เล่มที่ 14 เล่มที่ 14 ตอนที่ 409 ไม่ควรผนึกพลังภายในของเจ้า

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ซูจิ่นซีนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง บริเวณหน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็กจำนวนมากผุดขึ้น ริมฝีปากแห้งผาก นางกัดฟันแน่นอย่างพยายามอดกลั้นต่อความเจ็บปวดทรมาน

ปากของนางราวกับกำลังส่งเสียงพึมพำแผ่วเบา

อวิ๋นจิ่นตั้งใจฟัง จึงฟังออกว่านางกำลังพึมพำว่า “ท่านแม่… ท่านแม่… ”

“เจ้าเด็กโง่! ”

อวิ๋นจิ่นโน้มตัวลง ใช้ฝ่ามือลูบไปที่หน้าผากของซูจิ่นซีอย่างแผ่วเบา เขาจ้องมองแก้มของซูจิ่นซีด้วยแววตาสับสน และนิ่งเงียบไปพักใหญ่

ผ่านไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้น อวิ๋นจิ่นก็พูดขึ้น “เจ้าเจ็บเพียงร่างกาย ทว่าข้าเจ็บไปถึงหัวใจ! ”

ผู้ใดจะคาดคิดว่าอวิ๋นจิ่นที่ดูอ่อนโยน เคารพกฎระเบียบ ปฏิบัติตามพิธีรีตอง ทั้งยังรู้จักประมาณตนเองมาตลอด จะกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา

อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีที่นอนอยู่บนเตียง ทั้งยังสติพร่ามัวเนื่องจากความเจ็บปวดแสนสาหัสนั้น ไม่มีทางได้ยินว่าอวิ๋นจิ่นพูดอะไร ยิ่งไม่รู้ว่าอวิ๋นจิ่นพูดสิ่งใดออกมา

หลังจากนั้น อวิ๋นจิ่นก็พลิกฝ่ามือและเลื่อนฝ่ามือไปหยุดที่ตำแหน่งแผ่นหลังของซูจิ่นซี แสงสีขาวสว่างเจิดจ้าและอบอุ่นเหมือนแสงจันทร์พลันกระจายออกจากฝ่ามือของเขาราวกับสายน้ำ มันค่อยๆ ไหลเข้าไปในร่างกายของซูจิ่นซี

แรกเริ่ม ซูจิ่นซีที่กำลังหลับใหลรู้สึกถึงความผิดปกติจึงดิ้นรนต่อต้าน ทว่าครู่หนึ่งสีหน้าของนางก็เริ่มสงบ หัวคิ้วคลายลงเล็กน้อยอย่างเชื่อฟัง นางค่อยๆ ดูดซับพลังภายในที่อวิ๋นจิ่นถ่ายทอดมาให้โดยไม่ขัดขืน

ยิ่งอวิ๋นจิ่นถ่ายเทพลังภายในให้ซูจิ่นซีมากเท่าไร ลวดลายรูปกิเลนตรงบั้นท้ายของซูจิ่นซีก็ยิ่งส่องแสงสว่างมากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายแสงสว่างเจิดจ้าก็ปะทุออกมาอย่างรุนแรง ราวกับแสงสว่างทั้งหมดปะทุออกมาในครั้งเดียว ก่อนจะสงบลงในชั่วพริบตา

“หากรู้เสียแต่ทีแรกว่าเจ้าต้องทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้ ตอนนั้นข้าไม่ควรดึงพลังภายในของเจ้าออกมา อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่ใช่ผู้ที่ไร้วรยุทธ์ เจ้าจะสามารถเข้าใกล้เยี่ยโยวเหยาได้อย่างไร จะเข้าไปอยู่ในใจเขาได้อย่างไร? พรหมลิขิตสรรค์สร้าง ทุกอย่างล้วนเป็นโชคชะตาของเจ้า วันนี้ข้าขอคืนพลังภายในให้เจ้าอีกครั้ง! ”

หลังสิ้นเสียงพูดของอวิ๋นจิ่น ด้านนอกพลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วและเดินไปที่โต๊ะ ก่อนจะเปิดหีบยาทำทีเป็นจัดเก็บยาด้วยท่าทางปกติ

“หมอหลวงอวิ๋น บ่าวจัดเตรียมผ้าสะอาดกับน้ำร้อนพร้อมแล้วเจ้าค่ะ”

“วางไว้ตรงนี้ก็ได้! ”

ท่าทีของอวิ๋นจิ่นกลับมาอบอุ่นอ่อนโยนและอ่อนน้อมถ่อมตนดังเดิม เขาชี้ไปทางโต๊ะด้านข้าง

