บทที่ 433 เฮ้อ ข้าอยู่เฉยๆ ยังเดือนร้อน

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 433 เฮ้อ ข้าอยู่เฉยๆ ยังเดือนร้อน
คำตอบเช่นนี้……

ช่างทำให้เขารู้สึกชื่นชอบแต่ก็ผิดหวัง

หลานจิ่วชิงหลับตาลง พยายามระงับอารมณ์ของตนเอง

แม้ว่าคำตอบจะค่อนข้างห่างไกลจากสิ่งที่เขาหวังเอาไว้ แต่ก็ยังดีกว่านางปฏิเสธ แม้หลานจิ่วชิงจะไม่ค่อยพอใจเท่าไรนักแต่ก็ไม่ได้ผิดหวังจนเกินไป

เอาแบบนี้ไปก่อนก็แล้วกัน หากว่าทำให้เฟิ่งชิงเฉินตกอกตกใจเสียจนหนีไปก่อนก็คงจะไม่ดี

หลานจิ่วชิง เจ้าจงเชื่อเฟิ่งชิงเฉินเถิด ต่อให้นางจะมีความลับอันยิ่งใหญ่อยู่ก็ตาม เจ้าควรจะลองเชื่อนางดู บนโลกใบนี้ใครกันเล่าที่ไม่มีความลับ

แม้ในใจจะรู้สึกถึงความห่างเหิน แต่ก็ดีกว่าเมื่อตอนกลางวันมากยิ่งนัก

“เฟิ่งชิงเฉิน จงจำคำของเจ้าที่กล่าวไว้วันนี้ให้ดี” เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาอันดำขลับของหลานจิ่วชิงดูลึกล้ำ เฟิ่งชิงเฉินไม่อาจมองเห็นอารมณ์ของเขาจากแววตานั้นได้เลย

ชายคนนี้บังคับคนอื่นได้เก่งเหลือเกิน

“วางใจเถิด ข้าจะจำคำนี้ของตนเอาไว้ แล้วบัดนี้เจ้าบอกข้าได้หรือยังว่าในวันนี้ที่เจ้าเดินทางมาต้องการให้ข้าช่วยสิ่งใด” หากไม่มีเรื่องร้องขอให้ช่วยคงไม่เดินทางมาหานางหรอก ทุกครั้งที่หลานจิ่วชิงปรากฏกายขึ้น หากไม่ใช่เพราะเขามีธุระก็คือตอนที่นางกำลังโชคร้ายอยู่

ทั้งเขาและหลานจิ่วชิงเรียกได้ว่าเป็นพี่น้องที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ทั้งสองคนพบเจอแต่เรื่องวุ่นวายไม่ขาดสาย

“ข้าเดินทางมาหาเจ้าจำเป็นต้องให้เจ้าช่วยเหลือไปทุกครั้งหรือ?” หลานจิ่วชิงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า และเมื่อนึกถึงเรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยถามเขาเมื่อพบหน้า หลานจิ่วชิง “ในครั้งนี้เจ้าบาดเจ็บเองหรือสหายของเจ้าเล่าที่ได้รับบาดเจ็บ” ยิ่งทำให้หลานจิ่วชิงอึดอัดใจขึ้นกว่าเดิม

เขามาหาเฟิ่งชิงเฉิน จำเป็นจะต้องมีธุระเรื่องราวใดด้วยหรือ? จะต้องบาดเจ็บอย่างงั้นหรือ? ไม่มีเรื่องใดเขาจะเดินทางมาหานางไม่ได้หรือไร?

แค่กๆ ดูเหมือนหลานจิ่วชิงจะลืมไปเสียแล้วว่าทุกครั้งที่ตนเดินทางมาหาเฟิ่งชิงเฉิน หากไม่ใช่เขาที่เกิดเรื่องก็คงจะเป็นเฟิ่งชิงเฉินที่เกิดเรื่อง และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเดินทางมาหาเฟิ่งชิงเฉินเพราะมาเที่ยวหาเฉยๆ เขาจะทำให้เฟิ่งชิงเฉินคิดมากไม่ได้เด็ดขาด “หากไม่มีอะไรให้ข้าช่วย แล้วเจ้าเดินทางมาหาข้าทำไม ดูท่าทางเจ้าแล้วเดิมทีคงจะยุ่งเอาควร”

