อวิ๋นหลัวฉวนอยากจะร้องไห้ เมื่อนึกถึงว่าหนานกงเหยี่ยนพยายามทำเรื่องนั้นอย่างขยันขันแข็งทุกคืนและบอกว่าอยากมีลูกกับนางเร็วๆ นางก็รู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมขึ้นมา ไม่ใช่ความไม่ยุติธรรมสำหรับนาง แต่เป็นความไม่ยุติธรรมต่อหนานกงเหยี่ยน
พยายามตั้งมากมายขนาดนั้นแต่ก็เปล่าประโยชน์
อ๋องตวนผละออกจากอวิ๋นหลัวฉวนและเช็ดน้ำตาให้นาง จากนั้นจึงหันไปมองฉีเฟยอวิ๋น “ท่านว่าต่อเถอะ”
“ส่วนผสมของดอกมะเขือม่วงเป็นยาคุมกำเนิด แต่ต้องนำดอกมะเขือม่วงไปตากแห้งก่อน จากนั้นจึงนำมาบดจนเป็นผงและกินพร้อมกับเหล้าเหลืองจึงจะได้ผล และต้องเริ่มกินหลังคลอดวันละครั้งเป็นเวลาติดต่อกันเจ็ดวัน (เหล้าเหลืองคือเหล้าชนิดหนึ่งของจีน)
ท่านอ๋องตวน ท่านเข้าใจที่ข้าพูดใช่หรือไม่”
สีหน้าของอ๋องตวนดูแย่ยิ่งกว่าเดิม “นั่นก็คือจะขาดยานี้ไม่ได้ จะต้องกินทุกๆ เดือน คนพวกนั้นก็แค่รอดูว่าเมื่อไหร่ที่จะต้องให้ฉวนเอ๋อร์เริ่มกินยา ที่เร็วที่สุดก็คือตอนที่ฉวนเอ๋อร์แท้งบุตร จากนั้นจึงให้ฉวนเอ๋อร์กินยา…”
“เป็นไปไม่ได้ ตอนที่พระชายาตวนแท้งบุตรนางอยู่ในจวนแม่ทัพ ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้อยู่ด้วยทุกวัน…” ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มไม่แน่ใจ
“หรือไม่ก็อาจจะมีคนแฝงตัวเข้าไปในจวนแม่ทัพ” ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่ายังพอจะมีโอกาสเป็นไปได้
อ๋องตวนส่ายหน้า “ไม่ใช่ที่จวนแม่ทัพ น่าจะเป็นช่วงที่ท่านหมดสติไปมากกว่า เวลานั้นฉวนเอ๋อร์กับข้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน
ข้ากับฉวนเอ๋อร์…”
อ๋องตวนทำเหมือนกำลังครุ่นคิด “ถ้ายาของเขาได้ผล ที่จวนแม่ทัพก็น่าสงสัยจริงๆ”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นเดินไปยืนตรงหน้าอวิ๋นหลัวฉวน จากนั้นจึงตรวจร่างกายของนางอีกครั้งและพบว่าภายในร่างกายมีปริมาณยาเข้มข้น นั่นหมายความว่านางได้รับยานี้มานานแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นละมือและเดินไปมาอยู่ในห้อง นางชูมือขึ้นและนับนิ้ว อ๋องตวนมีสีหน้าอึมครึม “ท่านรักษาโรคหรือทำนายดวงรึ”
ฉีเฟยอวิ๋นมองอ๋องตวนอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่อยากเห็นก็ไม่ต้องมอง!”
