หรือเขาจะติดธุระสำคัญ? เธอไม่อยากคิดกับจิ้นหยวนในทางร้ายจึงพยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนอย่างเต็มที่ แต่ในใจเธอรู้ดีว่าการทำแบบนี้เป็นการหลอกตัวเองเท่านั้น 

 

 

ถ้าเขาติดธุระจริง อย่างน้อยเขาก็ต้องโทรศัพท์มาบอกเธอสักคำ ไม่ใช่หายตัวไปเฉยๆ แบบนี้ 

 

 

เธอกลัดกลุ้มอยู่ครึ่งค่อนวัน แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลมารองรับว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ 

 

 

เธอค่อยๆ ลุกออกจากตียง ถึงอย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปไม่ใช่หรือ? 

 

 

เธอเดินลงบันไดไปชั้นล่างแล้วเห็นพ่อบ้านเฉินกำลังสั่งงานสาวใช้อยู่ เขาประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นเธอเดินลงบันไดมา เขาจึงเดินเข้าไปทักทายเธอ “อรุณสวัสดิ์ครับคุณเฉียว” 

 

 

เธอยิ้มพลางส่ายศีรษะเล็กน้อย “ไม่เช้าแล้วค่ะ นี่ก็เกือบจะไปทำงานสายแล้ว” 

 

 

พ่อบ้านเฉินเอ่ยขึ้นด้วยความลังเลเล็กน้อย “วันนี้เป็นวันหยุดไม่ใช่เหรอครับ?” 

 

 

เธอชะงักไปชั่วครู่ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ และเป็นวันที่เธอกับจิ้นหยวนนัดกันว่าจะออกไปท่องเที่ยวด้วยกัน 

 

 

สีหน้าเธอสลดลงแล้วเอ่ยขึ้นอย่างยากลำบาก “จริงสินะ ฉันลืมไปได้ยังไงว่าวันนี้เป็นวันหยุด ความจำปลาทองจริงๆ เลย” 

 

 

พ่อบ้านเฉินรีบเอ่ย “ตื่นเช้าก็ดีเหมือนกันครับ แถวนี้มีที่ดีๆ เยอะแยะเลย ถ้าเบื่อๆ ลองออกไปเดินเล่นแถวๆ นี้ก็ดีเหมือนกันนะครับ” 

 

 

เธอยิ้มพลางส่ายศีรษะน้อยๆ โดยไม่ได้พูดอะไรอีก ตอนนี้เธอกำลังเป็นกังวลมาก แล้วจะไปมีกะจิตกะใจเดินเล่นที่ไหนกัน 

 

 

พ่อบ้านเฉินเห็นสีหน้าของเธอแล้วรู้ทันทีว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เขาได้แต่แอบถอนหายใจอยู่ในใจ พยายามเอ่ยปลอบใจเธอ “คุณชายอาจจะกำลังยุ่งอยู่ คุณอย่างเป็นกังวลไปเลยนะครับ” 

 

 

เธอพยักหน้าเล็กน้อย ยังคงไม่มีกะจิตกะใจจะพูดกับเขาเหมือนเดิม เธอรู้ดีว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นกับจิ้นหยวนอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นเขาไม่ทำแบบนี้หรอก 

 

 

หรือว่าจะออกไปถามดู? 

 

 

แต่เธอไม่รู้สถานการณ์ในครอบครัวของเขาเลย แล้วเธอจะไปสอบถามอย่างไร? 

 

 

เธอมองแผ่นหลังของพ่อบ้านเฉินที่เพิ่งเดินจากไป ไม่รู้เพราะอะไรเธอถึงรู้สึกว่าเขาจะต้องรู้เรื่องในครอบครัวของจิ้นหยวนแน่ๆ เพียงแต่เขามีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้บอกเธอไม่ได้ 

 

 

มันก็จริง เธอคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่สำคัญที่สุดของจิ้นหยวน แต่คนอื่นอาจจะไม่ได้คิดเหมือนเธอก็ได้ บางทีพวกเขาอาจจะคิดว่าเธออยากจะเกาะจิ้นหยวนก็ได้ สักวันก็ต้องเลิกกันอยู่ดี 

 

 

แล้วตอนนี้เธอควรจะทำอย่างไรดี? 