เมื่อเห็นว่าทุกครั้งที่หลานจิ่วชิงบาดเจ็บ แต่เขาก็ไม่อาจพักผ่อนได้อย่างสงบนิ่ง เฟิ่งชิงเฉินจึงรู้ดีว่าหลานจิ่วชิงไม่ใช่คนที่ไม่มีเรื่องจะทำ เขาไม่เหมือนกับหมอ ธรรมดาเช่นนาง เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นบุคคลที่มีความสำคัญ

“ข้ายุ่งมากก็จริง” เรื่องนี้หลานจิ่วชิงไม่ปฏิเสธ “แต่ก็ใช่ว่าข้าจะมีเรื่องราวต้องทำทุกวัน อย่างน้อยวันนี้ข้าก็ไม่มีสิ่งใดต้องทำ”

แท้จริงแล้วคืนนี้เขายุ่งยิ่งนัก เพียงแต่เขาไม่อาจจะสงบจิตสงบใจในการจัดการเรื่องราวเหล่านั้นได้ ในสมองของเขาเต็มไปด้วยเฟิ่งชิงเฉิน จึงส่งผลกระทบต่อการทำงานของเขา

แต่ไหนแต่ไรมาเขาเป็นคนที่จัดการเรื่องราวได้อย่างเด็ดขาด ในเมื่อเฟิ่งชิงเฉินส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเขา ดังนั้นเขาก็ควรที่จะลบเงาในใจนี้ออกไป ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงเดินทางมาหาเฟิ่งชิงเฉินเพื่อสนทนาในยามค่ำคืน

“หากไม่มีสิ่งใดก็ดี เพราะว่าช่วงนี้ข้ายุ่งยิ่งนัก ข้าไม่อาจจะเอาเวลามากมายมาช่วยเจ้าได้” เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจออกมา นางกลัวว่าตนจะยุ่งไปเสียทุกเรื่อง และเมื่อถึงเวลาจะทำให้เหนื่อยแทบตาย

“เจ้ากำลังหมายถึงเรื่องการแข่งขันกับซูหว่านหรือ?” หลานจิ่วชิงรู้ดีว่าช่วงนี้เรื่องยุ่งๆ ของเฟิ่งชิงเฉินมีอยู่ไม่กี่เรื่องใหญ่

“ถูกต้อง นอกจากเรื่องนี้ยังมีเรื่องใดที่ทำให้ข้าต้องยุ่งอีก?” หากสามารถเลือกได้ นางยอมไปทำการผ่าตัดศีรษะที่ซับซ้อนยุ่งยากดีกว่า นางไม่อยากแข่งขันกับซูหว่านเลย เพราะมันเป็นการทำลายเซลล์สมองและเสียเวลาของนางยิ่งนัก ที่สำคัญก็คือ……

เปลืองแรงเปลืองเวลาไปแล้ว ก็ใช่ว่านางจะชนะได้

แม้ว่าประโยคเช่นนี้อาจจะทำให้ผู้อื่นดูดี และลดความน่าเกรงขามของตนลง แต่ความจริงก็คือความจริง นางจำเป็นที่จะต้องยอมรับ

“การแข่งขันกับซูหว่าน เจ้ามีแผนการรับมือเช่นไร?” เมื่อได้คำตอบของตนที่อยากได้ หลานจิ่วชิงจึงได้เอ่ยถามเรื่องราวไปเรื่อยเปื่อย เพราะเขาได้ยินว่าก่อนหน้าที่นางจะไล่บ่าวรับใช้ทั้งสองคนไปได้กล่าวเอาไว้ว่านางมีแผนการของตนเองอยู่

“ไม่มีหรอก ทักษะทั้งสี่ข้าไม่ได้เรื่องสักอย่าง และเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ว่าจะฝึกซ้อมกันเพียงวันสองวันก็ได้ผล ต่อให้ข้าฝึกซ้อมมันได้ก็ไม่อาจสู้กับซูหว่านที่ฝึกฝนมานานนับสิบปีได้อย่างแน่นอน การแข่งขันกับซูหว่านในครั้งนี้โอกาสที่จะชนะของข้าไม่มากเลย” นางมีความสามารถเช่นไรย่อมรู้แก่ใจดี นอกจากความสามารถของนางด้านการแพทย์แล้วนางไม่มีความสามารถด้านอื่นเลย

“ถ้าเช่นนั้นก็อย่าได้แข่งเลย ข้าจะพาเจ้าไปเอง” หลานจิ่วชิงไม่ได้คิดอะไรมาก เขากล่าวออกมาอย่างโผงผาง

เฟิ่งชิงเฉินตกใจเสียจนกระโดดขึ้นจากเก้าอี้ “เจ้าล้อข้าเล่นหรืออย่างไร?”

