ตอนที่ 156 ผิดคาด หรือเซอร์ไพรส์

พ่ายรักวิวาห์ลวง

หลังจากพูดจบ ฮั่วเทียนเย่ว์ก็เดินตามคนที่จิ่งหลานเรียกเข้ามาออกไป

 

 

เมื่อเห็นฮั่วเทียนเย่ว์เดินจากไปแล้ว เฉิงหมิงก็อดถอนหายใจอย่างโล่งอก และแอบศรัทธาอำนาจของจิ่งหลานเงียบๆ ไม่ได้ เพียงแค่ไม่กี่ประโยคกลับทำให้ฮั่วเทียนเย่ว์ละจากไปได้ เห็นทีอำนาจเบื้องหลังของเขาคงมีอิทธิพลมากจริงๆ นะ

 

 

“เมื่อกี้…ขอบคุณคุณชายจิ่งมากนะครับ…ไม่อย่างนั้นลำพังแค่ผู้น้อยอย่างผมคนเดียว คงไม่รู้ว่าจะตอบโต้ยังไงเลยล่ะ ถ้าเขารู้ห้องพักผู้ป่วยของประธานกับคุณนาย ไม่แน่อาจจะเรียกกองทัพนักข่าวเข้ามา ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่แน่เลยล่ะ” เฉิงหมิงทอดถอนใจ

 

 

“ไม่เป็นไร เรื่องของหลานฉีก็เป็นเรื่องของผมเหมือนกัน ผมจะช่วยพวกคุณอย่างสุดความสามารถ ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นก็ได้ เรียกผมว่าจิ่งหลานก็พอแล้ว” จิ่งหลานพูดพร้อมยิ้มจางๆ

 

 

เขายังชื่นชมความจงรักภักดีอย่างใจกล้าบ้าบิ่นของเฉิงหมิงอยู่มาก ทั้งที่เผชิญหน้ากับเรื่องแบบนี้ เขายังไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดเลย ดูท่าเดี๋ยวนี้คงหาคนแบบนี้ได้ยากแล้ว

 

 

พอพูดจบ ทั้งสองก็เดินไปทางห้องพักผู้ป่วยอย่างรีบร้อน

 

 

บนเตียงคนไข้อันขาวสะอาด ใบหน้าของเวินหลานฉีซีดเผือดไร้เลือดฝาดแม้แต่น้อย เธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้อย่างสงบเงียบ ข้อมือมีเข็มน้ำเกลือเจาะอยู่ ของเหลวหยดติ๋งๆ ลงมาจากขวดน้ำเกลือ หยดแล้วหยดเล่า และไหลผ่านหลอดบางโปร่งแสงอย่างช้าๆ …

 

 

หน้าผากของเธอยังพันผ้าก๊อซไว้อยู่ เลือดสีแดงจางๆ ซึมผ่านผ้าก๊อซสีขาว เป็นรอยกระดำกระด่าง บาดแผลสีแดงเข้มบนลำคอขาวดุจหิมะของเธอ ทิ้งรอยแผลเป็นอันเศร้าสลดไว้รอยหนึ่ง

 

 

แสงแดดลอดผ่านร่องผ้าม่านข้ามากระทบพื้นลาด และผ้าปูเตียง ลมหายใจดุจหิมะ ทุกอย่างล้วนเงียบสงบ จนทำเอาเสียใจอย่างเงียบๆ

 

 

จิ่งหลานเดินไปยืนนอกประตูกระจก เท้าหยุดนิ่งคล้ายกับโดนตะกั่วถ่วงไว้ เขาไม่รู้อีกประเดี๋ยวจะเผชิญหน้ากับเวินหลานฉีอย่างไร เขาไม่รู้ว่าถ้าเธอฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาต้องเผชิญหน้าเธออย่างไร และจะบอกความจริงอันโหดร้ายกับเธออย่างไร

 

 

ว่าผู้ชายที่เธอรักที่สุด ปกป้องเธอจนตกอยู่ในสภาพสลบไสล มิหนำซ้ำยังเป็นไปได้ว่าอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกตลอดชีวิต

 

 

