ใบหน้าของจิ่วหรงสงบเยือกเย็น เขานั่งลงข้างเตียงซูจิ่นซีด้วยท่วงท่าสง่างาม เฝ้ามองซูจิ่นซีอย่างเงียบงันโดยไม่เคลื่อนไหวและไม่ปริปากพูดอันใด
ณ เรือนแห่งหนึ่งในเขตชายแดนเมืองตี้จิงแคว้นจงหนิง เว่ยเหม่ยเจียที่ควรจะเสียชีวิตด้วยน้ำมือของเยี่ยโยวเหยาค่อยๆ พลิกตัว
แม้คนจะฟื้น ทว่านางถูกซูจิ่นซีทำร้ายที่แกนกระดูกสันหลังจึงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ใบหน้าที่ถูกปิ่นปักผมแทงจนเกิดบาดแผล เวลานี้บวมปูดเท่าไข่ห่าน น้ำเหลืองและเลือดผสมปนเป แทบมองเห็นกระดูกบนใบหน้า ช่างดูน่ากลัวยิ่งนัก
“ที่… ที่นี่ที่ไหน? ”
เว่ยเหม่ยเจียพยายามลุกขึ้นนั่ง ทว่าพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็ไม่สามารถขยับตัวได้ ทันใดนั้น นางก็เหลือบไปเห็นคนผู้หนึ่งที่มีรูปร่างงดงามนั่งอยู่ข้างโต๊ะ จึงเอ่ยถามขึ้น
คนผู้นั้นค่อยๆ หันกลับมา แม้จะอยู่ภายใต้แสงสลัวทำให้มองเห็นไม่ชัดนัก ทว่าเครื่องประดับศีรษะและไหมทองที่ประดับประดาบนเสื้อผ้ากลับสะท้อนแสงเป็นประกายระยิบระยับ
เว่ยเหม่ยเจียชะงักงัน จ้องมองสตรีอายุราวสี่สิบปีเศษด้วยความตกตะลึง ตลอดชีวิตนี้ของนาง สตรีที่งดงามที่สุดที่นางเคยเห็นคือเฉินไท่เฟย
เฉินไท่เฟยมีพระสิริโฉมงดงาม ไม่ต้องพูดถึงในแคว้นจงหนิง กระทั่งทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเหอ เฉินไท่เฟยก็นับเป็นหนึ่งไม่มีสอง
อย่างไรก็ตาม นึกไม่ถึงว่าบนโลกใบนี้ยังมีสตรีที่งดงามและสวยสง่ายิ่งกว่าเฉินไท่เฟย
“ท่าน… ท่านเป็นใคร? ” เว่ยเหม่ยเจียไม่สามารถปกปิดความหวาดกลัวภายในใจได้ “ท่าน… ช่วยชีวิตข้าหรือ? ”
เว่ยเหม่ยเจียรู้ดี ในตอนนั้นที่เยี่ยโยวเหยาซัดฝ่ามือใส่นาง นางต้องตายแน่นอน ทว่าบัดนี้กลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญเป็นแน่
สตรีนางนั้นยกแขนเสื้อขึ้นปิดบังใบหน้าและโบกสะบัดครั้งหนึ่ง เมื่อเปิดเผยใบหน้าอีกครั้ง ใบหน้าที่งดงามพลันแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าเหี่ยวย่นของหญิงชราที่มีอายุราวหกสิบเจ็ดสิบปี
“ท่านย่า… ”
เว่ยเหม่ยเจียรู้จักคนที่อยู่เบื้องหน้า นางคือหญิงชราที่อยู่ในตำหนักหนานย่วนคืนนั้น
เว่ยเหม่ยเจียพยายามพลิกตัวลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้น ทว่าร่างกายของนางไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ดวงตาของนางเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาแห่งความยินดี