“ข้าพูดจริง” แม้ว่าคำพูดในครั้งนี้เขาจะไม่ได้ครุ่นคิดเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ได้นับว่าเป็นเรื่องแย่ เฟิ่งชิงเฉินนอกจากจะเชื่อและพึ่งพาเขา คงไม่มีทางเลือกอื่น

เขาสามารถลากเฟิ่งชิงเฉินเข้าไปในโลกของเขาได้อย่างแท้จริง

พูดจริงอะไรของเจ้าเล่า!

เฟิ่งชิงเฉินเบิกตาจ้องไปที่หลานจิ่วชิงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “หลานจิ่วชิง หากเราเป็นสหายกันเจ้าจงอย่าได้ทำร้ายข้า เจ้ารู้ดีว่าหากข้าหนีไป นับจากนี้อนาคตข้าจะเป็นคนที่ไม่อาจเงยหน้ามองผู้ใดได้ และจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับการหลบหนีไปตลอด ต้องเผชิญหน้ากับการพ่ายแพ้และอับอาย”

“ข้าจะไม่หนีไปอย่างแน่นอน ต่อให้พ่ายแพ้ข้าก็จะไม่หลบหนี การที่ไม่สามารถเอาชนะซูหว่านได้ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่หากว่าไม่มีแม้แต่ความกล้าหาญที่จะแข่งกับนาง ข้าก็คงไม่ใช่ข้า”

ก็เพียงแค่ซูหว่านเท่านั้น จำเป็นจะต้องทำให้นางหลบหนีเร่ร่อน เช่นนี้เชียวหรือ ดูเหมือนจะมองซูหว่านสูงเกินไป

“ข้าผิดไปแล้ว” ท่ามกลางคำพูดอันหนักแน่นของเฟิ่งชิงเฉินเมื่อสักครู่ หลานจิ่วชิงยอมรับความผิดของตัวเองออกมาอย่างตรงไปตรงมา

เขาลืมไปเสียแล้วว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนที่มีความแข็งแกร่งและเย่อหยิ่งเพียงใด ในตอนนั้นที่ปากประตูเมือง ผู้คนจำนวนมากมายยืนตำหนิด่าทอนาง แม้ไม่รู้ว่าอนาคตของตัวเองจะเป็นเช่นไร แต่นางก็ยังกล้าหาญที่จะลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเข้าไปในประตูเมือง เข้าไปในพระราชวัง ในเวลาเช่นนี้นางจะหลบหนีได้อย่างไร

“เอาเถิด ข้าไม่ว่าเจ้าหรอก เพราะความสามารถทั้งสี่ประเภทนั้นของข้าเมื่อเปรียบเทียบกับซูหว่าน ทุกคนล้วนรู้ดี” เฟิ่งชิงเฉินบอกไม่โบกมืออย่างไม่ได้ใส่ใจ เพียงแค่หลานจิ่วชิงเอ่ยขอโทษก็พอแล้ว

ความถนัดของแต่ละคนแตกต่างกันไป นางไม่ได้จบมาด้านดนตรีหมากรุกเขียนหนังสือและวาดภาพ ความสามารถทั้งสี่ด้านนี้อย่างมากก็เพียงแค่ทำไปเพื่อฆ่าเวลา แต่ทักษะการแพทย์ที่นางเรียนมาสามารถนำมาใช้ช่วยผู้คนและเลี้ยงอาชีพตนได้

หลานจิ่วชิงเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินหายโกรธแล้ว เขาเองก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกและไม่เอ่ยสนทนาถึงเรื่องนี้อีก เขาหันศีรษะไปทางอื่นเล็กน้อย มองไปเห็นฉินซึ่งวางไว้ตรงมุม ก่อนจะตกตะลึงกล่าวว่า “จักรพรรดินีประทานฉินสายน้ำแข็งให้แก่เจ้าหรือ?”