แม้ลวี่หลีจะไม่ร้องไห้แล้ว ทว่าดวงตาของนางยังบวมแดง เมื่อนางนำน้ำร้อนกับผ้าสะอาดวางบนโต๊ะแล้ว ก็ไม่กล้าจากไปที่ใด นางหันไปมองซูจิ่นซีที่นอนอยู่บนเตียงด้วยดวงตาสั่นไหวอีกครั้ง

ไม่นานนัก ซูอวี้ก็นำสมุนไพรทั้งหมดที่ต้องการมา เขาทำตามวิธีการที่เขียนในเทียบยาของจิ่วหรง โดยการบดสมุนไพรให้เป็นผง จากนั้นทำให้ข้นและนำมาทาบริเวณบาดแผลของซูจิ่นซี

จากนั้นอวิ๋นจิ่นจึงฝังเข็มให้ซูจิ่นซี

ทุกคนต่างยุ่งวุ่นวายจนกระทั่งยามค่ำ

อย่างไรเสีย ที่นี่ก็คือตำหนักฝูอวิ๋นของเยี่ยโยวเหยา หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์พิเศษในวันนี้ ย่อมไม่มีทางอนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้ามา

เมื่อมั่นใจว่าซูจิ่นซีพ้นช่วงวิกฤติแล้ว พ่อบ้านจึงจัดเตรียมห้องพักรับรองให้ซูอวี้กับอวิ๋นจิ่น ข้างเตียงของซูจิ่นซีมีแม่นมฮวากับลวี่หลีคอยดูแล พวกเขาตกลงกันว่าหากเกิดเหตุด่วนอันใด สามารถไปเรียกซูอวี้กับอวิ๋นจิ่นได้ตลอดเวลา

ซูอวี้กลับไปพักที่ห้องรับรอง ทว่าเขานอนไม่หลับจึงเดินไปที่เรือนชิงโยวเพื่อขอสุราไหหนึ่งจากบ่าวรับใช้ จากนั้นก็นั่งดื่มสุราอยู่ที่โต๊ะหินหน้าเรือนอวิ๋นไค

เดิมทีซูอวี้ดื่มสุราไม่เก่งเท่าไรนัก สุราเพิ่งลงท้อง แก้มของเขาก็แดงก่ำ ทั้งดวงตายังพร่ามัว

สายตาที่มองไปทางเรือนอวิ๋นไคพลันทอดยาวออกไป

“พี่จิ่นซี ทุกๆ วันในยามเฉิน ท่านอ๋องจะนั่งที่ตำแหน่งนี้ ดื่มชาและชมบรรยากาศยามเช้า เฝ้ารอให้พี่ออกมาหาใช่หรือไม่? ”

หลังพูดจบประโยค ซูอวี้ก็ล้มฟุบลงบนโต๊ะและไม่มีท่าทีว่าจะลุกขึ้นมาอีกเลย

เมื่อถึงยามโฉ่ว แสงจันทร์เจิดจ้า ดวงดาวระยิบระยับ

เงาร่างของคนผู้หนึ่งที่สว่างไสวยิ่งกว่าแสงจันทร์เจิดจ้า ค่อยๆ เหาะลงมาบนบันไดหน้าประตูตำหนักฝูอวิ๋น รูปลักษณ์ของเขาราวกับเทพเซียนในสวรรค์ชั้นเก้าร่ายมนตร์ เขาปรากฏตัวอย่างไร้ซุ่มเสียง ไม่มีกระทั่งสายลม

องครักษ์เงาที่ซ่อนตัวคอยอารักขาอยู่ที่เรือนชิงโยวอย่างเข้มงวด ไม่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติแม้แต่น้อย

เอี๊ยด… ยามค่ำคืนมืดมิด บานประตูอันหนักอึ้งของตำหนักฝูอวิ๋นถูกเปิดออกด้วยเสียงแผ่วเบาเหมือนยุงบิน ร่างในชุดสีขาวก้าวเดินด้วยความเงียบงันราวกับสายน้ำนิ่ง ชายเสื้อพลิ้วไหวเล็กน้อย เขาเดินเข้าไปในตำหนักฝูอวิ๋นอย่างเชื่องช้า จนไปถึงข้างเตียงของซูจิ่นซี

‘จี๊ดจี๊ดจี๊ด… จี๊ดจี๊ดจี๊ด’

จิ้งจอกน้อยสีขาวตัวหนึ่งยื่นหัวออกมาจากอกเสื้อของเขา มันแสดงท่าทางขุ่นเคืองและน่าสงสาร พลางร้องเรียกหาซูจิ่นซีที่นอนอยู่บนเตียงไม่หยุด

ทันใดนั้น มือเรียวยาวของเขาก็ตบเข้าที่หัวของจิ้งจอกน้อยอย่างแผ่วเบา จิ้งจอกน้อยพลันรู้สึกมึนงง มันคิดจะกระโดดออกไป ทว่าราวกับมีเวทมนตร์สะกดไว้ ทำให้ขยับเขยื้อนไม่ได้

