คนที่ร่างกายแบกรับกับทุกอย่างมาสามวันเต็มก็ย่อมต้องการพักผ่อน เขานอนหนุนตักของเธอ หลับตาลง เพียงครู่เดียว ก็นอนหลับใหลไป
ที่หน้าห้อง สุนันท์ยืนอยู่ตรงนั้น เดือดเป็นฟืนเป็นไฟ ความโกรธที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างมากองกันอยู่ที่หน้าอก จนเผาไหม้แทบจะระเบิด!
เธอเดินมาเอาของ ไม่คิดว่า จะได้มาเห็นภาพแบบนี้
การเสียชีวิตของหัวหน้ามัทนาทำเอาเธอแทบจะเสียสติ อารมณ์เธอก็เพิ่งจะฟื้นขึ้นมาได้ ในตอนนี้ก็ต้องมาสะเทือนใจอีก
สายตาจ้องมองดูใบหน้าที่หล่อเหลากำลังนอนหลับใหลของเขาอย่างเงียบๆ เชอร์รีนทอดถอนหายใจเบาๆ ย้ายเขาไปที่โซฟาอย่างระมัดระวัง กะว่าจะออกไปเอาน้ำมาสักแก้ว
ทันทีที่ก้าวออกไป ก็ประจันหน้ากับสุนันท์ที่ยืนอยู่หน้าประตู ทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน……
โดยไม่ตั้งใจ เชอร์รีนเหยียบเข้ากับเท้าของสุนันท์ ข้างใบหูได้ยินเพียงเสียงร้องของความเจ็บดังขึ้น เธอรีบขยับขาของตัวเองออกทันที
“นี่เธอตั้งใจใช่ไหม?” ท่าทีของสุนันท์เย็นชา จ้องมองเชอร์รีน ตั้งแต่ดวงตาจรดริมฝีปาก ยิ่งมองก็ยิ่งรังเกียจมากจริงๆ!
“ฉันไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น คุณเองที่มายืนอยู่ตรงนี้ ฉันไม่ทันได้สังเกต”แม้คำพูดของเชอร์รีนจะแผ่วเบา แต่ก็สุภาพมาก คำพูดก็ควบคุมอารมณ์ได้ดี
แขกเหรื่อที่เดินผ่านไปมาในห้องนั่งเล่นมีจำนวนมาก และบริเวณนี้ก็ใกล้กับห้องโถงที่เคารพศพ ทะเลาะกันต่อหน้าคนตาย สำหรับผู้เสียชีวิตแล้ว มันคือการไม่ให้ความเคารพ
สุนันท์ไม่ทำแบบนี้แน่ บวกกับได้เห็นภาพเมื่อครู่ ก็พูดประชดประชันว่า“ ทำไม ยังไม่ตายใจ วิ่งตามมาอีก ?”
“ฉันไม่เข้าใจว่าคุณกำลังพูดถึงอะไร นี่คือสถานที่ที่มาเคารพศพ ไม่ใช่สำหรับมาทะเลาะกัน คุณไม่รู้สึกว่าความสนใจของคุณใช้ไม่ถูกที่เหรอคะ ?”
สำหรับสุนันท์ เธอรู้สึกไม่เข้าใจอย่างมาก นี่คือสถานที่ที่ให้มาเคารพศพ ที่ที่ให้กำเนิดเธอ เลี้ยงดูเธอ เป็นงานศพของแม่ที่รักและดูแลเธอมาตั้งแต่เด็ก เธอไม่รู้สึกเลยเหรอว่าการกระทำของเธอแบบนี้มันทำเกินไป ?
