เป็นถึงไทเฮาแท้ๆ แต่ธรรมเนียมเล็กน้อยยังไม่รู้จักกระทำหรือ? น่าอับอายขายหน้านัก!
แต่ว่าหากถอยอออกมาพิจารณาดูห่างๆ ต่อให้วันนี้นางและตู๋กูจุนนำสิ่งของมากราบไหว้ก็ตาม ยังจะเปรียบเทียบกับเต๋อเฟยได้อีกหรือ?
นั่นเป็นยันต์เสริมดวงในภพหน้าที่ใช้เวลาตั้งแต่ครึ่งปีอ้อนวอนขอมาด้วยความยากลำบาก!
แล้วยังได้อ้อนวอนขอมาจากท่านนักพรตอู๋เจินเชียวนะ! ท่านนักพรตอู๋เจินเนี่ย! ผู้คนมากมายตั้งเท่าไหร่ที่ทั้งไปคำนับไปกราบไหว้อยู่หลายครั้งก็ยังไม่ได้เข้าพบ!
วันนี้ต่อให้ตู๋กูซิงหลันนำไข่มุกลูกเท่าศีรษะมาเซ่นไหว้ก็ยังเทียบไม่ได้อยู่ดี
นอกจากว่า……..นางจะสามารถหายันต์ที่สุดยอดมากกว่านี้มาได้
แต่ว่าเจียงเหม่ยหยู่ขบคิดจนสมองระเบิดก็ยังคิดไม่ออก ว่าในโลกนี้จะยังมียันต์ใดที่เหนือล้ำกว่ายันต์เสริมดวงในภพหน้าเช่นนี้อีก นางไม่เคยเห็นมาก่อนเลยจริงๆ
“จริงด้วย ไทเฮาเพคะ ท่านแม่ทัพผู้พิชิต ด้วยฐานะของท่านทั้งสองคงไม่ถึงขนาดที่ว่า แม้แต่ของเซ่นไหว้สักชิ้นก็ยังไม่มีหรอกใช่ไหม? ” มีบางคนเริ่มพูดตามขึ้นมา
ผู้คนที่มากันในวันนี้ ก็ใช่ว่าจะมีแต่มิตรสหายในอดีตของตระกูลตู๋กูเท่านั้น ยังมีพวกคิดจะมาจับปลาตอนน้ำขุ่นอยู่ไม่น้อย เมื่อเห็นว่ามีเรื่องสนุกก็ย่อมไม่พลาดที่จะขยายความให้เป็นเรื่องใหญ่
อย่าว่าแต่ฮ่องเต้ก็ยังทรงประทับอยู่ที่นี่ด้วย ทุกคนต่างก็รู้กันดีว่า ฝ่าบาทไม่โปรดตระกูลตู๋กู ถึงแม้ว่าวันนี้จะมาเพื่อกราบไหว้สุสานของเย่วฮูหยินก็เถอะ แต่ว่าน้ำหนักน่าจะไปทางเสด็จมาชมเรื่องน่าหัวเราะเยาะเสียมากกว่าละมั้ง?
ดังนั้นหากว่าใครสามารถสร้างเรื่องมาหยามหยันสองพี่น้องตู๋กูจุนได้สักหน่อย ก็อาจจะเรียกความสนพระทัยจากฝ่าบาทได้
ฮ่องเต้ทรงประทับยืนอยู่ท่ามกลางหมู่บุปผา ไม่ได้ทรงตรัสสิ่งใด พระองค์กำลังดำริว่า เมื่อเอาตัวตู๋กูซิงหลันกลับวังไปแล้วจะทรงให้แขวนเอาไว้แล้วเฆี่ยน หรือว่ามัดเอาไว้แล้วทุบ หรือว่าเอาแก้วแหวนสมบัติแวววาวทั้งหลายมาวางหราต่อหน้านางให้นางดูจนตาบอดดี
ดวงตาคู่นั้นแม้แต่ฮ่องเต้ผู้องอาจเปี่ยมบุญบารมีเช่นพระองค์ยังทำเป็นมองไม่เห็น มีเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์เสียเปล่าๆ
หลี่กงกงที่ยืนอยู่ข้างพระองค์เหงื่อไหลโทรมไม่หยุด ทั้งไม่ลืมที่จะหาช่องสบตาตู๋กูซิงหลันให้ได้ ไทเฮาของบ่าวเอ๋ย วอนท่านตรัสกับฝ่าบาทสักคำเถอะ!