“อืม… ”

แม่นมฮวากับลวี่หลีที่กำลังหลับใหล รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวบางอย่าง พวกนางเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาพร่ามัว ทว่าไม่เห็นสิ่งใดแม้แต่น้อย ทันใดนั้น จิ่วหรงพลันสะบัดแขนเสื้อ เมื่อสายลมพัดผ่านแผ่วเบา พวกนางจึงกลับเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง

“เด็กโง่! ”

จิ่วหรงเดินมานั่งที่ข้างเตียง ก่อนจะยื่นมือออกไปลูบไล้จัดแต่งเส้นผมที่ยุ่งเหยิงบริเวณขมับของซูจิ่นซี ชุดสีขาวสง่างามของเขาทำจากเนื้อผ้าที่มีคุณภาพยอดเยี่ยม ต่อให้ลุกหรือนั่งตามแต่ใจ เนื้อผ้าก็ลื่นไหลราวกับสายน้ำ ไม่ทำให้เกิดรอยยับแม้แต่น้อย

ในเวลานี้ ซูจิ่นซีสามารถนอนหลับพักผ่อนได้อย่างสงบโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดทุกข์ทรมานเหมือนตอนกลางวัน เนื่องจากอวิ๋นจิ่นและซูอวี้ช่วยกันทำแผลให้นางอย่างดี

จิ่วหรงจ้องมองใบหน้าซูจิ่นซีอย่างเงียบงันดุจสายน้ำ เสียงลมหายใจของเขาบางเบาจนแทบไม่ได้ยิน เหมือนว่าเขาไม่มีตัวตน

ทันใดนั้น ซูจิ่นซีที่นอนหลับลึกพลันแสดงท่าทีราวกับเจ็บปวดจากฝันร้าย นางนอนกระสับกระส่ายไปมา

ราวกับบางอย่างที่อยู่ภายในใจต้องการระบายออกมา

ขณะเดียวกัน จิ้งจอกน้อยที่อยู่ในอกเสื้อของจิ่วหรงก็มีท่าทีกระสับกระส่ายเช่นกัน มันต้องการกระโดดออกจากอกเสื้อของจิ่วหรง

จิ่วหรงขมวดคิ้วเล็กน้อยและดึงจิ้งจอกน้อยออกมาโยนลงบนพื้น

จิ้งจอกน้อยเหมือนถูกกระตุ้นด้วยสิ่งใดบางอย่าง มันตะเกียกตะกายอยู่ข้างเตียงซูจิ่นซีอย่างคลุ้มคลั่ง ปากขยับส่งเสียงร้องไม่หยุด โชคดีที่จิ่วหรงร่ายเวทย์ปิดปากของมันไว้ จึงไม่มีเสียงดังเล็ดลอดออกมา ไม่เช่นนั้นอาจทำให้องครักษ์ที่คุ้มกันอยู่ด้านนอกตกใจได้

จิ่วหรงมองจิ้งจอกน้อยด้วยสายตาอ่อนโยนและลูบหลังของมันแผ่วเบา ก่อนจะหันไปมองซูจิ่นซีที่นอนอยู่บนเตียง

จิ่วหรงค่อยๆ ยกฝ่ามือเรียวยาวขึ้น ทันใดนั้น แสงสว่างสีฟ้าก็ปรากฏที่กลางฝ่ามือ จิ่วหรงพลิกฝ่ามือเล็งไปที่กำไลปี่อั้นบนข้อมือของซูจิ่นซี

เมื่อลำแสงสีฟ้าส่องกระทบกำไลปี่อั้นเป็นเวลานาน ลวดลายของดอกปี่อั้นสีโลหิตก็ราวกับถูกกระตุ้นให้ผลิบาน มันเปล่งประกายสดใสเสมือนจริง

จิ่วหรงสะบัดมือไปทางพื้นที่ว่างข้างตนเองอย่างรวดเร็ว ดึงเอาสัตว์เทพกิเลนที่อยู่ในอาคมกำไลปี่อั้นออกมา

เมื่อสัตว์เทพกิเลนตกลงบนพื้น ร่างกายของมันก็กลับมามีขนาดใหญ่ดังเดิม แววตาจิ่วหรงพลันเคร่งขรึม เขาพลิกฝ่ามือปรากฏแสงสีฟ้าขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับแผ่พลังที่แข็งแกร่งกดลงไปที่หัวของสัตว์เทพกิเลน

สัตว์เทพกิเลนที่คลุ้มคลั่งค่อยๆ สงบลงแต่โดยดี จิ่วหรงคลายมือออก เมื่อสัตว์เทพกิเลนเห็นว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าคือจิ่วหรง มันจึงเดินเข้าไปหาและหมอบอยู่แทบเท้าจิ่วหรงอย่างเชื่อฟัง