อ๋องตวนหุบปากทันที เพราะอาการป่วยของอวิ๋นหลัวฉวน เขาจึงไม่กล้าไปยั่วให้ฉีเฟยอวิ๋นโกรธ ด้วยความที่กินยามานานเกินไปแล้ว เขาจึงกลัวว่ามันจะส่งผลกระทบต่อร่างกายของอวิ๋นหลัวฉวน
ฉีเฟยอวิ๋นวางมือลง “ที่ข้าคิดได้ มีเพียงคนเดียวเท่านั้น”
“ใครรึ”
อวิ๋นหลัวฉวนมีสีหน้าประหลาดใจ แต่อ๋องตวนกับอ๋องเย่กลับไม่พูดอะไร
อวิ๋นหลัวฉวนหันไปมองทุกคน ทันใดนั้นก็เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “แม่นมเว่ยหรือ”
ฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่ไม่พูดอะไรเลย ในขณะที่สีหน้าของอ๋องตวนเต็มไปด้วยความเยียบเย็น
อวิ๋นหลัวฉวนกล่าวว่า “ตอนที่ข้าแท้งก็มีแม่นมกับตงเอ๋อร์ที่มาคอยดูแล แต่ตงเอ๋อร์ไม่มีทางทำร้ายข้า นอกจากนี้ตงเอ๋อร์ยังถูกท่านอ๋องพาตัวไปจากข้าช่วงหนึ่งจนข้ากับตงเอ๋อร์ไม่ได้ติดต่อกัน แต่แม่นมเว่ยนั้นคอยอยู่เคียงข้างข้าตลอด
อาหารการกินของข้าล้วนเป็นสิ่งที่แม่นมเว่ยคอยจัดการให้ นางให้ข้ากินอะไรข้าก็กินอย่างนั้น”
“แล้วเหล้าเหลืองล่ะ ดอกมะเขือม่วงมีผลในการคุมกำเนิด แต่ถ้าไม่มีเหล้าเหลืองก็จะไม่ได้ผล” ฉีเฟยอวิ๋นถาม
“ข้าจำไม่ได้ว่ามีเหล้าเหลืองหรือไม่ แต่แม่นมเคยให้ข้าดื่มน้ำซุปอุ่นร่างกาย นางบอกว่าถ้าอยากหายเร็วๆ จะต้องดื่มน้ำซุปอุ่นๆ เสียหน่อย น้ำซุปนั่นเป็นสีเหลือง มีขิงหั่นแว่นในนั้น ข้าถามว่าคืออะไร แม่นมบอกว่าเป็นซุปขิง ช่วงไม่กี่เดือนมานี้ข้าดื่มตลอด นางบอกว่าจะต้องดื่มทุกเดือน และยังบอกด้วยว่าเสด็จแม่มอบหมายให้ทำเป็นพิเศษ ข้างจึงไม่ได้ถามอะไร”
“เช่นนั้นก็ใช่แล้วละ เหล้าเหลืองเป็นเครื่องดื่มสีเหลือง และขิงหั่นแว่นจะทำให้รสชาติของซุปมีกลิ่นฉุนจนกลบกลิ่นของเหล้า แต่หากพระชายาตวนถามว่าเหตุใดจึงมีกลิ่นของเหล้า แม่นมเว่ยจะต้องตอบว่าเพราะเป็นซุปอบอุ่นร่างกาย ย่อมมีเครื่องดื่มอุ่นๆ ผสมอยู่เป็นธรรมดา สำหรับใบสั่งยาของหมอหลวง แม่นมเว่ยจะตอบอย่างขอไปทีว่าไม่ได้รู้อย่างละเอียด”
“เป็นอย่างที่ว่านั่นละ” อวิ๋นหลัวฉวนจำได้
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับมา “ดูเหมือนแม่นมเว่ยจะถูกใครบางคนใช้อำนาจคุกคาม เรื่องนี้ต้องเข้าวังจึงจะดี แต่จะทำให้พระพันปีและฝ่าบาทตกพระทัยไม่ได้ หวังว่าจะช่วยปกป้องชีวิตแม่นมเว่ยได้ นางเป็นคนที่จะชี้ตัวผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังได้ดีที่สุด ถ้าบอกไม่ได้ก็ช่างปะไร
จงชินเป็นคนเด็ดเดี่ยว แม่นมเว่ยเป็นคนเก่าแก่ที่อยู่ข้างกายพระมเหสีหวา เป็นไปไม่ได้ที่จะทำร้ายคนโดยไม่มีเหตุผล มันจะต้องเป็นเพราะอะไรบางอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้อย่างน้อยเราก็รู้แล้วว่าจงชินอ๋องเป็นคนของจงชิน นอกจากนี้หมอประจำจวนของเขาก็น่าสงสัยมากเช่นกัน”
อ๋องตวนยืนขึ้น “ข้าจะเข้าวัง พวกท่านก็มาด้วยเถิด”
“ท่านอ๋องตวน เรื่องของแม่นมเว่ยข้าว่าปล่อยไปสักพักก่อนดีกว่า จะได้ไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นด้วย” ฉีเฟยอวิ๋นออกไปขวางไว้
“แล้วฉวนเอ๋อร์ล่ะ” อ๋องตวนเป็นกังวล!