“ท่านย่า… เรื่องที่ท่านสั่งให้เหม่ยเจียทำ เหม่ยเจียทำสำเร็จแล้ว เหม่ยเจียไม่เพียงทำร้ายซูจิ่นซีเท่านั้น ทั้ง… ทั้งยังเห็นอย่างชัดเจนว่าด้านหลังของซูจิ่นซีมีลวดลายรูปกิเลนสองตัวกำลังเหยียบดอกปี่อั้น เช่นนั้น เรื่องที่ท่านย่ารับปากเหม่ยเจียไว้ สามารถทำการแลกเปลี่ยนได้หรือไม่? ”
ฮูหยินปิงจียกมือขึ้นโบกอีกครั้ง ใบหน้าจึงแปรเปลี่ยนเป็นงดงามเหมือนก่อนหน้านี้
“ซูจิ่นซี เจ้าเป็นลูกหลานเผ่าเม้ยจริงๆ บัดนี้ข้าไม่สงสัยอันใดอีกแล้ว นอกจากนั้น… หยกกิเลนทั้งสองชิ้นได้รับความเสียหาย ยากฟื้นฟูให้กลับมาเป็นปกติในเวลาอันสั้น ทั้งสัตว์เทพกิเลนยังไม่สามารถอาศัยอยู่บนแท่นบูชาได้ จำเป็นต้องออกไปชั่วคราว เมื่อไม่มีสัตว์เทพกิเลนคอยคุ้มครอง สวรรค์ก็อยู่ในกำมือข้า… เรื่องยิ่งง่ายดายขึ้นมาก สวรรค์เข้าข้างข้าแล้ว! ”
ฮูหยินปิงจีแสดงออกอย่างบ้าคลั่ง นางพูดความลับบางอย่างที่ผู้อื่นไม่ควรรับรู้ออกมา น่าเสียดายที่เว่ยเหม่ยเจียไม่เข้าใจเลยสักคำ สิ่งที่นางใส่ใจมากที่สุดในตอนนี้คือเรื่องที่ยึดติดอยู่ภายในใจ และเป็นเรื่องที่นางยืนหยัดมาตลอดชีวิต
อย่างไรก็ตาม เว่ยเหม่ยเจียเป็นคนเฉลียวฉลาด จึงเข้าใจเป็นอย่างดีว่ายิ่งนางร้อนใจมากเท่าไร ยิ่งต้องสงบอารมณ์มากเท่านั้น เรื่องบางเรื่องไม่อาจรีบร้อนได้
เว่ยเหม่ยเจียอดกลั้นต่อความเจ็บปวดบนร่างกาย นางควบคุมใบหน้าให้สงบนิ่งพลางยกยิ้มสดใสที่มุมปาก “เหตุผลที่เหม่ยเจียทำได้ราบรื่นเช่นนี้ เพราะฮูหยินวางแผนไว้อย่างยอดเยี่ยม ฮูหยินคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่าซูจิ่นซีจะต้องป้องกันตนเอง ดังนั้นต้องให้เหม่ยเจียบาดเจ็บเสียก่อน ใช้แผนแสร้งเจ็บตัวทำให้นางคลายความระมัดระวัง จากนั้น… ฮูหยินก็คอยช่วยเหลือ ทำให้แผนการนี้สำเร็จได้อย่างราบรื่น! ”
แววตาสงบนิ่งของฮูหยินปิงจีพลันปรากฏความเชื่อมั่นในตนเอง นางทอดสายตาออกไปมองดวงจันทร์ด้านนอกหน้าต่าง “หึ! ข้าชุบเลี้ยงโยวเหยามาตั้งแต่เด็ก ย่อมเข้าใจนิสัยของเขามากที่สุด สตรีที่สามารถข้าไปอยู่ในใจของโยวเหยาได้ ต้องไม่ใช่สตรีธรรมดาแน่นอน”
แม้ฮูหยินปิงจีไม่ได้ชื่นชอบซูจิ่นซีเท่าใดนัก ทว่าสิ่งที่นางพูดกลับเป็นความจริง และเป็นความจริงที่ทำให้จิตใจของเว่ยเหม่ยเจียสั่นไหว ราวกับคลื่นกระเพื่อมเมื่อนกนางแอ่นบินกระทบผิวน้ำ เจ็บปวดลึกเข้าไปในจิตใจโดยไร้ซึ่งบาดแผล
อย่างไรก็ตาม เว่ยเหม่ยเจียกลับปกปิดความรู้สึกเหล่านั้นไว้ภายในจิตใจ นัยน์ตาของนางฉายแววเจ็บปวดเล็กน้อย ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มดังเดิมเมื่อจ้องมองฮูหยินปิงจี
“ที่แท้ใบหน้าของท่านย่าก็เป็นเช่นนี้ ไม่สิ! เหม่ยเจียต้องเรียกท่านว่าฮูหยิน ฮูหยิน ท่านช่างงดงามยิ่งนัก เกรงว่าใต้หล้านี้คงไม่มีผู้ใดงดงามเท่าฮูหยินอีกแล้ว”
