เซียวจิ่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หนังสีดำ หลับตาฟังผู้บริหารคนนั้น หลังจากที่ผู้บริหารกล่าวจบเขาก็ถามว่า “แล้ว?”
ผู้บริหารมองหน้ากันและกันอย่างงุนงง เซียวจิ่งยิ้ม “ไม่มีประโยชน์ที่คุณจะมาโน้มน้าวผม คุณต้องไปคุยกับท่านประธานเฉียว ผมถือหุ้นเฉียวแค่สิบเปอร์เซ็นต์ ประธานเฉียวมีอำนาจสูงสุดในการสั่งการ”
ผู้บริหารต่างพากันมองเซียวจิ่งอย่างหงุดหงิด “ท่านประธานเซียว ได้โปรดห้ามท่านประธานเฉียวอย่าให้เขาทำแบบนี้ เรารู้ว่าเขาฟังคุณ”
เฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปเป็นบริษัทร่วมทุนก็จริง แต่ผู้ร่วมหุ้นมีเสียงน้อยมาก เพราะพวกเขาถือหุ้นคนละไม่มาก เฉียวเหลียงถือครองหุ้นเฉียวฯ เกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ เซียวจิ่งถืออีกสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นคนอื่นๆ ในฐานะผู้ถือหุ้นรายเล็ก ไม่สามารถคัดค้านอะไรเขาทั้งสองได้
ตามหลักแล้วเฉียวเหลียงกับเซียวจิ่งคือผู้ถือหุ้นรายใหญ่สองราย สามารถทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ แม้จะมีใครสักคนถือครองหุ้นเฉียวฯ คนเดียวสิบเปอร์เซ็นต์ ก็คงไม่อาจต้านทานคนทั้งสอง
เซียวจิ่งยิ้มเมื่อสังเกตเห็นว่ากรรมการและผู้บริหารต่างยอมแพ้ เขาลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “การประชุมครั้งนี้ถือเป็นความลับ ผมไม่ต้องการเห็นใครทำข้อมูลการประชุมรั่วไหล เอาละ ในเมื่อเราได้มติเป็นเอกฉันท์แล้ว วันนี้ก็พอแค่นี้”
…
ขณะเซียวจิ่งเดินออกมา ผู้ช่วยคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามากระซิบกับเขา “ท่านประธานเซียวครับ มีผู้หญิงคนหนึ่งมาก่อกวนที่ห้องโถงชั้นหนึ่ง และด่าว่าท่านประธานเฉียวตลอดเวลา เราโทรหาท่านประธานเฉียว แต่เขาไม่สนใจ เราจะจัดการยังไงดีครับ ท่านประธานเซียว”
เซียวจิ่งลูบหัวคิ้วอย่างอ่อนล้า ขณะเดินเข้าไปในลิฟต์และถามว่า “ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
ผู้ช่วยลังเล เซียวจิ่งมองสีหน้าลังเลนั้นในกระจกแล้วขมวดคิ้ว “เอ้า เร็วสิ บอกผมมาว่าเธอเป็นใคร”
“ดูเหมือนว่าเธอคือคุณนายลู่ครับ”
“คุณนายลู่คนไหน” เซียวจิ่งเอนหลังพิงผนังลิฟต์แล้วหลับตาลงเพื่อพักสายตา
ผู้ช่วยเอ่ยเสียงต่ำ “มีคุณนายลู่คนอื่นอีกหรือครับในเมือง A”
เซียวจิ่งลืมตาขึ้นมองผู้ช่วย แล้วเลิกคิ้ว “ลัวเสี่ยวลี่หรือ”
ผู้ช่วยพยักหน้า เมื่อลิฟต์มาถึงชั้นหนึ่งเซียวจิ่งก็เดินออกไป ผู้ช่วยรีบตามเขาไปติดๆ “ท่านประธานเซียว คุณจะไปจัดการเรื่องนี้ไหมครับ”
เซียวจิ่งขมวดคิ้วและกล่าวอย่างหมดความอดทน “อยากจะด่าก็ปล่อยให้ด่าไป โทรหานักข่าวแล้วก็ปล่อยให้คนภายนอกทั่วไปได้ยินว่าหล่อนด่าเฉียวเหลียง ฉันคิดว่าชาวเน็ตจำนวนมากจะสนุกกับการแสดงสดรายการนี้”
“เอ้อ!” ผู้ช่วยตกตะลึง ทำไมท่านประธานเซียวถึงเป็นคนชอบแหกกฎอย่างนี้
เซียวจิ่งหันกลับไปมองผู้ช่วยซึ่งกำลังตะลึง แล้วโวยวายเสียงดัง “เอ้า! ไปเตรียมรถไปส่งผมกลับบ้านสิ ผมอยากนอนจะตายอยู่แล้ว บ้าบอที่สุด!”
“คุณจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยใช่ไหมครับ…” เมื่อเห็นสีหน้าขุ่นเคืองของเซียวจิ่ง ผู้ช่วยก็รีบพยักหน้าแล้วรีบไปนำรถมา เขาโทรเรียกนักข่าวไปพลางขณะเดินไป “สวัสดีครับ นักข่าวของ XX เอ็นเตอร์เทนเมนต์ใช่ไหมครับ ผมอยู่ที่เฉียวอินเตอร์แนชันนัล เห็นผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาคล้ายภรรยาประธานหงคุนกรุป เธอกำลังด่าทอประธานเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปใหญ่เลยครับ ใช่ครับ เธอแช่งด่าเหมือนคนบ้าเลย ต้องเป็นพาดหัวข่าวที่ใครๆ ก็สนใจอย่างแน่นอน ทำไมคุณไม่มาดูที่นี่ล่ะครับ”
“ได้สิ ผมจะส่งคลิปวิดีโอไปให้ ได้ ได้…” ผู้ช่วยวางสายโทรศัพท์ หันไปถ่ายวิดีโอและส่งให้นักข่าวคนนั้น จากนั้นก็วิ่งไปที่ลานจอดรถใต้ดินเพื่อขับรถขึ้นมา
เซียวจิ่งมองดูลัวเสี่ยวลี่ ซึ่งกำลังยุ่งอยู่กับพนักงานรักษาความปลอดภัย ร่องรอยความรังเกียจพาดผ่านสายตาเขา เขาเดินล้วงกระเป๋าเข้าไปในบริเวณพื้นที่พักผ่อนและนอนลงบนโซฟา ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องก็ปลุกเขาขึ้นมา พอเขาลืมตาขึ้นก็ได้ยินลัวเสี่ยวลี่กรีดร้อง “พวกแกมาห้ามฉันทำไม! ฉันจะทำให้ทุกคนรู้ว่าเฉียวเหลียงคนนี้ชั่วร้ายแค่ไหน เขาต้องการจะฆ่าพ่อของเขาเอง! ยังจะมีใครกล้าทำงานกับเขาอีกเหรอ!”
“พอได้แล้ว! ดูตัวเองสิ! เธอเหมือนผู้หญิงข้างถนนไม่มีผิด!” ลู่กวงสยงหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาขึ้นรถและสั่งให้คนขับรถมาลากลัวเสี่ยวลี่ไปขึ้นรถ ทว่าลัวเสี่ยวลี่เป็นบ้าไปแล้วโดยสิ้นเชิง เธอข่วนหน้าคนขับรถเหมือนคนบ้า ใบหน้าคนขับรถที่น่าสงสารมีรอยข่วนเป็นทางมีเลือดออกซิบๆ ลู่กวงสยงนั่งอยู่ในรถมองลัวเสี่ยวลี่ที่กำลังบ้าคลั่ง เขาหรี่ตาและลดกระจกรถลง มองหน้าคนขับรถและกล่าวอย่างเย็นชา “ไปกันเถอะ ปล่อยเธอไว้ที่นี่คนเดียว! เธอนี่มันอัปยศแท้ๆ!”
