บทที่ 434 ชนกระบอกปืน ความเป็นห่วงของหลานจิ่วชิง

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

ฉินนี่เดิมทีคงไม่มีปัญหา มิเช่นนั้นองค์รัชทายาทจะนำไปถวายให้แด่องค์จักรพรรดิหรือ แต่เมื่อมาอยู่ในมือของเฟิ่งชิงเฉิน แน่นอนว่าต้องมีปัญหา ตอนที่เห็นฉินนี้ หลานจิ่วชิงก็ได้กลิ่นอายของแผนการชั่วร้ายทันที

“เฟิ่งชิงเฉิน ฉินนี้มีปัญหาได้หรือไม่ข้าเองไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่าการที่องค์จักรพรรดินีนำฉินนี้มาให้แก่เจ้า จะต้องมีแผนการอย่างแน่นอน ดีไม่ดีอาจจะใช้เจ้าเป็นปืนก็ย่อมได้” หากเกิดเรื่องขึ้นมาแล้วองค์รัชทายาทโชคร้าย คาดว่าเฟิ่งชิงเฉินก็หนีไม่พ้น

เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าเข้าใจ องค์จักรพรรดินีคงไม่ได้นำฉินซึ่งองค์รัชทายาทมอบให้จักรพรรดิมาให้ข้าโดยเปล่าๆ แน่ นางไม่ได้กำลังคิดจะโยนความผิดที่ข้าแพ้การแข่งขันไปที่องค์รัชทายาทใช่หรือไม่?” เมื่อกล่าวจบเฟิ่งชิงเฉินก็ส่ายหน้า “เรื่องราวไม่น่าจะง่ายเช่นนี้”

องค์จักรพรรดินีวางแผนอย่างแยบยล “นางนำฉินเอามาไว้ในมือของเจ้าจะเป็นเพราะเพียงต้องการโยนความผิดได้อย่างไร” หลานจิ่วชิงพิจารณามองดูตัวฉิน จากนั้นหยิบยกมันขึ้นมาดูนับสิบรอบแต่ก็ไม่พบว่ามีปัญหาใด

“ฉินไม่มีปัญหา แต่ยิ่งไม่มีปัญหาใดก็ยิ่งพบว่าซ่อนอันตรายไว้มากมาย เฟิ่งชิงเฉิน ในครั้งนี้องค์จักรพรรดินีต้องการจัดการองค์รัชทายาท นางอดทนกับองค์รัชทายาทมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว คาดว่าคงไม่อยากจะอดทนอีกต่อไป นางต้องการจะให้ตงหลิงจื่อลั่วขึ้นแท่นบัลลังค์ เมื่อนางลงมือ แน่นอนว่าองค์รัชทายาทจะไม่มีโอกาสพลิกผันขึ้นมาอีก”

“ฉินนี้……หากเจ้าเชื่อข้าล่ะก็ จงนำมันมาให้ข้า แล้วข้าจะให้คนไปตรวจสอบ เจ้าวางใจเถิดไม่ว่าอย่างไรก็ตามข้าจะนำมันมาคืนไว้ที่เดิมภายในเวลาคืนพรุ่งนี้เหมือนเดิม” เรื่องนี้ไม่เป็นเพียงแค่เรื่องของเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้น เพราะองค์รัชทายาทกำลังจะถูกจัดการ เรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินโชคร้ายก็เพียงถูกดึงเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรเขาจะไม่ให้แผนการของจักรพรรดินีสำเร็จอย่างแน่นอน

“ตกลง” หากว่านางไม่เชื่อแม้แต่หลานจิ่วชิงแล้วนางจะไปเชื่อใครเล่า ชีวิตของนางล้วนได้หลานจิ่วชิงเป็นคนช่วยเหลือเอาไว้