 

 

ผ่านเวลาไปเพียงไม่นาน ยังไม่ทันที่เธอจะหาทางออกได้ก็ได้ยินเสียงสาวใช้วิ่งเข้ามาบอกกับเธอว่า “คุณเฉียวคะ มีแขกมาขอพบค่ะ” 

 

 

“พบฉัน? ใครเหรอ?” เธอวางคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คในมือลง 

 

 

ใบหน้าของสาวใช้คนนี้เต็มไปด้วยกระเม็ดเล็กๆ ที่ให้ความรู้สึกร่าเริงสดใสไม่น้อย เธอได้ยินคำถามแล้วส่ายศีรษะน้อยๆ “ฉันไม่รู้จักค่ะ พ่อบ้านเฉินให้ฉันมารายงานคุณตามนั้นค่ะ” 

 

 

“เหรอ?” เธอรู้สึกแปลกใจมาก เพราะเธอมีเพื่อนน้อยมาก และเป็นไม่ได้ที่เพื่อนของเธอจะมาหาเธอที่นี่ แล้วคนที่มาเป็นใครกันแน่? 

 

 

ในขณะเดียวกัน จิ้นหยวนกำลังนั่งตัวตรงอยู่ตรงหน้าห้องผ่าตัดที่ขึ้นไฟสีแดง สีหน้าของเขาเคร่งเครียดมาก ฉินเพ่ยหรงกำลังซบหน้าร้องไห้อยู่กับบ่าของเขาด้วยความโศกเศร้าเสียใจ 

 

 

“อาหยวน แม่ขอร้องล่ะ อย่าทำให้พ่อโมโหอีกเลยนะ สุขภาพของพ่อเขาแย่มาก…” ฉินเพ่ยหรงเอ่ยพลางเช็ดน้ำตาพลาง 

 

 

จิ้นหยวนกำมือแน่นแล้วเอ่ยเสียงขรึม “ผมทราบแล้วครับ” เขาเอ่ยช้าๆ ราวตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ต่อไปผมจะไม่ทะเลาะกับพ่ออีก” 

 

 

“จริงเหรอ?” คำตอบจริงจังของเขาทำให้เธอต้องมองหน้าเขาด้วยความคลางแคลงใจ “ลูกตัดใจทิ้งผู้หญิงคนนั้นได้จริงๆ เหรอ?” 

 

 

จิ้นหยวนตอบอย่างไร้ความรู้สึก “ต้องมีวิธีสิครับ” เอ่ยจบแล้วชำเลืองมองใบหน้าเป็นกังวลของฉินเพ่ยหรงแวบหนึ่ง “วางใจเถอะครับ ผมจะเชื่อฟังคุณพ่อทุกอย่าง” 

 

 

“ดีแล้ว” เธอโล่งอกไปเปราะหนึ่ง จากนั้นเบนสายตามองไปยังประตูห้องผ่าตัดแทนแล้วกระซิบกระซาบเสียงเบา “ไม่รู้ว่าคราวนี้ร่างกายของพ่อเขาจะเป็นยังไงบ้าง ถ้าเกิด…” 

 

 

สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและความตึงเครียด เธอพูดได้เพียงครึ่งเดียวก็ทนพูดไม่ไหวอีกต่อไป จิ้นหยวนมองฉินเพ่ยหรงแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ “ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ คราวนี้คุณหมอที่ผ่าตัดเป็นหมอมือหนึ่งชื่อดังระดับโลก คุณพ่อต้องปลอดภัยอยู่แล้วครับ” 

 

 

ฉินเพ่ยหรงรู้ว่าจิ้นหยวนพูดเพื่อปลอบใจเธอ แต่มันทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย สถานการณ์ในตอนนี้ นอกจากรอให้จิ้นเฮ่าออกจากห้องผ่าตัดแล้วก็ทำอะไรไม่ได้อีก ทั้งสองจึงได้แต่นั่งรออย่างเงียบๆ  

 

 

ทันใดนั้น บรรยากาศระหว่างสองแม่ลูกราวถูกแช่แข็งในบัดดล 

 

 

จิ้นหยวนกำสองมือแน่นโดยที่ฉินเพ่ยหรงมองไม่เห็น เขาไม่คิดเลยว่าคุณพ่อจะใช้วิธีนี้บีบบังคับเขา 

 

 

ย้อนเวลากลับไปเช้ามืดวันนี้ เขาถือโทรศัพท์มือถือที่ลูกน้องเพิ่งส่งมาให้ ขณะที่เขากำลังจะโทรศัพท์หาเฉียวซือมู่นั้น พลันได้ยินเสียงร้อนรนดังมาจากนอกประตูห้อง “คุณชาย นายท่านแย่แล้วครับ!” 