“ขอเพียงแค่เดือนต่อไปไม่ได้กินยาพิษนี้ ร่างกายจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นเอง ส่วนเรื่องการให้กำเนิดบุตรก็ไม่ต้องห่วง อนาคตยังอีกยาวไกล ยังไม่ต้องรีบร้อน แต่ถ้าท้องขึ้นมาจริงๆ จะต้องไม่บอกให้ผู้ใดรู้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ใครมาวางแผนทำร้ายได้
ข้าคิดว่าจงชินอ๋องมีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวนั่นก็คือการแยกท่านออกจากพระชายาตวน ถ้าเช่นนั้นเราซ้อนแผนจะไม่ดีกว่าหรือ หย่ากับพระชายาตวนเพื่อทำให้พวกเขาคิดว่าพวกเขาทำสำเร็จ…”
“ไม่มีทาง ข้าไม่เห็นด้วย”
ฉีเฟยอวิ๋นนิ่งเงียบ ในเมื่อไม่เห็นด้วยนางก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก
“ท่านอ๋อง เราต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมนะเพคะ” อวิ๋นหลัวฉวนคิดว่ามันพอจะเป็นไปได้
“ข้าไม่เอาด้วย” อ๋องตวนยืนกรานอย่างแน่วแน่จนอวิ๋นหลัวฉวนเองก็จนปัญญา
หนานกงเย่ลุกขึ้น “แม้ว่าเรื่องนี้จะต้องถูกสอบสวน แต่ถ้าจับจงชินอ๋องด้วยเรื่องอื่นไม่ได้ก็ต้องเป็นเรื่องของพระชายาตวนเท่านั้น แล้วก็ไม่จำเป็นว่าเขาจะต้องเป็นหัวหน้ากลุ่มจงชินด้วย
จุดประสงค์ที่เขาทำเช่นนี้อาจเป็นเพียงเพื่อทำให้ท่านอ๋องตวนกับพระชายาตวนแยกทางกัน ถึงอย่างไรถ้าเขากลับมาเร็ว พระชายาตวนก็อาจจะกลายเป็นพระชายาของเขาแทนที่จะเป็นของพี่รอง
นี่คือความเกลียดที่เกิดจากการที่ท่านแย่งภรรยาของเขาไป แม้จะอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทเขาก็พูดได้”
“ข้าจะฆ่าเขาตอนนี้เลยก็ได้!”
“นั่นหมายถึงอะไร” หนานกงเย่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อีกครั้ง เขายกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างเชื่องช้า ฉีเฟยอวิ๋นก็นั่งลงด้วยและมองดูเขาจิบชา
“พี่รอง ก่อนอื่นอยากให้แม่นมเว่ยมาก่อน บอกไปว่าพระชายาตวนไม่สบายและอยากให้นางมาดูแลก็ได้”
อ๋องตวนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน “ไปกันเถอะ”
ขณะที่อ๋องตวนกำลังจะจากไป หนานกงเย่ก็เรียกเขาเอาไว้ “ไม่ต้องบอกอะไร แค่พาแม่นมเว่ยมา ข้าอยากจะไต่สวนด้วยตัวเอง”
“ข้ารู้แล้ว” อ๋องตวนพาอวิ๋นหลัวฉวนกลับไปที่จวนอ๋องเย่ก่อน
ฉีเฟยอวิ๋นกลัดกลุ้ม คลื่นลูกแรกยังไม่ทันสงบ คลื่นอีกลูกก็ม้วนมาอีกระรอก เรื่องของเฉินอวิ๋นชูยังไม่ทันจบ อวิ๋นหลัวฉวนก็มาเกิดเรื่องอีก
ดูเหมือนถ้าไม่กำจัดจงชิน เมืองต้าเหลียงก็คงไม่มีวันสงบสุข
“อวิ๋นอวิ๋น ข้าออกไปข้างนอกหน่อยนะ” หนานกงเย่ออกไปที่หน้าประตู ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปมองเขา
“ท่านอ๋องจะเข้าวังหรือ”
หนานกงเย่หันกลับมา “แสดงว่าอวิ๋นอวิ๋นรู้?”