เวลาค่อนข้างกระชั้นชิด หลานจิ่วชิงถือฉินเอาไว้แล้วรีบจากไปทันที ก่อนจะเดินทางจากไปได้กำชับเฟิ่งชิงเฉินให้คอยระมัดระวัง ให้นางตรวจสอบของทุกชิ้นที่จักรพรรดินีประธานให้

“วางใจเถิด ข้าจะระมัดระวังเป็นพิเศษ” ที่จริงแล้วต่อให้หลานจิ่วชิงไม่ตักเตือนนาง นางเองก็ทำเช่นนั้นอยู่ดี

หลานจิ่วชิงเดินออกไปที่นอกประตูแล้วหันมามองดูเฟิ่งชิงเฉินอีกครั้ง เมื่อพบร่างอันเรียวบางของเฟิ่งชิงเฉิน หลานจิ่วชิงก็ตัดสินใจจะไปหาซูเหวินชิงให้นำอาวุธลับของเฟิ่งชิงเฉินกลับคืนมาให้แก่นาง

ไม่ว่าจะเป็นอาวุธลับหรือกลไกใดๆ ล้วนอยู่ในมือของซูเหวินชิง หลานจิ่วชิงนำฉินเข้าไปยังห้องลับของตระกูลซู จากนั้นนำฉินมองไปให้ซูเหวินชิง ให้เขาไปหาช่างไม้มาตรวจสอบโดยละเอียด “หากว่าไม่พบปัญหาใดให้ลองดูว่าในเวลาหนึ่งวันสามารถจำลองฉินที่มีหน้าตาเช่นเดียวกันนี้ได้หรือไม่?”

เขาไม่วางใจเลยที่เฟิ่งชิงเฉินจะใช้ฉินนี้ในการแข่งขัน

“ข้าจะพยายามให้คนของข้าตรวจสอบดูอย่างสุดความสามารถ ส่วนจะสามารถปลอมแปลงขึ้นมาให้ได้ภายในหนึ่งวัน ไม่อาจเป็นไปได้ เนื่องจากสายของฉินนี้ทำขึ้นมาจากวัสดุพิเศษ องค์รัชทายาทใช้เวลาเนิ่นนานทีเดียวในการจัดเตรียมก่อนจะทำฉินนี้ออกมาได้ ดังนั้นบนโลกนี้คงไม่อาจมีฉินสายน้ำแข็งตัวที่สอง เพราะว่าฉินสายน้ำแข็งโดดเด่นไม่เหมือนใครและมีหนึ่งเดียวในโลก คนที่รู้เพียงแค่มองดูก็รู้ว่าจริงหรือปลอม”

“เอาตามนั้น” หลานจิ่วชิงไม่อยากจะบังคับเขา ตอนนี้เขาหวังเพียงว่าคนของซูเหวินชิงจะพบปัญหาของฉินตัวนี้

“ข้าจะเอาฉินไปส่ง” ซูเหวินชิงกอดฉินเอาไว้แล้วเดินออกไป จู่ๆ หลานจิ่วชิงก็เอ่ยปากเตือนขึ้นว่า “เหวินชิง เจ้าอย่าลืมเอาอาวุธลับของเฟิ่งชิงเฉินมาด้วย”

“เจ้าจะคืนให้นางหรือ?” ซูเหวินชิงชะงักฝีเท้าลงแล้วหันไปเอ่ยถาม

“ใช่ เมื่อคืนนี้นางเกือบจะตายเสียแล้ว” หากมีอาวุธลับนั้นละก็เฟิ่งชิงเฉินคงจะปลอดภัยกว่า และมีความสามารถในการป้องกันตนเองทำให้เขาวางใจลงได้บ้าง

จิ่วชิงไม่เคยอธิบายในสิ่งที่เขากระทำมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอธิบาย ซูเหวินชิงมองไปทางหลานจิ่วชิงด้วยดวงตาอันลึกล้ำ ก่อนจะก้มหน้าลงมองไปยังฉินนี้แล้วพยักหน้าขึ้นว่า “อืม”

หลานจิ่วชิงไม่ได้สังเกตดวงตาอันลึกล้ำของซูเหวินชิง เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้หินตัวเดิมเพื่อรอให้ซูเหวินชิงกลับมา

ปู้จิงหยุนนั่งอยู่ตรงข้ามกับหลานจิ่วชิง เขาลังเลอยู่เนิ่นนานก่อนที่จะรวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้นว่า “จิ่ว จิ่วชิง เจ้าไม่ยุ่งใช่หรือไม่?”