แม้จิ่งหลานจะอิจฉาฮั่วฉินเยี่ยน อิจฉาที่เขาแย่งผู้หญิงที่ตนชอบที่สุดไป แต่อยู่ๆ ตอนนี้จิ่งหลานก็รู้สึกเศร้าโศกยิ่งนัก ถึงแม้ฮั่วฉินเยี่ยนจะแย่งไข่มุกในมือเขาไป แต่เขาไม่อาจตำหนิฮั่วฉินเยี่ยนได้ เขาแปลกใจกับท่าทีตอบโต้ในตอนสุดท้ายของฮั่วฉินเยี่ยน ขณะเดียวกันจิ่งหลานก็เคารพการเลือกของเวินหลานฉีเช่นกัน เพราะคนที่เธอชอบคือฮั่วฉินเยี่ยน ไม่ใช่ตน

 

 

ดังนั้นตอนนี้เขาไม่รู้จะสู้หน้าเวินหลานฉีอย่างไรดี

 

 

หลังจากนิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน จิ่งหลานก็เดินเข้าไป เธอยังคงนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง คล้ายกับนอนอย่างเงียบสงบ โดยไม่ได้เจ็บปวดจากอาการบาดเจ็บ ไม่ได้รู้สึกเสียใจอย่างไรอย่างนั้น ทันใดนั้นจิ่งหลานก็หวังว่าเธอจะฟื้นขึ้นมาช้ากว่านี้อีกหน่อย จะได้รู้ข่าวคราวอันโหดร้ายนี้ช้าลงอีกหน่อย

 

 

จิ่งหลานเดินไปข้างเตียงช้าๆ แล้วลากเก้าอี้ออกมานั่งลงมองเวินหลานฉีแน่นิ่ง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความปวดใจ

 

 

“อาเยี่ยน…อาเยี่ยน…” ทันใดนั้นสีหน้าของเวินหลานฉีก็เหยเกขึ้นมา เธอขมวดคิ้วเรียกออกมาเสียงหนึ่ง

 

 

“อาเยี่ยน…อาเยี่ยนอย่าไป…” เวินหลานฉีลืมตาขึ้นมาอย่างสลัวๆ น้ำตากลิ้งตกลงมา

 

 

“ฉี…คุณฟื้นแล้วเหรอ” พอจิ่งหลานเห็นเวินหลานฉีลืมตาขึ้นมา ก็ก้มตัวลงไปพูดด้วย

 

 

“ที่นี่คือ…โรงพยาบาล?” เวินหลานฉีได้กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ กอปรกับเห็นผ้าปูเตียงสีขาว กับสายน้ำเกลือบนหลังมือ เธอจึงถามออกมา

 

 

“อืม…ฉี คุณไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ยังเจ็บปวดตรงไหนบนร่างกายไหม” จิ่งหลานถามอย่างกระสับกระส่าย

 

 

เวินหลานฉีส่ายหน้าเบาๆ

 

 

โรงพยาบาล…โรงพยาบาล? ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้

 

 

เวินหลานฉีขมวดคิ้ว ดวงตากะพริบปริบๆ พยายามหวนนึกถึงเรื่องราว

 

 

อุบัติเหตุทางรถยนต์…ทะเล…

 

 

ตอนแรกเธอกับฮั่วฉินเยี่ยนออกไปเที่ยวกัน ใช่ แต่เจออุบัติเหตุทางรถยนต์กลางทาง จากนั้นพวกเขาก็ร่วงตกลงไปในทะเล…เวินหลานฉีพยายามหวนคิดเรื่องอดีต ภาพตอนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ปรากฏขึ้นมา ในหัวเธอเป็นฉากๆ น้ำตาสีใสไหลอาบพวงแก้มของเธอทั้งสองข้าง

 

 

ย้อนเวลากลับไปตอนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์

 

 

ตอนแรกพวกเขาคิดว่าไม่มีอะไรแล้ว แต่ทันใดนั้นกลับรู้สึกว่ามีรถจากข้างหน้า พุ่งเข้ามาชนอย่างแรง เธอยังไม่ทันตอบสนองว่าเรื่องอะไร ก็เห็นฮั่วฉินเยี่ยนโถมตัวเข้ามากั้นเธออยู่ข้างหน้า

 

 

