ตอนที่ 74 เราเป็นฮ่องเต้ผู้ประเสริฐ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เป็นถึงไทเฮาแท้ๆ แต่ธรรมเนียมเล็กน้อยยังไม่รู้จักกระทำหรือ? น่าอับอายขายหน้านัก!  

 

 

แต่ว่าหากถอยอออกมาพิจารณาดูห่างๆ ต่อให้วันนี้นางและตู๋กูจุนนำสิ่งของมากราบไหว้ก็ตาม ยังจะเปรียบเทียบกับเต๋อเฟยได้อีกหรือ?  

 

 

นั่นเป็นยันต์เสริมดวงในภพหน้าที่ใช้เวลาตั้งแต่ครึ่งปีอ้อนวอนขอมาด้วยความยากลำบาก!  

 

 

แล้วยังได้อ้อนวอนขอมาจากท่านนักพรตอู๋เจินเชียวนะ! ท่านนักพรตอู๋เจินเนี่ย! ผู้คนมากมายตั้งเท่าไหร่ที่ทั้งไปคำนับไปกราบไหว้อยู่หลายครั้งก็ยังไม่ได้เข้าพบ!  

 

 

 

 

 

วันนี้ต่อให้ตู๋กูซิงหลันนำไข่มุกลูกเท่าศีรษะมาเซ่นไหว้ก็ยังเทียบไม่ได้อยู่ดี 

 

 

นอกจากว่า……..นางจะสามารถหายันต์ที่สุดยอดมากกว่านี้มาได้ 

 

 

แต่ว่าเจียงเหม่ยหยู่ขบคิดจนสมองระเบิดก็ยังคิดไม่ออก ว่าในโลกนี้จะยังมียันต์ใดที่เหนือล้ำกว่ายันต์เสริมดวงในภพหน้าเช่นนี้อีก นางไม่เคยเห็นมาก่อนเลยจริงๆ  

 

 

 

 

 

“จริงด้วย ไทเฮาเพคะ ท่านแม่ทัพผู้พิชิต ด้วยฐานะของท่านทั้งสองคงไม่ถึงขนาดที่ว่า แม้แต่ของเซ่นไหว้สักชิ้นก็ยังไม่มีหรอกใช่ไหม? ” มีบางคนเริ่มพูดตามขึ้นมา 

 

 

ผู้คนที่มากันในวันนี้ ก็ใช่ว่าจะมีแต่มิตรสหายในอดีตของตระกูลตู๋กูเท่านั้น ยังมีพวกคิดจะมาจับปลาตอนน้ำขุ่นอยู่ไม่น้อย เมื่อเห็นว่ามีเรื่องสนุกก็ย่อมไม่พลาดที่จะขยายความให้เป็นเรื่องใหญ่ 

 

 

อย่าว่าแต่ฮ่องเต้ก็ยังทรงประทับอยู่ที่นี่ด้วย ทุกคนต่างก็รู้กันดีว่า ฝ่าบาทไม่โปรดตระกูลตู๋กู ถึงแม้ว่าวันนี้จะมาเพื่อกราบไหว้สุสานของเย่วฮูหยินก็เถอะ แต่ว่าน้ำหนักน่าจะไปทางเสด็จมาชมเรื่องน่าหัวเราะเยาะเสียมากกว่าละมั้ง? 

 

 

ดังนั้นหากว่าใครสามารถสร้างเรื่องมาหยามหยันสองพี่น้องตู๋กูจุนได้สักหน่อย ก็อาจจะเรียกความสนพระทัยจากฝ่าบาทได้ 

 

 

 

 

 

ฮ่องเต้ทรงประทับยืนอยู่ท่ามกลางหมู่บุปผา ไม่ได้ทรงตรัสสิ่งใด พระองค์กำลังดำริว่า เมื่อเอาตัวตู๋กูซิงหลันกลับวังไปแล้วจะทรงให้แขวนเอาไว้แล้วเฆี่ยน หรือว่ามัดเอาไว้แล้วทุบ หรือว่าเอาแก้วแหวนสมบัติแวววาวทั้งหลายมาวางหราต่อหน้านางให้นางดูจนตาบอดดี 

 

 

ดวงตาคู่นั้นแม้แต่ฮ่องเต้ผู้องอาจเปี่ยมบุญบารมีเช่นพระองค์ยังทำเป็นมองไม่เห็น มีเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์เสียเปล่าๆ 

 

 

หลี่กงกงที่ยืนอยู่ข้างพระองค์เหงื่อไหลโทรมไม่หยุด ทั้งไม่ลืมที่จะหาช่องสบตาตู๋กูซิงหลันให้ได้ ไทเฮาของบ่าวเอ๋ย วอนท่านตรัสกับฝ่าบาทสักคำเถอะ! 