“งดงามแล้วมีประโยชน์อันใด? มันเป็นเพียงเปลือกนอกที่ไม่จีรังยั่งยืน แม้จะมีใบหน้าที่งดงาม แม้ผู้คนนับหมื่นจะชื่นชมในความงามของเจ้า ทว่าใต้หล้านี้ยังมีคนผู้หนึ่งที่ไม่เคยชายตามองเจ้าสักครั้ง… ”
ใบหน้าของฮูหยินปิงจีเผยให้ความเจ็บปวดในส่วนลึกของจิตใจ ผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงหันกลับมามองเว่ยเหม่ยเจีย “ทว่าสาวน้อย เจ้านี่ปากหวานใช่ย่อย”
เว่ยเหม่ยเจียแย้มยิ้มอ่อนหวาน “ฮูหยิน… สิ่งที่ฮูหยินรับปากเหม่ยเจียไว้… ”
“วางใจเถิด ในเมื่อข้ารับปากเจ้าแล้ว ย่อมไม่มีทางกลับคำพูด ต่อไปหากงานใหญ่ของโยวเหยาสำเร็จ ตำหนักหลังของเขา เจ้าย่อมมีส่วนด้วยอีกคน”
“ขอบคุณฮูหยิน ขอบคุณฮูหยิน! ”
เว่ยเหม่ยเจียรีบแสดงความขอบคุณ นางปลาบปลื้มยินดีจนน้ำตาไหลรินออกมาทางหางตา
“เจ้าอย่าขอบคุณเร็วเกินไปนัก สภาพของเจ้าในตอนนี้ ไม่รู้ว่ายังสามารถฟื้นฟูให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือไม่ เพียงรอดชีวิตมาได้ก็นับว่าสวรรค์คุ้มครองแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น… ต่อไปโยวเหยาจะได้เป็นจักรพรรดิในใต้หล้า ตำแหน่งในวังหลังของเขา ใช่ว่าจะให้ใครนั่งได้ง่ายๆ ”
ดังนั้นเว่ยเหม่ยเจียจึงเป็นได้เพียงนางสนมเท่านั้น
แม้ในใจของเว่ยเหม่ยเจียจะไม่ยอมรับ ทว่านางก็พอใจแล้ว ดวงตาของนางพลันเปล่งประกายแวววาว “เพียงสามารถอยู่ข้างกายเสด็จพี่ สามารถเป็นสตรีคนหนึ่งของเสด็จพี่ ชั่วชีวิตนี้เหม่ยเจียก็พอใจแล้ว แม้ไม่ได้ครอบครองหัวใจเขา เหม่ยเจียก็ไม่นึกเสียใจ”
ฮูหยินปิงจีถอนหายใจแผ่วเบาและไม่ได้พูดอันใดอีก นางเดินออกไปข้างนอกพลางออกคำสั่งให้ลูกน้องเข้ามาอุ้มเว่ยเหม่ยเจีย
ค่ำคืนเงียบสงัด แสงจันทร์ค่อยๆ ลาลับ พระอาทิตย์ปรากฏที่ขอบฟ้าแนวสันเขา ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว
“เด็กโง่ อาจารย์ต้องไปก่อนแล้ว เจ้าวางใจเถิด สักวันอาจารย์จะพาเจ้ากลับไปยังสำนักแพทย์เทียนอีอย่างแน่นอน เจ้ากับข้าจะเร้นกายอยู่กันอย่างเรียบง่าย ไม่ต้องกังวลเรื่องราวในโลกอีกต่อไป
‘จี๊ด จี๊ด จี๊ด… ’
จิ้งจอกน้อยส่งเสียงเรียกซูจิ่นซีที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียง มันกระโดดเข้าไปในอกเสื้อของจิ่วหรงอย่างไม่เต็มใจนัก และโผล่หัวออกมาทางแขนเสื้อ
จิ่วหรงหันไปมองสัตว์เทพกิเลนที่นอนหลับสนิทแทบเท้าตนเอง
“ในเวลานี้ ข้างกายนายของเจ้าคงไม่มีพื้นที่ให้เจ้าแล้ว เจ้าไปกับข้าก่อนเถิด! วันข้างหน้าค่อยพบกับเจ้านายของเจ้าอีกครั้ง”
จิ่งหรงพูดพลางโบกแขนเสื้อ ดึงสัตว์เทพกิเลนเข้าไปอยู่ด้านใน