“มีเรื่องใด?” หลานจิ่วชิงหางตากระตุก รู้สึกถึงแววตาอันเยือกเย็น

“เอ่อคือ เอ่อคือ……เป่าเอ๋อ นาง……” ปู้จิงหยุนดูท่าทางตื่นตระหนกจนลืมไปเสียว่าเดิมทีต้องการกล่าวเรื่องใด

“เป่าเอ๋อเป็นอะไรไป? อาการกำเริบหรือ หากอาการกำเริบก็จงไปหาหมอ” หลานจิ่วชิงทำสีหน้าท่าทางเคร่งขรึมเหมือนตอนทำงาน

เดิมทีปู้จิงหยูนรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ แต่เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของหลานจิ่วชิงก็โมโหขึ้นทันที “หลานจิ่วชิง เหตุใดเจ้าจึงเป็นคนเช่นนี้? เป่าเอ๋อเป็นคู่หมั้นของเจ้า แต่เจ้ากลับไม่เอาใจใส่นางแม้แต่น้อย”

“เอาใจใส่หรือ ข้าจะเอาใจใส่นางเช่นไร? เป่าเอ๋อดีๆ อยู่ไม่ใช่หรือ ข้าไม่ได้ให้นางกินน้อยหรือมอบเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มให้นางน้อย กลับกัน ข้าให้นางใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ไม่มีเรื่องใดที่ต้องทำให้นางกังวลใจ ข้ายังเป็นห่วงเอาใจนางได้ไม่พอหรือ?” หลานจิ่วชิงตอบออกมาด้วยท่าทางหงุดหงิด

“ใช่ เจ้าให้นางทุกอย่าง แต่นอกจากการกินดื่มและเครื่องนุ่งห่มแล้วเจ้าเคยใส่ใจเรื่องอารมณ์ความรู้สึกของเป่าเอ๋อหรือไม่? นางเดินทางมาตั้งนานแล้วแต่เจ้ากลับไม่เดินทางไปพบนางเลยสักครั้ง ในฐานะคู่หมั้นของเป่าเอ๋อ เจ้าคิดว่าเจ้าทำได้ถูกต้องแล้วหรือไม่ จิ่วชิง เป่าเอ๋อเป็นคนไม่ใช่สัตว์เลี้ยง นางไม่ได้ต้องการเพียงอาหารและเครื่องนุ่งห่ม นางจำเป็นและต้องการคนอยู่เป็นเพื่อนคอยดูแลเอาใจใส่” ที่สำคัญที่สุดก็คือเป่าเอ๋อต้องการเจ้า ประโยคนี้ปู้จิงหยุนไม่ได้กล่าวออกมา

“จิงหยุน ในฐานะคู่หมั้นของเป่าเอ๋อ ข้าให้อาหารเครื่องดื่มเครื่องนุ่งห่มแก่นาง ให้นางเสพสุขความสะดวกสบาย ข้าทำในสิ่งที่คู่หมั้นควรจะทำแล้วทุกเรื่อง อย่าลืมว่าเป่าเอ๋อเป็นเพียงแค่คู่หมั้นของข้าไม่ใช่ภรรยา ตามกฎแล้วการที่คู่หมั้นจะไม่พบหน้ากันก่อนก็เป็นเรื่องปกติ” อย่าว่าแต่คู่หมั้นเลย ต่อให้เป็นภรรยา ก็ไม่มีอำนาจใดมาเรียกร้องให้เขาอยู่ด้วยตลอด

จักรพรรดินีกล้าร้องขอให้องค์จักรพรรดิอยู่เป็นเพื่อนนาง เอาใจนางตลอดเวลาหรือไม่?