ต่อให้เป็นแค่เสียง ‘ไง’ ก็ได้พะยะค่ะ
แต่ว่าตู๋กูซิงหลันกลับทำเสมือนตาบอด แม้แต่หลี่กงกงก็ยังมองไม่เห็นเสียแล้ว
ตอนนี้นางไม่อยากมองหน้าจีเฉวียน พอมองหน้าจีเฉวียนในสมองเป็นต้องเห็นภาพศีรษะของเขาถูกตัดขาด เลือกกระเด็นพุ่งสูงขึ้นไปสามเมตร
และยิ่งสมองแล่นนางยิ่งรู้สึกตื่นเต้นสะใจ……
นางกลัวว่าหากมองมากไป ตัวเองจะอดใจไม่ไหว ไปคว้าเอาดาบของพี่ใหญ่มาตัดหัวเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่ด้วยตนเอง
อีกด้านหนึ่ง ตู๋กูจุนมองดูพวกชอบกระพือไฟสร้างเรื่องพวกนั้น เขาอยากจะตวัดดาบออกไปปาดลิ้นพวกมันให้หมด แต่ละตัวจิ๊ๆ จ๊ะๆ ช่างน่าหนวกหูแทบตายแล้ว
หากไม่ใช่เพราะเขารับปากน้องเล็กเอาไว้ตั้งแต่แรก ว่าไม่อาจลงมือโดยพลการ พวกมันจะอวดกล้าถึงเพียงนี้หรือ?
กองทหารของตระกูลตู๋กูเองก็ยืนประจำอยู่ด้านหลังของพวกเขา คุณหนูถูกคนรังแกทั้งที่อยู่ต่อหน้าต่อตาพวกเขาเช่นนี้นะหรือ?
ไม่เห็นหรือไง? ดาบใหญ่ของพวกเขากำลังกระหายจนยากจะระงับไว้แล้ว
ท่ามกลางเสียงพูดคุยพึมพำของผู้คน เต๋อเฟยค่อยออกปากกล่าวอย่างอ่อนโยนแผ่วเบาว่า “ทุกท่านอย่าได้มัวแต่พูดกันอยู่เลย ทุกสิ่งที่ข้าทำไม่ถือว่ามีค่าอะไร ไทเฮาและท่านแม่ทัพต่างก็เป็นหลายชายหลานสาวสายตรงของเย่วฮูหยิน ขอเพียงพวกเขามาก็ถือว่าเป็นการให้ความเคารพเย่วฮูหยินอย่างที่สุดแล้ว”
ฟังสิฟัง! ระหว่างคนกับคนทำไมถึงได้ผิดแผกแตกต่างกันจนถึงขนาดนี้นะ?
แค่มาก็ถือว่าให้ความเคารพอย่างที่สุดแล้ว แบบนี้มันมีที่ไหนกัน ลูกหลานที่อกตัญญูเช่นนี้ จะมีหรือไม่มีก็ถือว่าช่างเถอะ!
“พระสนมเต๋อเฟยเพคะ ท่านช่างงดงามและมีเมตตา แคว้นต้าโจวมีพระสนมเช่นท่านถือเป็นบุญยิ่งนัก” เจียงเหม่ยหยู่รีบกล่าว
จากนั้นนางก็ไม่ลืมหันไปมองสองเดรัจฉานสายตรงนั่นด้วยสายตาตำหนิ ทำไมนะทำไมฝ่าบาทถึงไม่ทรงขังนังเด็กร้ายกาจนั่นเอาไว้ในตำหนักเย็นจนตายไปเลยนะ?
ปล่อยมันออกมาง่ายๆ ให้เป็นปีศาจเช่นนี้น่ะหรือ?
แล้วก็เจ้าตู๋กูจุนนั่น ให้มันอยู่ที่ชายแดนดินแดนเป่ยเจียงนั่นไป อย่าได้กลับมาตลอดไปเลยก็ดี!