“ฉันอัปยศอย่างนั้นหรือ! แล้วคุณล่ะ!” ลัวเสี่ยวลี่กรีดร้องเสียงดัง “ลูกชายฉันถูกตำรวจคุมตัวไป บัตรเครดิตฉันถูกธนาคารอายัด บ้านฉันถูกศาลยึด ฉันสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ทำไมฉันต้องกลัวที่จะสร้างความอัปยศ! เฉียวเหลียงซ้อมลูกชายฉัน ถ้ามันไม่ให้เงินฉันเป็นค่าชดเชย ฉันจะไม่ไปไหน จะอยู่ที่นี่ด่ามันอยู่อย่างนี้แหละ!”
เซียวจิ่งได้ยินเธอพูดอย่างนั้นก็หัวเราะเยาะ ลุกขึ้นเดินไปที่ประตูทางออก ทันใดนั้นพนักงานคนหนึ่งก็เห็นเซียวจิ่งและรีบเข้ามาทักทายเขา พนักงานคนอื่นๆ รีบหลีกทางให้เขา เซียวจิ่งมองคนเหล่านั้นและถามว่า “มัวมาดูกันอยู่ทำไม พวกคุณทำงานของตัวเองเสร็จแล้วเหรอ”
พนักงานทุกคนจึงแยกย้ายกันออกไป เซียวจิ่งเดินช้าๆ เข้าไปหาลัวเสี่ยวลี่ อีกฝ่ายก็พุ่งเข้ามาทันทีที่เห็นเขา “แกน่ะเอง! สุนัขปากเปราะของเฉียวเหลียง! แกทำลายบริษัทของเรา!”
พนักงานรักษาความปลอดภัยรีบเข้ามาห้ามเมื่อเธอจะเข้าไปคว้าตัวเซียวจิ่ง ลัวเสี่ยวลี่ดิ้นรน พยายามกระโจนเข้าไปเตะเซียวจิ่ง พนักงานรักษาความปลอดภัยสองคนลากเธอออกมา ให้แน่ใจว่าเธอไม่สามารถเข้าถึงตัวเซียวจิ่ง
เซียวจิ่งมองไปยังลู่กวงสยงซึ่งหลบอยู่ในรถ แล้วหันมามองลั่วเซียวลี่ที่ดูเหมือนผู้หญิงปากตลาด เขามองหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยด้วยสายตาเยือกเย็น ขณะกล่าวว่า “พวกคุณแก้ปัญหาน่ารำคาญเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ไม่ได้หรือไง ได้แต่มองดูหล่อนตะโกนด่าทออยู่หน้าประตูบริษัทอย่างนี้หรือ นี่หรือคือวิธีปกป้องภาพลักษณ์บริษัทของพวกคุณ”
พนักงานรักษาความปลอดภัยไม่คาดคิดว่าจะโดนเซียวจิ่งดุ และมองเซียวจิ่งอย่างจนปัญญา ตัวตนของผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ธรรมดา พวกเขาไม่กล้าหยาบคายกับเธอมากเกินไป
พนักงานรักษาความปลอดภัยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ท่านประธานเซียว เราจะทำยังไงกับเธอดีครับ”
“ฮึ!” เซียวจิ่งหัวเราะเยาะ แล้วกล่าวอย่างเย็นชา “ทำยังไงดีน่ะเหรอ โยนหล่อนออกไป โทรแจ้งตำรวจให้มาเอาตัวไป”
“ฮะ?” เห็นได้ชัดว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคิดไม่ถึงว่าเซียวจิ่งจะพูดแบบนี้
“แกไม่กล้าหรอก!” ดวงตาลัวเสี่ยวลี่แดงก่ำ เธอตะโกนใส่เซียวจิ่งเมื่อได้ยินอย่างนั้น “ก็ลองดูสิ!”
“ฮ่าๆ …” เซียวจิ่งหัวเราะเยือกเย็น “หล่อนนี่โง่จริงๆ หรือ ทำไมถึงแน่ใจว่าเราจะไม่กล้าไล่หล่อน” เขาหันไปหาพนักงานรักษาความปลอดภัยและสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “โยนหล่อนออกไป!”