 

 

เขารีบรุดไปดูที่ห้องของจิ้นเฮ่าทันที จิ้นเฮ่ากำลังทุรนทุรายเพราะอาการโรคหัวใจกำเริบ เขารีบโทรเรียกรถพยาบาลทันที แต่ว่าจิ้นเฮ่ากลับยอมทนเจ็บจนเหงื่อแตกพลั่ก และตั้งใจปัดโทรศัพท์มือถือของเขาหล่นพื้นจนพังยับเยิน เขาชักหัวคิ้วชนกันแน่นแล้วมองจิ้นเฮ่าด้วยความไม่เข้าใจ “คุณพ่อทำแบบนี้หมายความว่ายังไงครับ?” 

 

 

จิ้นเฮ่าจ้องเขาตาเขม็ง พยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้อย่างถึงที่สุด “แกจำที่ฉันพูด…ได้ไหม? ถ้าแกไม่รับปากฉัน ฉัน… ฉัน… จะไม่ไป… ไม่ไปโรงพยาบาล แก… แก…” 

 

 

จิ้นหยวนมองดูจิ้นเฮ่าที่กำลังทุรนทุรายเพราะความเจ็บปวดแล้วรู้สึกเหนื่อยใจมาก ถ้าคนอื่นมาทำท่าจะเป็นจะตายต่อหน้าเขาแบบนี้เขาคงไม่แม้แต่จะชายตาแลแล้วหันหน้าเดินหนีไปตั้งนานแล้ว แต่คนตรงหน้ากลับเป็นคุณพ่อบังเกิดเกล้าของตัวเองเสียนี่ และดูท่าทางแล้วอาการกำลังแย่มากด้วย เขาจึงได้แต่สะกดกลั้นความเหนื่อยใจนั้นเอาไว้แล้วเอ่ย “จะให้ทำยังไงคุณพ่อถึงจะยอมไปโรงพยาบาลครับ?” 

 

 

เขาได้ยินเสียงชุลมุนวุ่นวายดังมาจากทางตรงประตู น่าจะเป็นเสียงของคุณแม่ที่รีบร้อนวิ่งมาที่ห้องเพราะรู้เรื่องของคุณพ่อแล้ว ส่วนคุณพ่อยังคงดึงดันเหมือนเดิม “ฉันขอแค่อย่างเดียว เซียงเซียง…” 

 

 

ดวงตาของจิ้นหยวนฉายชัดว่ากำลังหนักใจมาก “คุณพ่อ คุณพ่อมีเหตุผลหน่อยได้ไหมครับ? ผมเป็นคนแต่งนะครับไม่ใช่คุณพ่อ ถ้าคุณพ่อชอบเธอมากขนาดนั้น ทำไมคุณพ่อไม่…” เขาพูดได้เพียงครึ่งเดียวก็ทนพูดต่อไม่ไหวเพราะเขาได้ยินคุณแม่วิ่งอย่างเร่งร้อนเข้ามาในห้องพอดี 

 

 

เขาก้าวเท้าถอยหลังพลางมองดูฉินเพ่ยหรงที่โถมกายเข้าไปหาจิ้นเฮ่า เธอเห็นอาการทุรนทุรายของจิ้นเฮ่าแล้วเอ่ยขึ้นด้วยความร้อนใจ “รถพยาบาลล่ะ? ทำไมยังไม่เรียกรถพยาบาลอีก? อาหยวน ทำไมลูกใจร้ายแบบนี้? พ่อเจ็บปวดมากขนาดนี้ลูกไม่คิดจะจะดูดำดูดีเลยเหรอ?” 

 

 

เขาปิดเปลือกตาลงด้วยความเจ็บปวดแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง “เรียกแล้วครับ อีกเดี๋ยวก็ถึง” 

 

 

จิ้นเฮ่าได้ยินแล้วยังคงดื้อดึงไม่เลิก “ฉันไม่ไป ไม่ไป นอกจากแกจะรับปากฉัน…” 

 

 

เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคุณพ่อจะหัวรั้นมากขนาดนั้นไปเพื่ออะไร เขามองความชุลมุนวุ่นวายตรงหน้า แล้วหันไปมองคุณแม่ที่กำลังร้องไห้เพราะความกังวล ใจเขาค่อยๆ อ่อนลง 

 

 

เขาก้าวเท้าถอยหลังก้าวหนึ่งแล้วค่อยๆ เอ่ยขึ้น “ได้” เขาได้ยินเสียงสงบเยือกเย็นไร้ความรู้สึกใดๆ ของตัวเองอย่างชัดเจน “ผมรับปากว่าจะแต่งงานกับหร่วนเซียงเซียง ผมจะหมั้นกับเธอ” 

 

 

จิ้นเฮ่าและฉินเพ่ยหรงที่ได้ยินคำตอบของเขาถึงกับหันไปมองเขาพร้อมกัน