 

 

ต่อให้เป็นแค่เสียง ‘ไง’ ก็ได้พะยะค่ะ 

 

 

แต่ว่าตู๋กูซิงหลันกลับทำเสมือนตาบอด แม้แต่หลี่กงกงก็ยังมองไม่เห็นเสียแล้ว 

 

 

ตอนนี้นางไม่อยากมองหน้าจีเฉวียน พอมองหน้าจีเฉวียนในสมองเป็นต้องเห็นภาพศีรษะของเขาถูกตัดขาด เลือกกระเด็นพุ่งสูงขึ้นไปสามเมตร 

 

 

และยิ่งสมองแล่นนางยิ่งรู้สึกตื่นเต้นสะใจ…… 

 

 

นางกลัวว่าหากมองมากไป ตัวเองจะอดใจไม่ไหว ไปคว้าเอาดาบของพี่ใหญ่มาตัดหัวเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่ด้วยตนเอง 

 

 

อีกด้านหนึ่ง ตู๋กูจุนมองดูพวกชอบกระพือไฟสร้างเรื่องพวกนั้น เขาอยากจะตวัดดาบออกไปปาดลิ้นพวกมันให้หมด แต่ละตัวจิ๊ๆ จ๊ะๆ ช่างน่าหนวกหูแทบตายแล้ว 

 

 

หากไม่ใช่เพราะเขารับปากน้องเล็กเอาไว้ตั้งแต่แรก ว่าไม่อาจลงมือโดยพลการ พวกมันจะอวดกล้าถึงเพียงนี้หรือ? 

 

 

กองทหารของตระกูลตู๋กูเองก็ยืนประจำอยู่ด้านหลังของพวกเขา คุณหนูถูกคนรังแกทั้งที่อยู่ต่อหน้าต่อตาพวกเขาเช่นนี้นะหรือ? 

 

 

ไม่เห็นหรือไง? ดาบใหญ่ของพวกเขากำลังกระหายจนยากจะระงับไว้แล้ว 

 

 

ท่ามกลางเสียงพูดคุยพึมพำของผู้คน เต๋อเฟยค่อยออกปากกล่าวอย่างอ่อนโยนแผ่วเบาว่า “ทุกท่านอย่าได้มัวแต่พูดกันอยู่เลย ทุกสิ่งที่ข้าทำไม่ถือว่ามีค่าอะไร ไทเฮาและท่านแม่ทัพต่างก็เป็นหลายชายหลานสาวสายตรงของเย่วฮูหยิน ขอเพียงพวกเขามาก็ถือว่าเป็นการให้ความเคารพเย่วฮูหยินอย่างที่สุดแล้ว” 

 

 

ฟังสิฟัง! ระหว่างคนกับคนทำไมถึงได้ผิดแผกแตกต่างกันจนถึงขนาดนี้นะ? 

 

 

แค่มาก็ถือว่าให้ความเคารพอย่างที่สุดแล้ว แบบนี้มันมีที่ไหนกัน ลูกหลานที่อกตัญญูเช่นนี้ จะมีหรือไม่มีก็ถือว่าช่างเถอะ! 

 

 

“พระสนมเต๋อเฟยเพคะ ท่านช่างงดงามและมีเมตตา แคว้นต้าโจวมีพระสนมเช่นท่านถือเป็นบุญยิ่งนัก” เจียงเหม่ยหยู่รีบกล่าว 

 

 

จากนั้นนางก็ไม่ลืมหันไปมองสองเดรัจฉานสายตรงนั่นด้วยสายตาตำหนิ ทำไมนะทำไมฝ่าบาทถึงไม่ทรงขังนังเด็กร้ายกาจนั่นเอาไว้ในตำหนักเย็นจนตายไปเลยนะ? 

 

 

ปล่อยมันออกมาง่ายๆ ให้เป็นปีศาจเช่นนี้น่ะหรือ? 

 

 

แล้วก็เจ้าตู๋กูจุนนั่น ให้มันอยู่ที่ชายแดนดินแดนเป่ยเจียงนั่นไป อย่าได้กลับมาตลอดไปเลยก็ดี! 