“ไม่รู้เพคะ ท่านอ๋องระวังตัวด้วยนะ!”
หนานกงเย่ยิ้มนิดหนึ่งและหันหลังออกไปจากจวนแม่ทัพ
ฉีเฟยอวิ๋นไปพักผ่อน กว่าหนานกงเย่จะกลับมาก็เป็นเวลาค่ำแล้ว ทันทีที่เข้ามาก็รู้สึกหนาวไปทั้งร่าง ฉีเฟยอวิ๋นขยับนิดหนึ่ง หนานกงเย่ถอดเสื้อคลุมและล้างไม้ล้างมือนิดหน่อย จากนั้นจึงตรงเข้าไปในอ้อมกอดของฉีเฟยอวิ๋น ใช้สองมือโอบใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นเข้ามาใกล้เพราะคิดว่านางจะพักผ่อน จากนั้นปกคอเสื้อของฉีเฟยอวิ๋นก็ถูกฉีกออกจากกัน
“ดึกขนาดนี้แล้ว ยังต้องประเคนอาหารอีกหรือ”
“มีเรื่องจะบอก มาลงมือกันเถอะ!”
ฉีเฟยอวิ๋นอยากจะหัวเราะและไม่พูดอะไร นางนอนราบเผยเรือนร่างให้หนานกงเย่เห็น หนานกงเย่ถือตะเกียงขึ้นมาภายในห้องที่มืดมิด แสงไม่ได้สว่างจ้านักแต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เห็นเรือนร่างทุกตารางนิ้วของฉีเฟยอวิ๋น
หนานกงเย่วางมือไม่ลง
“อวิ๋นอวิ๋น สุขภาพของท่านตรงนั้นเป็นอย่างไรบ้าง” หนานกงเย่ถามพลางคลอเคลียนางไปด้วย เวลานี้ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ในกระแสความร้อน นางฝืนตัวเองไม่ให้ส่งเสียงออกมา ดวงตาหรี่เล็กจนเหลืองเพียงช่องว่างแคบๆ เท่านั้น
เมื่อเทียบกับอากัปกิริยาที่เรียบง่ายของเขา ฉีเฟยอวิ๋นทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ นางไม่ต้องการปลุกลูกๆ ให้ตื่นเพราะเรื่องนี้ มันน่าอายเกินไป
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้หนานกงเย่ก็ยิ่งสนุกมากกว่าเดิม
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหน้าและหอบอย่างแรง “เหมือนกัน!”
ร่างกายของหนานกงเย่กระตือรือร้นเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ตกใจตื่น มองร่างกายของผู้ชายคนนี้ที่ตื่นตัวราวกับเพิ่งฉีดเลือดไก่เข้าร่างและดูน่ากลัวจนนางอยากจะวิ่งหนี
“อย่าเข้ามานะ”
ฉีเฟยอวิ๋นกำลังจะถูกเขาโกรธ
“แต่ข้าอยากนี่!”
“ท่าน…” ฉีเฟยอวิ๋นยังพูดไม่ทันจบ ริมฝีปากของนางก็ถูกปิดลง
***ฉีดเลือดไก่ คือการฉีดเลือดไก่ให้คนเพื่อการรักษาโรคในสมัยก่อน ทำให้ร่างกายแข็งแรงเหมือนได้ยาวิเศษ