ในเมื่ออยากจะแต่งเข้ามาในตระกูลราชวงศ์ ก็จำเป็นจะต้องเตรียมความพร้อมในการอยู่อย่างโดดเดี่ยวเอาไว้ หากไม่อยากอยู่อย่างโดดเดี่ยวละก็จำเป็นจะต้องมีอำนาจ ยืนอยู่เคียงข้างกับเชื้อพระวงศ์ได้

แต่เห็นได้ชัดว่าเป่าเอ๋อไม่มีคุณสมบัตินั้น

“แต่ว่า แต่ว่า……เป่าเอ๋อนั้นแตกต่างกันไป” แม้ว่าสิ่งที่หลานจิ่วชิงกล่าวมาจะมีเหตุมีผล ในฐานะคู่หมั้นเรียกได้ว่าหลานจิ่วชิงทำได้ดีมากพอแล้ว และปู้จิงหยุนก็สัมผัสได้ ท้ายที่สุดแล้วเขาจึงทำได้เพียงเอ่ยถึงเหตุผลเช่นนี้ออกมา

“ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันอย่างไร?” หลานจิ่วชิงยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น

ต่อให้ไม่เหมือนกัน ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่สตรีคนหนึ่ง

“เป่าเอ๋อ เป่าเอ๋อสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง นางจะโมโหไม่ได้ เพื่อคำนึงถึงสุขภาพของนางแล้วนั้นเจ้าควรจะอยู่เป็นเพื่อนนาง คอยดูแลและเอาใจนาง” คนบนโลกนี้ล้วนเห็นอกเห็นใจผู้ที่บอบบางอ่อนแอ ฉินเป่าเอ๋อหากจะเทียบกับเฟิ่งชิงเฉินแล้วนั้น เห็นได้ชัดว่าฉินเป่าเอ๋ออ่อนแอกว่ามากทีเดียว ดังนั้นการที่ปู้จิงหยุนร้องขอให้หลานจิ่วชิงไปดูแลอยู่เป็นเพื่อนฉินเป่าเอ๋อจึงไม่ใช่เรื่องผิด

“เป็นเพราะร่างกายนางไม่แข็งแรงไม่อาจได้รับความขุ่นเคืองใจ ข้าจึงจำเป็นต้องอยู่เป็นเพื่อนนางหรือ? จำเป็นต้องเอาใจนางหรือ? ปู้จิงหยุนเจ้าอย่าลืมไปว่าข้าเป็นใคร และอย่าลืมในสิ่งที่พวกเราจะทำ เจ้าคิดว่าข้ามีเวลาอยู่เป็นเพื่อนนางหรือ?”

“ปู้จิงหยุน เจ้ากล่าวว่าข้าทำในสิ่งที่คู่หมั้นควรทำได้ไม่ดี ถ้าเช่นนั้นเป่าเอ๋อทำในสิ่งที่นางควรจะทำในฐานะคู่หมั้นของหลานจิ่วชิงแล้วหรือไม่ นางสามารถจัดการและเผชิญหน้ากับกลยุทธ์ต่างๆ ได้หรือไม่ นางสามารถใช้ชีวิตที่ต้องอยู่กับการเสียเลือดได้หรือไม่ นางเผชิญหน้ากับอันตรายเพียงลำพังได้หรือเปล่า?”

