ตอนที่ 645 คารวะอาจารย์

นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น

นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น ตอนที่ 645 คารวะอาจารย์
ซูฉิงรู้สึกขำ คิดไม่ถึงว่าทั้งสองคนที่เป็นคนระดับปรมาจารย์จะมาเถียงกันอยู่ตรงนี้้

ถ้าหากพูดออกไปเกรงว่าพวกแฟนคลับของพวกเขาจะต้องตื่นตกใจแน่

“ยัยหนู กระดูกของเธอน่าประหลาดมาก ไม่คิดอยากจะมาเป็นศิษย์ฉันหรอ”

เหลยข่ายที่มองซูฉิงอย่างเฝ้ารอ ทำให้ซูฉิงยิ่งรู้สึกทำตัวไม่ถูก

คนอยากมาคารวะเหลยข่ายเป็นอาจารย์เกรงว่าจะมีคนมาต่อแถวยามเป็นหางว่าว แต่วันนี้คนอย่างเขากลับมาถามตน

“เออ ตอนนี้ยังไม่คิดค่ะ”

ซูฉิงที่ไม่รู้จะทำยังไง เพราะตนก็มีเรื่องมากมายต้องทำ ถ้าตอนนี้คำนับเขาเป็นอาจารย์ ต่อไปจะยิ่งไม่มีเวลาแน่

เหลยข่ายได้ยินเธอตอบปฏิเสธทางอ้อม แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้

“เธอมีพรสวรรค์อย่างนี้ ยังไม่คำนับอาจารย์ก็มีตันชิงอย่างนี้แล้ว ถ้าหากได้เรียนรู้สักหน่อยก็ยิ่งทำให้พวกเธอช็อกแน่”

กู้ชวนที่ยิ้มอยู่ข้างๆ คิดไม่ถึงว่าเหลยข่ายอยากจะรับศิษย์ ถึงกับพูดอย่างนี้ออกมา

“ไม่กล้าไม่กล้าค่ะ ฉันก็แค่คนธรรมดาก็เท่านั้น”

ซูฉิงที่ได้ยินก็รู้สึกอึดอัดใจ แล้วรูปปฏิเสธคำพูดของเหลยข่าย

“จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง”

เหลยข่ายพูดต่อ ยังไม่ยอมแพ้:”ฝีมือด้านจิตรกรรมของเธอเก่งกว่าคนอื่นมาก ไม่คิดอยากจะเรียกหน่อยหรอ เชื่อฉันนะว่าเธอจะต้องพัฒนาไปมากแน่”

“ห๊า?”

ซูฉิง มองกู้ชวนที่อยู่ข้างๆเหมือนจะร้องไห้

อย่างที่รู้กันว่ากู้ชวนนำผลงานของเธอออกมาอวด ถ้าเขาไม่ทำอย่างนี้ เหลยข่ายก็จะไม่มีความคิดที่จะรับลูกศิษย์

“ฉันว่านะ ก็แค่เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งมั้ย และเธอก็น่าจะรู้ว่าคนอื่นเขาถูกถึงเธอยังไง เธอไม่กลัวว่าเธอจะยุ่งยากหรอ”

กู้ชวนได้รับสายตาขอความช่วยเหลือจากซูฉิงก็เลยรีบพูดอธิบายช่วยเธอ

แต่ใครจะรู้ว่าเหลยข่ายไม่ฟัง ยังทำหน้าเรียบ เหมือนกับตัดสินใจแล้ว:”ถ้าหากไม่มีใครเห็นว่าเด็กคนนี้ดียังไง จะมาถึงฉันได้ยังไง พอพูดอย่างมานี้ ฉันก็ยังต้องขอบคุณคนพวกนั้น ที่ไม่ได้มาแย่งกับฉัน”

กู้ชวนที่ได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกจนปัญญา แล้วก็หันไปส่ายหน้าให้กับซูฉิง สื่อว่าเขาก็ช่วยไม่ได้แล้ว

ซูฉิงก็จนปัญญา เห็นเหลยข่ายยืนกรานอย่างนั้น พอมาคิดดูแล้วเขาก็ไม่ใช่คนที่ไม่จริงจัง ถ้าหากตนได้เป็นศิษย์ของเขา ไม่แน่อาจจะเรียนรู้อะไรอีกเยอะ

พอคิดมาถึงตอนนี้ซูฉิงก็เริ่มหวั่นไหว

“เธอวางใจเถอะ ฉันจะสอนทุกอย่างที่ฉันได้เรียนมาตลอดชีวิตนี้ให้กับเธอ ต่อไปพวกเขาก็จะรู้แล้ว พลาดเธอถือว่าเสียหายมาก”

ซูฉิงยิ้ม คิดไม่ถึงว่าเหลยข่ายจะเป็นคนที่พูดกล่อมเก่งขนาดนี้

“โอเคค่ะ ฉันตกลง”

จากนั้นซูฉิงก็ก้าวถอยหลังแล้วยกมือขึ้นประสานกัน โค้งคำนับเหลยข่าย:”อาจารย์อยู่เหนือหัว ขอรับการคารวะจากศิษย์ด้วยค่ะ”