พอพวกเขาชื่นชมเต๋อเฟยกันเสร็จแล้ว ก็เริ่มหันปลายหอกมาทางตู๋กูจุนพี่ชายน้องสาว
ก็ผ่านมาตั้งครู่ใหญ่แล้ว ฝ่าบาทยังไม่ทรงตรัสสิ่งใดสักคำ แสดงว่าทรงพอพระทัยกับการแสดงออกของพวกเขาแล้ว
ตู๋กูซิงหลันโก่งคิ้วงามดั่งคิ้วไต้หยู่ขึ้น ใช้มือตีหน้าผากตนเองเบาๆ ดวงหน้าของนางแดงเล็กน้อย คล้ายกับละอายจนอยากจะมุดพื้นลงไปอยู่รอมร่อ
เห็นท่าทางของนางเช่นนั้น ผู้คนก็ยิ่งเปิดประเด็นสร้างข้อหาขึ้นมาอีก
“ไทเฮา พะยะค่ะ ท่านแม่ทัพ ขอรับ เหตุใดพวกท่านจึงไม่กล่าววาจาเสียบ้าง คงจะไม่ใช่เพราะว่าไม่ได้เตรียมอะไรมาจริงๆ ใช่ไหม? “
ในยามนี้จีเย่ว์ปวดใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว ไม่ว่าเสียนไท่เฟยจะรั้งเอาไว้อย่างไรเขาก็ต้องการจะไปยืนอยู่เคียงข้างตูกูซิงหลัน
เขาก้าวออกไปด้านหน้าหลายก้าวใหญ่ ยืนขวางอยู่ด้านหน้าของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ สายตาเปี่ยมไปด้วยแววเย็นชา กวาดมองผู้คนทั้งหลาย “ที่พวกเจ้าพากันมาในวันนี้ ก็เพื่อจะมากราบไหว้เย่วฮูหยิน หรือว่ามาหาเรื่องกัน? “
ผู้คนทั้งหลายต่างตกตะลึงไป แทบจะไม่มีใครคิดมาก่อนว่าอี้อ๋องจะกล้าพูดคลี่คลายสถานการณ์ให้กับตู๋กูซิงหลัน
“ไทเฮาพระชนม์มายุยังเยาว์ ถูกกักอยู่ในตำหนักเย็นมาตั้งนาน แม้แต่อาหารยังกินไม่อิ่มท้อง พวกเจ้าจะหวังให้นางเอาสิ่งใดมากราบไหว้กัน? “
เขาเคยเห็นกับตาตนเอง นางหิวโหยเสียจนต้องลอบเข้าไปห้องเครื่องเพื่อขโมยของกิน
ผู้คนทั้งหลายต่างก็รู้กันดีว่า อี้อ๋องเป็นบุรุษที่สุภาพอ่อนโยนมาโดยตลอด แต่ว่ามาคราวนี้ น้ำเสียงของเขากลับเหน็บหนาวและเย็นชาราวกระบี่เล่มหนึ่ง
ดาบทะลายภูผาของพี่ใหญ่เบื่อหน่ายจนทนไม่ไหวแล้ว นี่มันเรื่องตลกอันใด? ตอนที่น้องเล็กอยู่ในตำหนักเย็นแม้แต่ข้าวก็ได้กินไม่พออิ่มท้องหรือ?
จีเฉวียนไอ้ฮ่องเต้สุนัข มันทำเช่นนั้นจริงๆ เรอะ!
เขาหันไปมองจีเฉวียน แต่จีเฉวียนกลับทอดพระเนตรไปยังจีเย่ว์กับตู๋กูซิงหลัน
ดาบทะลายภูผาเล่มใหญ่ยังไม่ทันได้ขยับ ก็เห็นฮ่องเต้ทรงสบัดชายแขนฉลองพระองค์ เสด็จมาทางด้านข้างของตู๋กูซิงหลัน
สายลมพัดโชยฉลองพระองค์สีดำของพระองค์ กระทั่งพระเกศาดกดำยาวก็พลอยเริงรำบำขยับปลิว สายพระเนตรเปล่งประกายเย็นยะเยือกราวกับแสงสะท้อนจากภูเขาน้ำแข็ง
ชั่วขณะนั้นราวกับว่ามีไอเย็นกำจายรายล้อมออกมาจากรอบพระองค์
พระองค์มิได้ทรงทอดพระเนตรมองอี้อ๋องแม้แต่น้อย แต่กลับดึงตู๋กูซิงหลันมาที่ด้านข้างพระองค์ ฝ่ามือใหญ่โตนั่นเกาะกุมข้อมือของนางไว้อย่างแม่นมั่น สายพระเนตรคมกล้าและเย็นชา
ตู๋กูซิงหลันยั้งตัวไม่ทันก็กระแทกเข้ากับพระอุระ ศีรษะของนางแทบจะปูดบวมเป็นก้อนซาลาเปาขึ้นในทันที
วิญญาณทมิฬบอกไว้แล้วไม่ผิด เจ้าสุนัขนี่มันกินหินเข้าไปถึงได้โตขึ้นมาได้!