“อาเยี่ยน…” เธอเรียกเขาเสียงเบา ก็เห็นเพียงเขาช้อนตาขึ้นมามองเธออย่างลึกซึ้ง มุมปากค่อยๆ ยกยิ้มจางๆ แล้วรีบหลับตาลง

 

 

จากนั้นพวกเขาก็ลอยเคว้งออกไปกลางอากาศ เวินหลานฉีรู้สึกว่าตัวเองสลบไสลไปเพียงแค่ไม่กี่นาทีเอง ระหว่างรอเธอได้สติกลับมานั้น ความเจ็บปวดบนหัวของเธอก็ทำให้เธอขมวดคิ้ว เธอช้อนตามองรอบๆ พบว่าเหมือนพวกเขาจะอยู่เหนือทะเล และด้านหน้ารถอยู่ห่างจากทะเลเพียงเล็กน้อย

 

 

เธอรู้สึกถึงความหนักอึ้งบนตัวของเธอจึงก้มหน้าลงมอง และเห็นฮั่วฉินเยี่ยนนอนอยู่บนตัวเธอ มิหนำซ้ำยังสลบไสลไปแล้วด้วย

 

 

“อาเยี่ยน…อาเยี่ยน! อาเยี่ยนคุณฟื้นสิ คุณอย่าทำฉันตกใจแบบนี้สิ อาเยี่ยน…” เวินหลานฉีเรียกอย่างอ่อนแรง พร้อมเขย่าตัวฮั่วฉินเยี่ยน แต่ดวงตาของเขายังคงปิดแน่น ไม่ยอมลืมตาขึ้นมา เลือดบนหัวไหลอาบพวงแก้มลงมาจนถึงลำคอ

 

 

เวินหลานฉีตกใจแทบแย่ แต่ทว่าเธอยังคงดึงสติสัมปชัญญะกลับมาอย่างรวดเร็ว หมายจะขอความช่วยเหลือ เธอพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายอันน้อยนิด หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า แล้วโทรหาเบอร์ 120 หลังจากบอกพิกัดตำแหน่งของพวกเธอเสร็จก็สลบไปอีกครั้ง

 

 

และพอตื่นขึ้นมา…ก็มาอยู่ที่นี่

 

 

น้ำตาของเวินหลานฉียิ่งไหลลงมามากขึ้นเรื่อยๆ เธอเจ็บปวดทรมานจนต้องขมวดคิ้ว พยายามส่ายหน้าเพื่อสลัดความทรงจำเหล่านั้นออกไป แต่ความเจ็บปวดบริเวณหน้าผากกลับทำให้เธอต้องเบะปาก

 

 

ไม่ใช่สิ! ถ้าเธออยู่ที่นี่ แล้วฮั่วฉินเยี่ยนล่ะ

 

 

อยู่ๆ ในหัวของเวินหลานฉีก็เกิดความกลัวทะลักทลายออกมา จนเธอไม่กล้าคิด

 

 

“อาเยี่ยน อาเยี่ยนล่ะ อาเยี่ยนอยู่ไหน” เวินหลานฉีเบิกตาโพลง มองจิ่งหลานพลางเอ่ยถาม เธอกลัวจะได้รับคำตอบอย่างที่เธอไม่กล้าคิดนั้น

 

 

“ฮั่วฉินเยี่ยนเขา…”

 

 

น้ำเสียงของจิ่งหลานหยุดไปสักพัก จนเวินหลานฉีลุกลี้ลุกลน เธอทรุดนั่งลงไปในพรวดเดียว “ตกลงเขาเป็นยังไงบ้าง! เขาอยู่ไหน นายบอกฉันหน่อยได้ไหม…” น้ำเสียงของเวินหลานฉีค่อยๆ เบาลง…

 

 

เธอไม่มีแรงตะโกนเสียงดังอีก…

 

 

“ฉี คุณอย่าตกใจ ฮั่วฉินเยี่ยนเขายังมีชีวิตอยู่” จิ่งหลานประคองไหล่ของเวินหลานฉี แล้วรีบพูด

 

 

“อาเยี่ยน…เขายังมีชีวิตอยู่เหรอ นายไม่ได้โกหกฉันใช่ไหม…แล้วทำไมฉันไม่เห็นเขาล่ะ เขาอยู่ไหน” พอเวินหลานฉีได้ยินประโยคนั้น ดวงตาที่หลุบลงก็ช้อนตาขึ้นมา แล้วรีบถาม

