ภาค 4 กวาดล้างหมื่นลี้ บทที่ 353 นอกเหนือจากชัยชนะ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ในวันถัดมา เยี่ยนจ้าวเกอกับอาหู่เดินทางข้ามทะเลเหนือโดยเรือ

ระหว่างทาง เยี่ยนจ้าวเกอทำความเข้าใจกับเศษเกล็ดมังกรที่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็งเหลือไว้ไปพลาง ดูดเลือดมังกรที่แฝงอยู่ในซากมังกรน้ำแข็งไปพลาง เพื่อฝึกฝนร่างกาย พร้อมกับดูดสุดยอดปราณวิญญาณ

การใช้เลือดมังกรฝึกร่างกาย ทำให้กล้ามเนื้อของเยี่ยนจ้าวเกอแข็งแกร่งขึ้นจากภายในสู่ภายนอกอย่างต่อเนื่อง

หลังจากดูดซับสุดยอดปราณวิญญาณในเลือดมังกรเสร็จ ปราณจิตราของเยี่ยนจ้าวเกอก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดเช่นกัน

เนื่องจากมีโอกาสและทรัพยากรที่เป็นใจ จึงทำให้เยี่ยนจ้าวเกอสะสมพลังปราณได้มากขึ้น ประหยัดเวลาฝึกปรือฝีมือไม่น้อย

ก่อนที่จะออกจากสำนัก เยี่ยนจ้าวเกอเพิ่งให้กำเนิดเมล็ดวิญญาณ บรรลุเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นซ่อนจิตระยะกลาง บัดนี้เขาจึงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตนเองมีพัฒนาการวดเร็วยิ่งกว่าที่คาดไว้

ไม่เพียงแต่เมื่อต้องเทียบกับผู้อื่นเท่านั้น ยังรวดเร็วยิ่งกว่าการคาดการณ์ของตนเองเสียอีก

เขารู้สึกได้เลือนรางว่า เมล็ดวิญญาณของตนได้แตกหน่ออ่อน ให้กำเนิดหน่อวิญญาณ จะกลายเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นซ่อนจิตระยะท้ายได้ในอีกไม่นาน

นี่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงก่อนจะมายังแดนเหนือ ถึงอย่างไรก็มีไม่กี่คนที่ทราบว่าร่องรอยที่อยู่ของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็งอยู่ในซากมังกรแท้

เยี่ยนจ้าวเกอเดินทางไปพลาง ฝึกฝนไปพลาง ทั้งยังหลบเลี่ยงอันตรายกลางทะเล และสายตาของตำนักอัสนีสวรรค์

น่านน้ำในทะเลเหนืออยู่ภายใต้การควบคุมของตำหนักอัสนีสวรรค์ ตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอไม่อยากจะเสียเวลาไปกับพวกเขา

เมื่อเรือแล่นเข้าสู่เมืองศิลา หนึ่งในเก้าเมืองของวารีพิภพ อันอยู่ทิศใต้สุดของทะเลเหนือ เยี่ยนจ้าวเกอก็หลุดจากวงล้อมของตำหนักอัสนีสวรรค์

เมืองศิลาจัดเป็นเมืองลำดับที่เก้าของวารีพิภพ อยู่ภายใต้การควบคุมของเมืองทะเลมรกต แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งวารีพิภพ

ที่นี่มีผู้อาวุโสซึ่งเป็นผู้นำของเมืองทะเลมรกตนั่งแท่นบัญชาการ อีกทั้งยังมีขุมกำลังชั้นหนึ่งและชั้นสองที่ตั้งตัวในทะเลเหนือแห่งวารีพิภพอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง

พวกเขาแทรกซึมอยู่ในน่านน้ำทะเลเหนือ ที่มีตำหนักอัสนีสวรรค์ควบคุมอยู่โดยตลอด ทั้งสองฝ่ายจึงกระทบกระทั่งกันอยู่เป็นประจำ

การแจ้งเตือนที่มืองทะเลมรกตได้รับก่อนหน้านี้คือ เยี่ยนจ้าวเกอมุ่งหน้าสู่ทะเลทางตะวันออก ทว่าร่องรอยของเขาหายไปหลังจากนั้น

แต่ว่าปัจจุบัน ข่าวที่เยี่ยนจ้าวเกอก่อความวุ่นวายที่แดนเหนือได้เผยแพร่ออกมาบ้างแล้ว

