ตอนที่ 1610 ปกป้องศิษย์ (4)
สถานการณ์นั้นแปลกมาก ทำให้เป้าหมายของกู่อิ่งในการมาที่นี่ในตอนแรกเกิดความสับสนไม่ชัดเจน
จวินอู๋เสียแอบจดสิ่งนี้ไว้ในใจ และเพื่อไม่ให้ซูหย่าเป็นกังวล นางจึงไม่ได้นำเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีก
เมื่อเห็นว่าจวินอู๋เสียห่วงใยนางขนาดนี้ สีหน้าของซูหย่าก็อ่อนลงเล็กน้อย นางยื่นมือไปตบหัวจวินอู๋เสีย ไม่แรงและไม่เบา แต่ทำให้หัวใจของจวินอู๋เสียเต็มไปด้วยความรู้สึกของการถูกตามใจและเอ็นดู
“เจ้าหนู ที่ข้าต้องพูดย้ำกับเจ้ามากมายขนาดนี้ ก็เพราะแขนขาที่ผอมแห้งแรงน้อยของเจ้านั่นแหละ ไม่ต้องพูดถึงพลังวิญญาณขั้นสีม่วงเลย แม้แต่พลังวิญญาณสีฟ้าหรือสีคราม หากเจ้าไปเจอเข้าและต้องรับมือตามลำพัง เจ้าก็ควรรีบหนีไปซะ ในอนาคตหากไม่คอยติดตามข้า เจ้าก็หาคนที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานมาปกป้องเจ้า อย่าไปไหนมาไหนเองตามลำพัง รูปร่างอย่างเจ้ามันน่าแกล้ง ไม่เหมาะไปไหนมาไหนคนเดียว” ซูหย่าเองก็ไม่เข้าใจ ศิษย์ตัวน้อยของนางเป็น “เด็กดีและซื่อตรง” ขนาดนี้ ทำไมถึงดึงดูดความขัดแย้งไม่พอใจมาเยอะแยะมากมายตลอดเวลา?
สวี่มู่, กู่อิ่ง, และไอ้พวกกระจอกในสำนักธาราเมฆ ทำไมทุกคนถึงจ้องเล่นงานจวินอู๋?
ในสายตาของซูหย่า ศิษย์ตัวน้อยของนางไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใครเลย ไม่เคยก่อเรื่องปวดหัวให้นางสักครั้ง สั่งให้ทำความสะอาด เขาก็ไปทำ สั่งให้ไปฝึก เขาก็ไปฝึก ไม่เคยได้ยินคำทักท้วงใดๆเลย เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานจนคนมองข้ามตัวตนของเขาอยู่บ่อยๆ แล้วทำไมผู้คนมากมายถึงเกลียดชังเขานัก?
สำหรับคำถามในใจของซูหย่านั้น จวินอู๋เสียก็ไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้จริงๆ
หากวันหนึ่งซูหย่ารู้ว่าศิษย์ที่ซื่อตรงไร้เล่ห์เหลี่ยมมารยาที่นางรู้จัก แท้จริงแล้วคือแกะขนปุยที่กินคนจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกล่ะก็ ไม่รู้ว่าซูหย่าจะคิดยังไง
จากนั้นจวินอู๋ก็ถูกทิ้งให้ฝึกฝนพลังอย่างเงียบๆ ทั้งอาจารย์และศิษย์ต่างทำงานของตัวเองราวกับก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ต่างทำสิ่งที่ตัวเองต้องทำ
เทียนเจ๋อพากู่อิ่งออกมาจากสาขาจ้าววิญญาณ ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดทาง เมื่อเทียบกับศิษย์อาจารย์คู่อื่นๆในสาขาพลังวิญญาณที่รักใคร่กลมเกลียวกันดี เทียนเจ๋อมีแต่ความระแวงและระวังให้กับกู่อิ่งเท่านั้น
“ครูเทียนเจ๋อ” จู่ๆกู่อิ่งก็หยุดเดิน
เทียนเจ๋อชะงักเล็กน้อย แล้วพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “มีอะไร?”
กู่อิ่งยิ้มและพูดว่า “จุดประสงค์ในการมาที่สำนักธาราเมฆของข้าสำเร็จลุล่วงแล้ว ท่านพ่อกำลังรอให้ข้ากลับไปรายงาน ข้าอยู่นานไม่ได้ ต้องกลับแล้ว”
[เอ๋ เจ้าเด็กนี่มีสำนึกรู้ตัวเองตั้งแต่เมื่อไร? รู้ว่าสำนักธาราเมฆไม่ต้อนรับ ก็เลยจะไปแล้วซินะ]
เทียนเจ๋อเกือบยิ้มและตบมือด้วยความยินดี เขาดีใจจนแทบกระโดด แต่สีหน้ายังคงสงบนิ่งและจริงจัง
“หืม งั้นหรือ? งั้นเจ้าก็รีบกลับไปรายงานเถอะ ข้าจะไปส่งเจ้าเอง” เทียนเจ๋ออยากส่งกู่อิ่งออกไปนอกสำนักธาราเมฆจนทนรอแทบไม่ไหว เขาไม่ได้ถามด้วยซ้ำว่ากู่อิ่งอยากไปกล่าวลากู่ซินเยียนรึเปล่า แต่พากู่อิ่งไปส่งที่ประตูใหญ่ของสำนักธาราเมฆทันที
กู่อิ่งเดินออกไปทางประตูของสำนักธาราเมฆและเห็นว่าสายตาดุดันของเทียนเจ๋อยังคงมองมาที่เขา กู่อิ่งรู้ตัวดีว่าไม่ควรอยู่ที่นั่นนานไปกว่านี้ เขาก้าวยาวๆออกเดินไปข้างหน้าทันที
ในสำนักธาราเมฆ หลินเฮ่าอวี่ยังคงรอให้กู่อิ่งแก้แค้นให้เขา ไม่เคยคิดฝันเลยว่าที่เขาสู้อุตส่าห์รวบรวมความกล้ามาขอความช่วยเหลือจากกู่อิ่งนั้น สุดท้ายแล้วกู่อิ่งจะไปจากที่นี่โดยไม่ทำอะไรเลย
บนยอดเขาฝูเหยาเงียบสงัด แสงตะวันยามเย็นสาดส่องลงมายังป่าทึบที่ปกคลุมภูเขาสีเขียวพร้อมด้วยความอบอุ่นจางๆ
กู่อิ่งเดินลงมาจากยอดเขา หลังจากออกห่างได้ไม่ไกลนัก เขาก็หยุดอยู่ที่ข้างทาง จากนั้นก็หันกลับไปมองยังทิศทางของสำนักธาราเมฆ