 

 

“เขายังไม่ตายก็จริง…แต่หมอบอกว่าถึงแม้เขาจะไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่เขายังไม่ได้สติอยู่…อาจจะ…ไม่ฟื้นขึ้นมา…ไม่รู้จะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่…” จิ่งหลานทอดถอนใจ ไม่ช้าเร็วถึงอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้า และต้องบอกเธออยู่ดี

 

 

“ไม่ฟื้นขึ้นมา…เจ้าชายนิทราเหรอ…” เวินหลานฉีพูดกับตัวเองเสียงเบา

 

 

“อืม…ฉี คุณไม่ต้องกลัวนะ มีผมอยู่ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณเอง” จิ่งหลานประคองไหล่ของเวินหลานฉี พลางเอ่ยพูด

 

 

เวินหลานฉีพยักหน้าเบาๆ “ให้ฉันไปเยี่ยมเขาหน่อยได้ไหม…”

 

 

“เอ่อ…แต่ตอนนี้ร่างกายของคุณยังไม่ดีขึ้นเลยนะ ถึงแม้เขาจะปกป้องคุณ จนคุณแค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็ยังไม่ฟื้นฟูดีเท่าไร หมอบอกว่าต้องนอนพักอยู่บนเตียงไปก่อน ฉี ตอนนี้ฮั่วฉินเยี่ยนสลบไสลยังไม่ฟื้นขึ้นมา แต่ตงหยวนกับจงเทียนจะขาดคนไม่ได้นะ ฉี คุณต้องคิดให้ดี ต้องดูแลร่างกายตัวเองให้ดี ถึงจะพยุงขึ้นมาได้นะ” น้ำเสียงของจิ่งหลานเด็ดขาด แต่ทว่ากลับพูดอย่างปวดใจ เขาเพียงหวังว่าคำพูดเหล่านี้ จะกลายเป็นความหวังและแรงผลักดันให้เธอได้

 

 

“ใช่ ตงหยวนคือเลือดเนื้อและจิตใจของอาเยี่ยน ตอนนี้เขาประสบอุบัติเหตุ แล้วคนในสกุลฮั่วที่จ้องพร้อมจะตะครุบก็เยอะมากเลยนะ ฉันจะไม่สนใจแบบนี้ไม่ได้ ใช่” ทันใดนั้นนัยน์ตาของเวินหลานฉีก็วาวโรจน์เป็นประกายขึ้นมา แล้วพูดอย่างแน่วแน่

 

 

เธอต้องยืนหยัดต่อไป! เธอเชื่อว่าเขาจะต้องฟื้นขึ้นมา แน่นอน!

 

 

เวินหลานฉีคิดในใจอย่างเงียบๆ

 

 

“หลาน…นายออกไปก่อนเถอะ ฉันอยากคิดอะไรคนเดียวเงียบๆ” เวินหลานฉีเอนนอนลงช้าๆ แล้วหันหน้าไปพูดกับจิ่งหลาน

 

 

“ได้ มีอะไรก็เรียกผมนะ” จิ่งหลานพูดอย่างลังเล

 

 

เวินหลานฉีส่ายหน้าเบาๆ แล้วหันหน้ากลับไป พลางหลับตาลง

 

 

ตอนนี้ในหัวเธอค่อนข้างยุ่งเหยิงไปหมด เธอแค่อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นอย่างฉับพลันเช่นนี้ ทำเอาเธอแบกไม่ไหวในคราเดียวอยู่บ้าง

 

 

พอจิ่งหลานเดินออกจากห้องพักผู้ป่วย ก็เห็นเฉิงหมิงรออยู่นอกห้องพักผู้ป่วย

 

 

“คุณนายเธอเป็นยังไงบ้าง เมื่อกี้ได้ยินเสียงเธอตะโกน…เธอไม่เป็นไรใช่ไหม” เฉิงหมิงถามอย่างลังเล ตอนแรกเมื่อสักครู่เขาอยากจะเข้าไป แต่พอย้อนกลับมาคิด คิดว่าให้จิ่งหลานพูดคุยกับเธอคงจะดีกว่าละมั้ง ส่วนตนก็รออยู่หน้าประตูอย่างเงียบๆ