“ไม่ได้ อย่าว่าแต่เรื่องเหล่านี้เลย ต่อให้เป็นเรื่องปกติธรรมดาในชีวิตนางยังทำไม่ได้ ปู้จิงหยุนข้าคือหลานจิ่วชิง ไม่ใช่คุณชายผู้ว่างงาน ข้าไม่มีเวลามาใส่ใจความรู้สึกและเที่ยวเล่นแบบนี้” โลกของเขาและเป่าเอ๋อไม่เหมือนกัน เขาไม่รู้ว่าจะเข้าหาเป่าเอ๋อได้จากด้านใด

ปู้จิงหยุนไม่รู้จะพูดสิ่งใดออกมา เมื่อหลานจิ่วชิงดูแข็งแกร่งขึ้น ปู้จิงหยุนจึงดูอ่อนแอลง ท้ายที่สุดแล้วจึงได้แต่พึมพำออกมาว่า “ข้าไม่ได้หมายถึงต้องอยู่เป็นเพื่อนนางทุกวันทุกวี่ เพียงแค่เจ้าเดินทางไปหาเป่าเอ๋อบ้างเป็นครั้งคราวก็เพียงพอแล้ว เป่าเอ๋อคิดถึงเจ้า”

“หึๆๆ……” หลานจิ่วชิงหัวเราะออกมาด้วยความเยือกเย็น “จิงหยุน เจ้าควรจะรู้จักเป่าเอ๋อมากกว่าข้า หากว่าข้าเดินทางไปหานางครั้งแรก ก็จะต้องมีครั้งที่สองครั้งที่สามตามมา นางจะต้องเอ่ยร้องขอให้ข้าทำตามความต้องการของนาง แต่หากว่าข้าทำไม่ได้ ก็หมายความว่าข้าไม่เอาใจใส่นาง และทำผิดต่อนาง ปู้จิงหยุน เจ้ารู้ดีกว่าข้านักว่าเวลาว่างของข้ามีเท่าไรกัน ด้วยเวลาว่างเหล่านี้ข้าสามารถทำให้เป่าเอ๋อพึงพอใจได้หรือ?”

“เอ่อ……” ปู้จิงหยุนอ้าปากค้าง เขาไม่อาจกล่าวสิ่งใดออกมาได้เลยเป็นเวลาเนิ่นนาน

สิ่งที่จิ่วชิงกล่าวออกมานั้นถูกต้องแล้ว เพียงแค่จิ่วชิงไปพบกับเป่าเอ๋อครั้งหนึ่ง นางก็จะอ้อนวอนและร้องเรียก เมื่อถึงเวลานั้น……เขาจะเอ่ยโน้มน้าวหลานจิ่วชิงอีกหรือไม่?

ปู้จิงหยุนก้มหน้าลงแล้วไม่กล้ากล่าวสิ่งใดอีก

ฮือๆ เขาให้คำสัญญากับเป่าเอ๋อไปแล้วว่าจะให้หลานจิ่วชิงไปหานางให้ได้ แล้วตอนนี้จะทำเช่นไรดี?

“เหอะๆ……” หลานจิ่วชิงหันหน้าไปทางอื่นแล้วยิ้มออกมาด้วยความเยือกเย็น

ต้องการที่จะใช้ข้าในการเอาอกเอาใจหญิงงาม เจ้าฝันไปเถิด ข้าไม่จัดการกับเจ้าก็นับว่าบุญโข

ถูกต้องแล้ว หลานจิ่วชิงตั้งใจทำเช่นนั้น เป่าเอ๋อไม่ได้ไร้เหตุผลดังที่เขากล่าวมาเมื่อครู่ ไม่มีปัญหาใดหากเขาจะเดินทางไปหานางสักครั้ง แต่เหตุใดเขาจึง ต้องทำให้ปู้จิงหยุนประสบความสำเร็จ?