“หึ!ใครต้องการให้เธอมาแสดงละครอยู่ที่นี่ ฉันจะพูดให้ชัดอีกครั้ง ที่นี่ไม่ต้อนรับเธอ และแม่ของฉันก็ไม่ต้องการให้เธอมาเคารพศพด้วย เธอเลือกที่จะเดินออกไปเองได้ หรือเลือกที่จะให้ฉันพาคนมาโยนเธอออกไปก็ได้ สองทางเลือก ”
ภาพเมื่อครู่ เธอเห็นมันอย่างชัดเจน เขายังไม่ตายใจ คิดจะหวนกลับคืนมาอีกครั้ง อยากจะได้ออกัสไป โอกาสแบบนี้ เธอไม่มีทางให้เขาอีกอย่างเด็ดขาด
หลังจากที่จ้องมองเธออยู่นาน เชอร์รีนก็เดินกลับเข้าไปในห้อง เขายังคงหลับลึก คิ้วที่ได้รูปขมวดกันแน่น ผูกกันจนเป็นปม ไม่รู้ว่ากำลังฝันถึงอะไรอยู่
ดวงตาไหวสั่นเล็กน้อย เธอมองดูใบหน้าที่ซูบผอมของเขา และหนวดเคราที่ขึ้นจนเขียวอยู่ใต้คาง
เดินไปข้างหน้า ยื่นมือไป คลึงไปยังคิ้วที่ผูกกันจนเป็นปมให้คลายออก ดวงตาของเชอร์รีนขยับไปมา ดึงมือเล็กๆของซาราง จากนั้นก็เดินออกจากห้องไป
เหลือบมองไปยังสุนันท์เล็กน้อย เธอออกจากที่รับรองไป โดยไม่หยุดเดิน
เธอมาที่นี่เพื่อมาเจอคุณหญิงมัทนาเป็นครั้งสุดท้าย แล้วมาดูงานศพ ไม่ใช่มาเพื่อทะเลาะกับสุนันท์
ตอนมา ได้ซื้อตั๋วกลับเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ซารางร้องอยากจะกินผลไม้เคลือบน้ำตาล ตอนที่ผ่านเวลนียา แวะซื้อให้เธอไปสองไม้ จากนั้นก็ตรงไปที่สนามบิน รออยู่ประมาณสี่สิบนาที ก็เช็กอิน แล้วขึ้นเครื่องไป
นอนหลับไปตื่น ก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ไม่ได้นอนติดต่อกันมาหลายวัน ออกัสต้องการพักผ่อนจริงๆ
ลุกขึ้นมาได้ เขามองไปรอบๆห้อง แต่ไม่เห็นร่างของเชอร์รีนกับซาราง ภายในห้องมีเขาเพียงคนเดียว
มือใหญ่ขยับเคลื่อนไหว จัดชุดสูทสีดำที่สวมใส่ให้เข้าที่ แล้วเดินออกจากห้อง ในห้องนั่งเล่นก็ไม่มีร่างของหญิงสาวกับเด็กน้อย พอดีกับ เลอแปงที่เดินเข้ามา เขาขยับริมฝีปาก พูดเสียงแหบแห้งว่า “เธออยู่ไหน ?”
“เธอ?”เลอแปงงุนงง จากนั้นก็เข้าใจ“เมื่อกี้ผมเห็นเธอพาซารางออกไปแล้ว”
ได้ยินดังนั้น ออกัสก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา กดโทรออก แต่การแจ้งเตือนที่ได้ยินคือปิดโทรศัพท์ไปแล้ว
ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขามืดลงเล็กน้อย ไม่พูดอะไรเก็บโทรศัพท์มือถือเข้าในกระเป๋าเสื้อสูท และทักทายแขกที่เดินเข้ามา เย็นชา รักษาระยะห่าง แต่ก็ยังคงสุภาพ
“พี่ใหญ่ กุญแจรถพี่อยู่ไหน ให้ผมยืมหน่อย แม่บอกว่าพ่อนั่งเครื่องมากำลังจะถึง ผมจะไปรับพ่อ”
โยนกุญแจรถให้ ออกัสหันหลังกลับ สายตาจ้องมองไปที่รูปขาวดำของคุณหญิงมัทนา เธอยังคงยกยิ้มให้เขาอยู่ตลอด ราวกับไม่เคยจากไปไหน
แต่ว่า คนบางคนไปแล้วไปลับ ไม่มีวันจะหวนคืนกลับมาอีก
การจากไปของคุณหญิงมัทนาส่งผลกระทบกับไกรวิทย์เป็นอย่างมาก ทั้งสองต่างรักใคร่ปรองดองกัน ความสัมพันธ์ที่มีมายาวนานกว่าหลายสิบปีไม่เคยแปรเปลี่ยน ครั้งนี้ต้องมาตายจาก ไกรวิทย์เองก็ล้มไปด้วยเช่นกัน
ในตอนบ่าย สิงหามาถึงแล้ว ท่าทีเร่งรีบ ราวกับรีบร้อนตามมา
เมื่อหันมอง ก็สบตาเข้ากับออกัส สิงหาเอ่ยพูดว่า “ตาแกล่ะ ?”
