วถอดเสื้อผ้าออกเพื่อนำไปแขวนที่ราว จากนั้นก็ลงไปในบ่อ
…
ภายใต้บรรยากาศเงียบสงบเช่นนี้ มีคนผู้หนึ่งกำลังแตกต่างไปจากคนอื่น
“พวกเจ้าออกไป ! ” เสียงทุ้มต่ำของบุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้น
“เพคะ องค์ชาย ! ”
จ้าวหลานหยู่เดินซวนเซมานั่งที่โต๊ะแล้วคีบอาหารแต่ละจานมั่ว ๆ ขณะเดียวกันก็รินสุราจนเต็มจอกแล้วดื่มรวดเดียว แม้มิดื่มจนเมามายแต่ก็สามารถตกอยู่ในภวังค์ของความคิดได้
เขายังไม่ตาย ก่อนหน้านี้เป็นแค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้น ในเวลานี้เขากำลังรอโอกาสเหมาะในการกลับไป
…
ตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้วทุกคนกำลังเข้านอน จวนอ๋องก็เริ่มเงียบสงัด มีเพียงเวรยามมิกี่คนเท่านั้นที่กำลังกระจายตัวออกไปเดินลาดตระเวนโดยรอบ
อย่างไรก็ตาม ยังมีสถานที่แห่งหนึ่งเต็มไปด้วยเสียงเอะอะ เพียงยืนอยู่ในที่ห่างไกลก็ยังสามารถได้ยินเสียงหัวเราะจากในเรือนฝูหลิง
“คราวนี้ข้าชนะแล้ว ! มามามา มาเล่นอีกตา ! ”
“พระชายาพักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ! ท่านแทบมิได้ทานอะไรมาทั้งวันแล้วนะเจ้าคะ ! ” ปี้จูเดินเข้ามาเอ่ยด้วยความห่วงใย
“ไอหยา ! เจ้ารอหน่อย ข้ายังมิง่วง” อันหลิงเกอเอ่ยอย่างมิแยแส สายตายังมองไพ่บนโต๊ะอย่างแน่วแน่
“เฮ้อ ! ” ปี้จูนั่งอยู่ตรงประตูพลางถอนหายใจยาวเพราะรู้ดีว่าพระชายาเมินนางไปแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น พอตื่นนอนแล้วปี้จูก็ทำความสะอาดเรือนฝูหลิงครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ไปยังเรือนที่มู่จวินฮานพักอยู่ นางเร่งฝีเท้าตลอดทางเพราะกลัวไปมิทัน แต่โชคดีที่มู่จวินฮานกำลังเดินออกมาเพื่อไปวังหลวงพอดี ดังนั้นนางจึงได้มาเผชิญหน้ากับเขาโดยตรง
“คารวะท่านอ๋อง บ่าวมีเรื่องรายงานเจ้าค่ะ ! ” ตอนนี้ปี้จูยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง เนื่องจากการกระทำของตนถือเป็นการเปิดเผย ‘ความลับ’ และคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นท่านอ๋องผู้สูงส่ง แต่พอคิดว่านี่เป็นการทำเพื่อพระชายา นางก็มิได้กลัวถึงเพียงนั้นแล้ว
“กล่าวมาสิ ! ” พอเห็นปี้จูแล้ว มู่จวินฮานก็เดาออกทันทีว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับอันหลิงเกอ แต่เกิดอันใดขึ้นตัวเขามิรู้เรื่องแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงอดรู้สึกสงสัยไม่ได้
“ช่วงนี้พระชายาเอาแต่เล่น แม้แต่ข้าวก็ยังลืมทานอยู่บ่อยครั้ง มิว่าบ่าวกล่าวเยี่ยงไรก็ไร้ประโยชน์จึงมาเรียนให้ท่านอ๋องไปช่วยเกลี้ยกล่อมพระชายา บ่าวกลัวว่าร่างกายของพระชายาจะรับมิไหว บ่าว…บ่าวจนปัญญาแล้วจริง ๆ เจ้าค่ะ”