เขามองไปทางปู้จิงหยุนอย่างอารมณ์ดี แต่บัดนี้ปู้จิงหยุนได้แต่ก้มหน้าก้มตาและโมโห ทำให้เขาอารมณ์ดีกว่าเดิมเพราะเห็นปู้จิงหยุนหงุดหงิดแต่ไม่มีที่ระบาย

“พวกเจ้าเป็นอะไรไปกัน?” ซูเหวินชิงเดินตรงเข้ามาและพบว่าท่าทางของหลานจิ่วชิงเยือกเย็นดุจดังหินแกะสลัก นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน สวนปู้จิงหยุนทำท่าเหมือนไก่ชนที่พ่ายแพ้ ช่างไร้เรี่ยวแรงห่อเหี่ยว

“ไม่มีอะไรหรอก” ปู้จิงหยุนไม่กล้าบอกว่าเขาต้องการให้หลานจิ่วชิงไปอยู่เป็นเพื่อนเป่าเอ๋อ

แต่ว่าหากจิ่วชิงไม่ไปหาเป่าเอ๋อ แล้วเขาจะบอกกับเป่าเอ๋ออย่างไรเล่า? เมื่อนึกถึงท่าทางอันผิดหวังของเป่าเอ๋อและเสียอกเสียใจ ดวงตาอันห่อเหี่ยวคู่นั้นทำให้หัวใจของปู่จิงหยุนเกร็งเครียด

จิ่วชิง เหตุใดเจ้าจึงใจดำทนเห็นเป่าเอ๋ออยู่โดดเดี่ยวได้?

เฮ้อ……ซูเหวินชิงกลอกตามอง ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น

หลายวันมานี้เป่าเอ๋ออาละวาดไม่น้อย ที่ว่าอาละวาดนั้นไม่ใช่ว่านางโหวกเหวกโวยวายร้องไห้ร้องห่มกับปู้จิงหยุน แต่นางใช้ดวงตาอันน่าสงสารและน่าเห็นใจดุจดั่งลูกกวางน้อยของนางมองมาทางปู้จิงหยุนจนทำให้ปู้จิงหยุนใจอ่อน

ดูเหมือนตอนนี้เขากำลังนั่งดูละคร มองเห็นปู้จิงหยุนที่กำลังรู้สึกอึดอัดใจและทำตัวไม่ถูก ดูเหมือนพรุ่งนี้ปู้จิงหยุนจะถูกดวงตาอ้อนวอน น่าสงสารคู่นั้นจับจ้องเอาอีกแล้ว เมื่อนึกถึงบรรยากาศนั้นขึ้นมาได้ ซูเหวินชิงก็อารมณ์ดียิ่งนัก

สมน้ำหน้าเจ้าปู้จิงหยุน เป่าเอ๋อไม่ใช่คนที่พวกเราจะไปหาเรื่องได้ง่ายๆ พวกเขาไม่ได้มีความรู้สึกและเวลาว่างเพียงพอจะไปอยู่เป็นเพื่อนนางเช่นนั้น

เมื่อนึกถึงสภาพอันน่าสมเพชของปู้จิงหยุนในวันพรุ่งนี้ ซูเหวินชิงก็หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่เห็นอกเห็นใจท่ามกลางดวงตาที่ส่องประกายมาเหมือนจะฆ่าคนให้ตายได้ ณ บัดนั้นของปู้จิงหยุน เขาได้ยื่นของให้แก่หลานจิ่วชิงกล่าวว่า “จิ่วชิงนี่คือของที่เจ้าต้องการ”

หลานจิ่วชิงหันมามองดูแล้วรับมันเข้ามาสะพายไว้ในกระเป๋าเสื้อ “ข้าไปก่อน ช่วงนี้พวกเจ้าจงระวังให้ดี เฟิ่งชิงเฉินบอกว่าช่วงนี้นางค่อนข้างยุ่ง นางไม่มีเวลามารักษาพวกเจ้าหรอก”

“วางใจเถิด ไม่เกิดเรื่องใดขึ้นแน่” ซูเหวินชิงกล่าวออกมาด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ ช่วงนี้ไม่ว่าเรื่องใดล้วนทำได้อย่างราบรื่น เขาอารมณ์ดียิ่งนัก

สำหรับซูเหวินชิงนั้นหลานจิ่วชิงวางใจเป็นที่สุด แต่เขาไม่อาจวางใจปู้จิงหยุนได้เลย……