 

 

พอพวกเขาชื่นชมเต๋อเฟยกันเสร็จแล้ว ก็เริ่มหันปลายหอกมาทางตู๋กูจุนพี่ชายน้องสาว 

 

 

ก็ผ่านมาตั้งครู่ใหญ่แล้ว ฝ่าบาทยังไม่ทรงตรัสสิ่งใดสักคำ แสดงว่าทรงพอพระทัยกับการแสดงออกของพวกเขาแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันโก่งคิ้วงามดั่งคิ้วไต้หยู่ขึ้น ใช้มือตีหน้าผากตนเองเบาๆ ดวงหน้าของนางแดงเล็กน้อย คล้ายกับละอายจนอยากจะมุดพื้นลงไปอยู่รอมร่อ 

 

 

เห็นท่าทางของนางเช่นนั้น ผู้คนก็ยิ่งเปิดประเด็นสร้างข้อหาขึ้นมาอีก 

 

 

“ไทเฮา พะยะค่ะ ท่านแม่ทัพ ขอรับ เหตุใดพวกท่านจึงไม่กล่าววาจาเสียบ้าง คงจะไม่ใช่เพราะว่าไม่ได้เตรียมอะไรมาจริงๆ ใช่ไหม? “ 

 

 

ในยามนี้จีเย่ว์ปวดใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว ไม่ว่าเสียนไท่เฟยจะรั้งเอาไว้อย่างไรเขาก็ต้องการจะไปยืนอยู่เคียงข้างตูกูซิงหลัน 

 

 

เขาก้าวออกไปด้านหน้าหลายก้าวใหญ่ ยืนขวางอยู่ด้านหน้าของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ สายตาเปี่ยมไปด้วยแววเย็นชา กวาดมองผู้คนทั้งหลาย “ที่พวกเจ้าพากันมาในวันนี้ ก็เพื่อจะมากราบไหว้เย่วฮูหยิน หรือว่ามาหาเรื่องกัน? “ 

 

 

ผู้คนทั้งหลายต่างตกตะลึงไป แทบจะไม่มีใครคิดมาก่อนว่าอี้อ๋องจะกล้าพูดคลี่คลายสถานการณ์ให้กับตู๋กูซิงหลัน 

 

 

“ไทเฮาพระชนม์มายุยังเยาว์ ถูกกักอยู่ในตำหนักเย็นมาตั้งนาน แม้แต่อาหารยังกินไม่อิ่มท้อง พวกเจ้าจะหวังให้นางเอาสิ่งใดมากราบไหว้กัน? “ 

 

 

เขาเคยเห็นกับตาตนเอง นางหิวโหยเสียจนต้องลอบเข้าไปห้องเครื่องเพื่อขโมยของกิน 

 

 

ผู้คนทั้งหลายต่างก็รู้กันดีว่า อี้อ๋องเป็นบุรุษที่สุภาพอ่อนโยนมาโดยตลอด แต่ว่ามาคราวนี้ น้ำเสียงของเขากลับเหน็บหนาวและเย็นชาราวกระบี่เล่มหนึ่ง 

 

 

ดาบทะลายภูผาของพี่ใหญ่เบื่อหน่ายจนทนไม่ไหวแล้ว นี่มันเรื่องตลกอันใด? ตอนที่น้องเล็กอยู่ในตำหนักเย็นแม้แต่ข้าวก็ได้กินไม่พออิ่มท้องหรือ? 

 

 

จีเฉวียนไอ้ฮ่องเต้สุนัข มันทำเช่นนั้นจริงๆ เรอะ! 

 

 

เขาหันไปมองจีเฉวียน แต่จีเฉวียนกลับทอดพระเนตรไปยังจีเย่ว์กับตู๋กูซิงหลัน 

 

 

ดาบทะลายภูผาเล่มใหญ่ยังไม่ทันได้ขยับ ก็เห็นฮ่องเต้ทรงสบัดชายแขนฉลองพระองค์ เสด็จมาทางด้านข้างของตู๋กูซิงหลัน 

 

 

สายลมพัดโชยฉลองพระองค์สีดำของพระองค์ กระทั่งพระเกศาดกดำยาวก็พลอยเริงรำบำขยับปลิว สายพระเนตรเปล่งประกายเย็นยะเยือกราวกับแสงสะท้อนจากภูเขาน้ำแข็ง 

 

 

ชั่วขณะนั้นราวกับว่ามีไอเย็นกำจายรายล้อมออกมาจากรอบพระองค์ 

 

 

พระองค์มิได้ทรงทอดพระเนตรมองอี้อ๋องแม้แต่น้อย แต่กลับดึงตู๋กูซิงหลันมาที่ด้านข้างพระองค์ ฝ่ามือใหญ่โตนั่นเกาะกุมข้อมือของนางไว้อย่างแม่นมั่น สายพระเนตรคมกล้าและเย็นชา 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยั้งตัวไม่ทันก็กระแทกเข้ากับพระอุระ ศีรษะของนางแทบจะปูดบวมเป็นก้อนซาลาเปาขึ้นในทันที 

 

 

วิญญาณทมิฬบอกไว้แล้วไม่ผิด เจ้าสุนัขนี่มันกินหินเข้าไปถึงได้โตขึ้นมาได้! 