ขณะเดียวกัน ตู๋กูจุนและผู้ติดตามของเขาก็พากันชักดาบออกมา
จีเย่ว์เองก็ยื่นหัตถ์ออกมา คิดจะดึงเอวตู๋กูซิงหลันกลับไป
จุ๋ๆๆ สถานะการณ์ตอนนี้ พาให้ผู้คนใจเต้นตื่นตะลึงด้วยกันทั้งนั้น!
ดูเอาสิ ฝ่าบาททรงพิโรธเข้าแล้วจริงๆ แน่นอนว่าจะต้องเป็นเพราะอี้อ๋องและตู๋กูซิงหลันแอบลอบกลับมาสานสัมพันธ์กัน ทั้งยังมุ่งหมายในพระราชบัลลังก์
ขณะที่ผู้คนต่างก็คิดว่าพระองค์ทรงพิโรธขึ้นมาแล้ว ดำริจะประหารผู้คนขึ้นมานั้น ก็เห็นฝ่าบาททรงเค้นรอยยิ้มออกมาจากพระพักตร์ จดจ้องไปยังตู๋กูซิงหลันตรัสว่า “ไทเฮาทรงลืมนำสิ่งของออกจากวังมาด้วยแล้ว “
ตู๋กูซิงหลันชะงักไปจนถูกพระองค์แย้มสรวลเยือกเย็นเข้าใส่ คนอดรู้สึกหนาววูบขึ้นมาทั้งตัวไม่ได้
ผู้คนทั้งหลายต่างก็ คอยืดคอยาวกันขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ ตกลงว่านางลืมนำสิ่งใดมาด้วยนะ!
เพียงครู่เดียว ก็เห็นฝ่าบาททรงมีดาบจากที่ใดก็ไม่อาจทราบได้กำอยู่ในพระหัตถ์ ตัดพระเกศาริมพระกันต์ออกมาอย่างเบามือ แล้ววางลงในใจกลางฝ่ามือของตู๋กูซิงหลัน
ผู้คนทั้งหมดต่างตกตะลึงไปแล้ว ร่างกาย ผิวหนังและเส้นผม ล้วนเป็นสิ่งที่ได้รับจากบิดามารดา ไม่อาจทำลายได้!
ตู๋กูซิงหลันเองก็กล่าวสิ่งใดไม่ออก ได้แต่มองดูปอยผมที่สามารถนับได้ด้วยตาเปล่าในมือตนเอง เจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่ทำอะไร?
จีเฉวียนทรงกุมมือของนางไว้ พันปลายผมทบเข้าในฝ่ามือของนาง ค่อยตรัสด้วยพระพักตร์เฉยชาว่า “เจ้าไม่ใช่ว่าพยายามอ้อนวอนขอร้องเรา ว่าต้องการหนวดมังกรจากเรา เพื่อนำกลิ่นอายของโอรสสวรรค์มาเซ่นไหว้ท่านย่าหรอกหรือ? ทำไมเรื่องสำคัญเช่นนี้ถึงได้ลืมไปได้เล่า?
ฮึ สตรีเอ๋ย ขอบพระทัยเราสิ! ดูสิว่าเราทำให้เจ้ามีหน้ามีตามากเพียงไร!
เราเป็นฮ่องเต้ผู้ประเสริฐที่แท้จริง!
ตู๋กูซิงหลัน “!!! “
นางลืมตากลมโตใส่บุรุษที่อยู่ตรงหน้า จดจ้องไปบนนิลเม็ดใหญ่ที่ประดับที่อยู่บนรัดเกล้าด้วยสีหน้าเจ็บปวด ไอ้ฮ่องเต้สุนัขสุดตระหนี่ขี้งก! เอาผมมาให้ไม่กี่เส้นมาทำเหลวไหลกับผู้อื่น!
หากว่ามีความสามารถจริง ก็เอานิลเม็ดนั้นลงมาเป็นของเซ่นไหว้สิ ขอบใจ!