 

 

“อารมณ์เธอยังดีอยู่…สงบสติอารมณ์ได้แล้ว จากนิสัยของหลานฉีคงจะไม่ใช่คนแยกแยะไม่ได้ขนาดนั้น ให้เธออยู่คนเดียวเงียบๆ สักหน่อยเถอะ” จิ่งหลานถอนหายใจ

 

 

“ทางด้านฮั่วฉินเยี่ยนเป็นยังไงบ้าง”

 

 

“ประธานยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย…แต่อัตราการเต้นของหัวใจมั่นคงอยู่ ไม่ได้อันตรายถึงชีวิตก็จริง แต่ก็เป็นเจ้าชายนิทรา…” เฉิงหมิงซวนเซพิงเข้ากับผนัง สายตามองตามผ้าม่านปลิวไสวตามแรงลมด้านหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย

 

 

“อืม…ก็ปกติมั้ง แค่รอ รอดูว่าหลังจากนี้เขาจะฟื้นขึ้นมาไหม”

 

 

คุณหมอท่านหนึ่งเดินมาจากอีกฝั่งหนึ่งของตึก ในมือถือชาร์ตคนไข้หลายชุด ท่าทางเร่งรีบ จิ่งหลานเห็นเช่นนั้นจึงรีบถาม “หมอ ร่างกายของหลานฉีมีปัญหาอะไรไหม”

 

 

“ไม่…ร่างกายของเธอไม่มีปัญหาอะไร เอ่อ ผมมีเรื่องส่วนตัวเกี่ยวกับคุณนายบางอย่าง…ผมขอคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวได้ไหม” สีหน้าของคุณหมอลำบากใจอยู่บ้าง

 

 

จิ่งหลานฉงนสงสัยอยู่บ้าง หากแต่ยังคงพยักหน้ากลับไป เขาเพิ่งเจอคุณหมอตรงหน้าหน้าห้องผ่าตัดเมื่อกี้ และคิดว่าคงจะไม่ใช่คนที่ใครบางคนส่งมาทำร้ายเธอ จึงให้เขาเข้าไปได้

 

 

คุณหมอเดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย “คุณนายฮั่ว…รายงานผลการตรวจของคุณออกมาแล้ว ร่างกายของคุณไม่มีอะไรน่าห่วง แต่…เอ่อ ผมอยากให้คุณระวังหน่อย”

 

 

ดูๆ แล้วอายุของคุณหมอก็มากแล้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยประสบการณ์ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน หากแต่นัยน์ตากลับใสแจ๋วยิ่งนัก

 

 

“คุณนายฮั่ว ผมกับคุณปู่ฮั่วรู้จักกันดี ตอนแรกเขาช่วยคนหนุ่มอย่างผมให้เข้ามาในโรงพยาบาลแห่งนี้ ผมมีความรู้สึกกตัญญูต่อคุณปู่ฮั่วอย่างลึกซึ้งมาโดยตลอด รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของสกุลฮั่วตรงหน้าดี และก็รู้ด้วยว่าพ่อของประธานฮั่วนั้นจ้องจะตะครุบตงหยวนมาโดยตลอด ผมอยากจะตอบแทนบุญคุณของคุณปู่ฮั่วมาตลอด เพียงแต่ไม่เคยมีโอกาส ดังนั้นจึงหยิบผลการตรวจนี้มาให้คุณดูเพียงลำพัง ตอนนี้นอกจากผมแล้ว มีเพียงพยาบาลที่ไว้ใจได้รู้เรื่องนี้เท่านั้น คุณเชื่อใจผมได้” คุณหมอพูดด้วยน้ำเสียงเบา

 

 

เมื่อกี้เขาไม่ได้บอกจิ่งหลานกับเฉิงหมิงผู้อยู่ข้างนอก เพราะอยากฟังความคิดเห็นจากเวินหลานฉีก่อน

 

 

เวินหลานฉีหันกลับมารับชาร์ตที่คุณหมอส่งมาให้ แล้วนัยน์ตาค่อยๆ เบิกโต สีหน้าพลันเปลี่ยนสี