“ฉินสายน้ำแข็ง? เจ้าหมายถึงมันน่ะหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องหัวข้อเมื่อสักครู่อีก นางเห็นหลานจิ่วชิงเอ่ยถามเรื่องของฉินในมุมห้องที่วางเอาไว้ จึงได้ลุกขึ้นยืนไปหยิบมันมาแล้ววางไว้บนโต๊ะ

“เป็นฉินสายน้ำแข็งจริงๆ ฉินสายน้ำแข็งนี้องค์รัชทายาทได้เฟ้นหาช่างที่มีฝีมือประณีตและใช้เวลาถึงสามปีในการทำมันขึ้นมา เมื่อปีกลายได้ถวายให้แก่องค์จักรพรรดิในวันคล้ายวันประสูติ เหตุใดจักรพรรดินีจึงได้นำฉินนี้มาให้เจ้า หรือเจ้าร้องขอมาด้วยตนเอง?”

แววตาของหลานจิ่วชิงแฝงถึงความสงสัย ภายในวังมีฉินดีๆ มากมายนับไม่ถ้วน และฉินสายน้ำแข็งไม่ใช่ฉินที่ดีที่สุด จักรพรรดินีประทานให้แก่เฟิ่งชิงเฉิน หากกล่าวว่าไม่มีเรื่องใดแอบแฝงคาดว่าคงไม่มีใครเชื่อ

“มิใช่ ในขณะนั้นจักรพรรดินีเอ่ยถามว่าข้าต้องการสิ่งใด ข้าเองยังไม่ทันจะตอบ หวงกุ้ยเฟยก็เดินทางมา หวงกุ้ยเฟยเอ่ยถามคำถามนี้กับองค์จักรพรรดินีเมื่อกลางวัน องค์จักรพรรดินีจึงได้นำฉินและสิ่งของอื่นมอบให้ข้าเป็นรางวัล” เดิมทีนางคิดว่าเป็นฉินธรรมดา แต่เมื่อได้ยินหลานจิ่วชิงเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินจึงได้รู้ว่า ฉินนี่มีที่มาที่ไม่ธรรมดา

หากไม่ใช่เพราะหลานจิ่วชิงเอ่ยถามขึ้น ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครรู้ว่าฉินซึ่งจักรพรรดินีมอบให้นางเป็นฉินที่องค์รัชทายาทมอบให้แก่องค์จักรพรรดิในวันคล้ายวันประสูติ

เนื่องจากว่าตอนกลางวันเมื่อครั้งที่องค์จักรพรรดินีประทานรางวัลเหล่านี้มาให้ ไม่มีคนนอกอยู่ด้วยสักคนเดียว อีกทั้งบัดนี้การแข่งขันกำลังจะดำเนินมาถึงแล้ว จึงไม่มีใครกล้ามารบกวนนาง หากไม่ใช่ว่าหลานจิ่วชิงปรากฏกายขึ้น คาดว่าคงไม่มีใครรู้เสียด้วยซ้ำว่าจักรพรรดินีประทานรางวัลได้แก่นาง

หลานจิ่วชิงหรี่ตาลง ดวงตาดูมืดมนเล็กน้อย “เฟิ่งชิงเฉิน หากว่าองค์จักรพรรดินีกล่าวกับคนอื่นว่าฉินนี้เจ้าเป็นคนเลือกมันเอง จะไม่มีผู้ใดสงสัยแน่นอน”

หากเกิดเรื่องใดขึ้นมาจักรพรรดินีจะไม่ยอมรับอย่างแน่นอนว่าฉินนี้นางเป็นคนเลือกและมอบให้เฟิ่งชิงเฉินเอง และนางมีเหตุผลเพียงพอที่จะตอบเช่นนั้น

“เจ้ากำลังหมายถึงว่าฉินนี้มีปัญหาอย่างนั้นหรือ?” เมื่อรู้ว่าฉินนี่คือสิ่งที่องค์รัชทายาทให้แก่องค์จักรพรรดิ เฟิ่งชิงเฉินก็รู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา ดูเหมือนจักรพรรดินีต้องการจะทำเรื่องราวบางอย่างด้วยฉิน และนางก็โชคร้ายเหลือเกินที่ถูกจักรพรรดินีนำไปเป็นหมากตัวหนึ่งในการเดิน……