ดังนั้นเมื่อเยี่ยนจ้าวเกอมาถึง เขาจึงไม่ได้ปกปิดร่องรอยของตนเอง

ถึงแม้จะยังอายุน้อย แต่ตำแหน่งของเขามิใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ระดับเดียวกันจะเทียบได้ การเข้าสู่เขตเมืองทะเลมรกตซึ่งเป็นเมืองพันธมิตร ก็จำเป็นต้องแจ้งให้อีกฝ่ายรับทราบ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการเสียมารยาท

เพราะอำนาจและภาระหน้าที่ในเขากว่างเฉิงของเยี่ยนจ้าวเกอนั้น มีความสำคัญยิ่งกว่าประธานอาวุโสประจำภูมิภาคเสียอีก

ถ้าหากเป็นไปได้ เดิมทีเยี่ยนจ้าวเกอไม่คิดจะเข้าเมืองศิลาด้วยซ้ำไป

ทว่าระหว่างการเดินทางบนทะเลเหนือ เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกถึงเค้าลางการฟื้นขึ้นของเสี่ยวสือจวินที่อยู่ในโลงน้ำแข็ง

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดคิด เขาจำเป็นต้องเตรียมตัว รวมถึงสิ่งของบางอย่าง จึงถือโอกาสขอให้จอมยุทธ์ในเมืองทะเลมรกตช่วยจัดหา

สถานที่ที่เมืองศิลาตั้งอยู่คล้ายกับเกาะใหญ่ ขนาดเท่าๆ กับทวีปขนาดเล็ก จอมยุทธ์ที่ไปมาจึงค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้น

เยี่ยนจ้าวเกอยังคงใส่เสื้อคลุมสีขาว คลุมทับไว้ด้วยเสื้อสีน้ำเงินขอบดำ

เขาไม่ได้ตั้งใจเปิดเผยตัวตน แต่ก็ไม่ได้ปิดบังร่องรอย เดินอยู่บนถนนอย่างสบายๆ

ทว่าสายตาของคนรอบข้างกลับจดจ้องอยู่ที่ตัวของอาหู่

ชายหนุ่มไม่ได้สนใจ ไม่ได้สนใจโดยสิ้นเชิง

วิธีแย่งความโดดเด่นของอาหู่ เยี่ยนจ้าวเกอไม่สนใจจะลองด้วยตนเองสักครั้ง

ระหว่างทางมานี้ อาหู่กับเยี่ยนจ้าวเกอดูดซับเลือดมังกรอย่างต่อเนื่อง เพื่อฝึกฝนร่างกาย เพิ่มพลังฝึกปรือ

แต่เทียบกับเยี่ยนจ้าวเกอที่ภายนอกยังคงปกติ อาหู่ในตอนนี้มีผิวเป็นสีน้ำเงินเข้ม อีกทั้งยังส่องแสงสีน้ำเงินแวววาว

เครื่องหน้า ลำคอ หรือแขน ขอแค่เป็นส่วนที่อยู่ด้านนอกเสื้อ ล้วนเป็นเช่นนี้ทั้งหมด

เมื่อได้มีสภาพเช่นนี้แล้ว อาหู่ไม่อยากแย่งความโดดเด่นก็เกรงว่าจะลำบาก

“มองอะไร” อาหู่ถลึงตามองคนที่เดินผ่านด้านข้างด้วยความไม่พอใจ เขาในตอนนี้เหมือนกับคำพูดที่ว่าโกรธจนหน้าเขียวจริงๆ

จากนั้น อาหู่ก็หันไปมองเยี่ยนจ้าวเกอย่างขื่นขม พูดเสียงอ่อน “คุณชาย…”

เยี่ยนจ้าวเกอเองก็อดทนต่อไปไม่ไหว “บอกเจ้าแต่แรกแล้วว่าอย่ารีบเกิน มิฉะนั้นจะเกิดข้อผิดพลาด แต่เจ้ากลับไม่ฟังข้า ตอนนี้ยังมาโอดครวญอีก”

อาหู่ก้มหน้าด้วยความเสียใจ ก่อนจะคิดได้ว่าควรนำผ้าคลุมมาคลุมตัว จากนั้นก็ดึงหมวกกันลมคลุมหน้า จะได้ไม่ตกเป็นเป้าสายตาอีก

หลังจากเข้าเมืองศิลา เยี่ยนจ้าวเกอก็เข้าพบผู้อาวุโสผู้นำของเมืองทะเลมรกต ฝ่ายเมืองทะเลมรกตที่ได้รับข่าวก่อนหน้าย่อมเตรียมที่พักให้เยี่ยนจ้าวเกอกับอาหู่ไว้เรียบร้อยแล้ว

วัตถุดิบและของล้ำค่าที่เยี่ยนจ้าวเกอไหว้วานให้พวกเขาช่วยหา ส่วนใหญ่ถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว

ในวันต่อมา เยี่ยนจ้าวเกอเฝ้าโลงน้ำแข็งที่บรรจุร่างกายของสือจวินอย่างเงียบๆ

ขณะเดียวกัน หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอเข้าสู่วารีพิภพที่มีเมืองศิลาดูอยู่แลแล้ว การติดต่อกับโลกภายนอกก็สะดวกมากขึ้น

เมืองศิลาเป็นชายแดนของเมืองทะเลมรกต เมืองทะเลมรกตกับเขากว่างเฉิงเป็นพันธมิตรกัน หากเขากว่างเฉิงคิดกระจายช่องทางข่าวสารอย่างง่ายๆ ที่นี่ ก็ถือว่าง่ายดายยิ่ง ไม่เหมือนชายแดนของตำหนักอัสนีสวรรค์

ข่าวสารจากโลกภายนอก ค่อยๆ ส่งเข้ามาอยู่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกออย่างต่อเนื่อง

หลังจากสงครามกว่างเฉิง ถึงแม้จะพูดตามอายุและพลังฝึกปรือก่อนหน้า เยี่ยนจ้าวเกอแทบจะอยู่ในระดับมีอำนาจมากจนผู้คนริษยา

แต่เทียบกับก่อนหน้านี้ เขาสะดวกสบายขึ้นไม่น้อย

นอกจากจะเข้าออกหอคัมภีร์ยุทธศาสตร์ทุกชั้นได้ตามใจแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอยังได้รับรายงานข่าวทั้งหมดที่เขากว่างเฉิงรวบรวมจากภายนอกได้เป็นคนแรกด้วย

ขณะเดียวกัน เขายังสามารถกำหนดช่องทางข่าวทุกข่าวของเขากว่างเฉิงได้ด้วย โดยรวบรวมข่าวอย่างมีทิศทาง ตามความต้องการและแนวคิดของเขา

อำนาจเช่นนี้ไม่ต่างกับบิดาของเขา ที่กำลังครองสำนักอยู่ไม่มีผิด

กล่าวได้ว่าเขามีสิทธิ์และสวัสดิการบางอย่างยังเหนือกว่าผู้อาวุโสที่เป็นผู้นำ นับเป็นการแสดงออกชัดเจนอย่างมีนัยยะสำคัญ

ก่อนหน้านี้เยี่ยนจ้าวเกอกำชับให้จับตามองการเคลื่อนไหวของวังสุสานแดนใต้แห่งอัคคีพิภพ โดยห้ามปล่อยผ่านข้อมูลที่เกี่ยวข้องเด็ดขาด

ปัจจุบันมีรายงานมหาศาลถูกส่งกลับมา

วังสุสานทะเลเพลิง ณ ทุ่งร้างแดนใต้เป็นสถานที่สำคัญของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เขากว่างเฉิงคิดรวบรวมข้อมูลของที่นั่น ย่อมมีความยากอย่างใหญ่หลวง

ทว่าต่อให้เป็นข้อมูลที่ชัดเจน ตื้นเขิน และจุกจิกขนาดไหน ก็มากพอจะทำให้เยี่ยนจ้าวเกอมองเงื่อนงำออก

หลังจากที่เขากระตุ้นแกนน้ำแข็งใต้ดินที่ที่ราบน้ำแข็งแดนเหนือ ก็ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว

เมื่อได้ซึมซับสภาพแวดล้อมรอบๆ หลายวันนี้วังสุสานทะเลเพลิงที่ทุ่งร้างแดนใต้ก็เกิดความเคลื่อนไหวบางอย่าง

มีข่าวบอกว่าวังสุสานทะเลเพลิงที่ทุ่งร้างแดนใต้วุ่นวายมากกว่าเดิม!

เนื่องจากพลังไฟที่เพิ่มขึ้นเกินกว่าขีดจำกัดพลังฝึกฝนของตนเองอย่างกะทันหัน จอมยุทธ์จากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่นเพราะไม่ได้ทันได้ตั้งตัว

ดีที่จอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังฝึกปรือแกร่งกว่าพบความผิดปกติได้ทันท่วงที จึงลงมือช่วยเหลือได้ทัน และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวง

ทว่าไม่นานจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังฝึกปรือสูงกว่าเหล่านั้น กลับพบว่าตนเองเริ่มทนไม่ไหว

สิ่งที่ทำให้คนในสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มึนงงก็คือ เมื่อเวลาผ่านไป ทะเลเพลิงในวังสุสานนอกจากจะไม่ลดความรุนแรงลงแล้ว กลับทวีความร้อนขึ้นอีก!

………………..