 

 

ขณะเดียวกัน ตู๋กูจุนและผู้ติดตามของเขาก็พากันชักดาบออกมา 

 

 

จีเย่ว์เองก็ยื่นหัตถ์ออกมา คิดจะดึงเอวตู๋กูซิงหลันกลับไป 

 

 

จุ๋ๆๆ สถานะการณ์ตอนนี้ พาให้ผู้คนใจเต้นตื่นตะลึงด้วยกันทั้งนั้น! 

 

 

ดูเอาสิ ฝ่าบาททรงพิโรธเข้าแล้วจริงๆ แน่นอนว่าจะต้องเป็นเพราะอี้อ๋องและตู๋กูซิงหลันแอบลอบกลับมาสานสัมพันธ์กัน ทั้งยังมุ่งหมายในพระราชบัลลังก์ 

 

 

ขณะที่ผู้คนต่างก็คิดว่าพระองค์ทรงพิโรธขึ้นมาแล้ว ดำริจะประหารผู้คนขึ้นมานั้น ก็เห็นฝ่าบาททรงเค้นรอยยิ้มออกมาจากพระพักตร์ จดจ้องไปยังตู๋กูซิงหลันตรัสว่า “ไทเฮาทรงลืมนำสิ่งของออกจากวังมาด้วยแล้ว “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันชะงักไปจนถูกพระองค์แย้มสรวลเยือกเย็นเข้าใส่ คนอดรู้สึกหนาววูบขึ้นมาทั้งตัวไม่ได้ 

 

 

ผู้คนทั้งหลายต่างก็ คอยืดคอยาวกันขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ ตกลงว่านางลืมนำสิ่งใดมาด้วยนะ! 

 

 

เพียงครู่เดียว ก็เห็นฝ่าบาททรงมีดาบจากที่ใดก็ไม่อาจทราบได้กำอยู่ในพระหัตถ์ ตัดพระเกศาริมพระกันต์ออกมาอย่างเบามือ แล้ววางลงในใจกลางฝ่ามือของตู๋กูซิงหลัน 

 

 

ผู้คนทั้งหมดต่างตกตะลึงไปแล้ว ร่างกาย ผิวหนังและเส้นผม ล้วนเป็นสิ่งที่ได้รับจากบิดามารดา ไม่อาจทำลายได้! 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็กล่าวสิ่งใดไม่ออก ได้แต่มองดูปอยผมที่สามารถนับได้ด้วยตาเปล่าในมือตนเอง เจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่ทำอะไร? 

 

 

จีเฉวียนทรงกุมมือของนางไว้ พันปลายผมทบเข้าในฝ่ามือของนาง ค่อยตรัสด้วยพระพักตร์เฉยชาว่า “เจ้าไม่ใช่ว่าพยายามอ้อนวอนขอร้องเรา ว่าต้องการหนวดมังกรจากเรา เพื่อนำกลิ่นอายของโอรสสวรรค์มาเซ่นไหว้ท่านย่าหรอกหรือ? ทำไมเรื่องสำคัญเช่นนี้ถึงได้ลืมไปได้เล่า? 

 

 

ฮึ สตรีเอ๋ย ขอบพระทัยเราสิ! ดูสิว่าเราทำให้เจ้ามีหน้ามีตามากเพียงไร! 

 

 

เราเป็นฮ่องเต้ผู้ประเสริฐที่แท้จริง! 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “!!! “ 

 

 

นางลืมตากลมโตใส่บุรุษที่อยู่ตรงหน้า จดจ้องไปบนนิลเม็ดใหญ่ที่ประดับที่อยู่บนรัดเกล้าด้วยสีหน้าเจ็บปวด ไอ้ฮ่องเต้สุนัขสุดตระหนี่ขี้งก! เอาผมมาให้ไม่กี่เส้นมาทำเหลวไหลกับผู้อื่น! 

 

 

หากว่ามีความสามารถจริง ก็เอานิลเม็ดนั้นลงมาเป็นของเซ่นไหว้สิ ขอบใจ!