“อยู่ข้างบน……”เหยียดริมฝีปาก น้ำเสียงที่เย็นชาของออกัสตอบกลับไปคำหนึ่ง“ทำไมเพิ่งมาตอนนี้?”
“ที่อำเภอซีซ่ามีประชุมสำคัญ ปลีกตัวมาไม่ได้เลย”สิงหาคลึงไปที่หน้าผากอย่างเหนื่อยล้า“พอปลีกเวลาได้ ก็รีบบินมาเลย”
ได้ยินดังนั้น สีหน้าที่เย็นชาของออกัสก็ดูไม่สบอารมณ์มากขึ้นไปอีก ราวกับมีน้ำแข็งปกคลุมอยู่ “นี่ไม่ใช่เหตุผลในการอธิบายพฤติกรรมของพ่อ”
“ออกัส คุณยายไม่อยู่แล้ว พ่อรู้ว่าแกเศร้า และเสียใจ แต่ทำไมแกต้องพูดแบบนี้กับพ่อด้วย ?”ใบหน้าของสิงหามีความน่าเกรงขามปรากฏ
“ครั้งที่แล้วที่ยายล้มป่วย พ่อไม่เคยไปดูยายเลยที่อเมริกา กลับมาจากอเมริกา พ่อก็ไม่เคยมาดูยายที่เมืองบีเจเลย แม้แต่งานศพของยายพ่อก็ยังมาทีหลังแขกอีก งานที่อำเภอซีซ่าทำพ่อยุ่งมากขนาดนี้เลยเหรอ ยุ่งตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยเหรอ กลางคืนไม่หลับไม่นอนกันเลยหรือไง ?”
ออกัสไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา ยังคงพูดอย่างเย็นชา
สุนันท์ที่เดินเข้ามาก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน เอื้อมมือไปแล้วดึงไปที่แขนเสื้อของออกัส“ ต่อหน้าคนอื่นพูดแบบนี้กับพ่อได้ยังไง?”
“คุณอย่าว่าแกเลย ยายไม่อยู่แล้ว ก็คงเสียใจมาก อีกอย่าง ผมเองก็มาช้าจริงๆ มันคือเรื่องจริง แล้วคุณพ่อล่ะ?”สิงหามองไปหาสุนันท์
“อยู่ชั้นบน ฉันพาคุณไป”
ในตอนค่ำ สิงหายืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ ประตูห้องถูกล็อกเอาไว้
“คุณอยากได้อะไรไหม ? ของฝากจากเมืองบีเจกลับไปแล้วผมจะซื้อไปฝาก ”
“คุณดูๆเอาแล้วซื้อมาเถอะ ฉันอะไรก็ได้” น้ำเสียงของผู้หญิงนั้นฟังดูสบายๆ เอื่อยเฉื่อย และมีความเกียจคร้านปนอยู่
“ก็ได้ เดี๋ยวผมจะซื้อไปฝาก อะไรที่คุณชอบก็บอกมาแล้วกัน ผมจะได้ไปซื้อให้”
เห็นชัดว่าหญิงสาวไม่ค่อยมีความสนใจอะไรมากนัก ตอบรับอย่างสบายๆ ราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้ เธอเอ่ยปากพูด“อ้อ ใช่ เกือบลืมบอกคุณไปเลย สองวันนี้ฉันจะไปฝรั่งเศสนะคะ”
“ฝรั่งเศส?”สีหน้าของสิงหาเปลี่ยนไปทันที“ ไปฝรั่งเศสทำไม แล้วทำไมถึงปุบปับจังเลย ไปทำอะไรที่ฝรั่งเศส?”
“ไปเที่ยวค่ะ”
สีหน้าของสิงหาก็อ่อนลง และพูดต่อว่า“ไปเที่ยวฝรั่งเศสคนเดียวไม่สนุกหรอก รออีกสักสองสามวัน รอผมกลับจากเมืองบีเจแล้วจะพาคุณไป”
“คุณทำธุระของคุณเถอะ ฉันนัดกับเพื่อนไว้แล้ว ตั๋วเครื่องบินที่ได้เป็นอีกสองวัน ถึงวันก็จะออกเดินทางกัน”