เหลยข่ายที่เห็นซูฉิงคุกเข่าคารวะ ก็รีบเข้าไปห้าม:”เอาละๆ ตอนนี้สมัยไหนแล้ว ยังจะทำเหมือนคนโบราณอยู่อีก”

แต่ท่าทางอย่างนี้ทำให้เหลยข่ายรู้สึกปลื้มปีติยินดี เขายิ้มไม่หุบตบไหล่ซูฉิง :”เด็กดี เธอตกลงก็ดีแล้ว”

ตาโตของซูฉิงกะพริบตา ทำหน้าดีใจอย่างปิดไม่มิด

“อ้อ อีกสองวันก็จะมีงานประชุมนักเขียนจิตรกร ในฐานะที่เธอเป็นศิษย์ของฉัน จะไปกับฉันด้วยมั้ย”

เหลยข่ายเชิญซูฉิงทำให้ซูฉิงรู้สึกประหลาดใจมาก

คิดไม่ถึงว่าเหลยข่ายจะพาตนไปงานของจิตรกรรมด้วย ตอนแรกเธอยังคิดถามตัวเองว่าจะต้องเตรียมตัวอะไรมั้ย แต่เมื่อกี้ตนพึ่งบอกว่าไม่สนใจ ตอนนี้เลยได้แต่ตอบตกลง

“อืม ได้ค่ะ ฉันจะไปกับอาจารย์ด้วย”

พลบค่ำ ซูฉิงกลับมาที่บ้านเพื่อแต่งตัว

ครั้งนี้เธอต้องข้าวร่วมงานเลี้ยงที่ไม่ใช่งานเลี้ยงธุรกิจทั่วไป จะสวมชุดวิบวับเหมือนแต่ก่อนไม่ได้ เกรงว่าจะถูกว่าเป็นคนรสนิยมไม่ดี

ซูฉิงเลยตั้งใจเลือกชุดเดรสสีเขียวอ่อน ผมยาวถูกม้วนขึ้น กลายเป็นหญิงสาวที่สวยดูโดดเด่น

เธอมองตัวเองในกระจก ฮ่อหยุนเฉิงที่อยู่ข้างๆ ก็พยักหน้าอย่างพอใจ:”ภรรยาของฉันนี่สวมชุดไหนก็สวนจริงๆ”

ซูฉิงยิ้ม คิดไม่ถึงว่าฮ่อหยุนเฉิงจะพูดอย่างนี้ก็เป็นด้วย

จากนั้นเธอก็นั่งรถที่รับส่งไปงานเลี้ยงโดยเฉพาะมาถึงหน้าประตู

ตอนเช้าเหลยข่ายได้ให้บัตรกับเธอหนึ่งใบ เธอเลยยื่นให้คนเฝ้าประตูดู พนักงานเฝ้าประตูคนนั้นเริ่มมองเธออย่างพิจารณาแล้วก็ทำหน้าตกใจ

ซูฉิงยู่ปาก ตอนนี้ชื่อเสียงของตนนั้นถูกทำให้เสื่อมเสีย เลยหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอสายตาอย่างนี้

พนักงานเฝ้าประตูเปิดประตูให้จากนั้นซูฉิงก็เดินเข้าไปข้างใน

ซูฉิงที่เป็นคนรูปร่างหน้าตาดี ผิวพรรณดี และวันนี้เธอสวมชุดสง่างาม บนจุกผมยังมีกิ๊บดอกไม้ติดยิ่งทำให้ดูมีสง่าราศี

เธอที่พึ่งเดินเข้ามาในงานก็ดึงดูดสายตาของคนในงานไม่น้อย ต่างก็ชื่นชมในความงามและท่าทางของเธอ

แต่ว่าก็มีคนในงานชี้ไปทางซูฉิงแล้วตะโกนเสียงดังว่า:”นี่ นี่ไม่ใช่ซูฉิงนั่นหรอ!”

ทุกคนในงานต่างก็หันไปมองซูฉิงอย่างพิจารณา แล้วก็พยักหน้า :”จริงๆ ด้วย คนระดับนี้ทำไมถึงได้มาร่วมงานเลี้ยงกับพวกเราได้!”

ทันใดนั้นคนโดยรอบต่างก็ต่อว่าซูฉิงจนเธอรู้สึกหมดความอดทน

เธอหันซ้ายแลขวา เหลยข่ายยังมาไม่ถึง เธอก็เลยไปนั่งอยู่ข้างๆ อยู่อย่างเงียบๆ

แต่ซูฉิงก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย เธอมาที่นี่เพื่อที่จะได้รับการเรียนรู้เกี่ยวกับงานจิตรกรรม สำหรับคำต่อว่าพวกนั้นเธอทำเป็นหูทวนลม

“อิอิ เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

ทุกครั้งที่มีคนเดินผ่านก็หัวเราะเยาะซูฉิง ท้ายที่สุดแล้ว คนอื่นต่างก็นินทาเรื่องที่เกี่ยวกับซูฉิงนั้นล้วนไม่ใช่เรื่องจริงสักอย่าง และยิ่งไปกว่านั้นเธอที่เป็นแค่นักธุรกิจคนหนึ่ง สำหรับพวกเขาแล้วนักจิตรกรรมแล้ว ไม่เข้าพวก

และก็เป็นอย่างนี้ที่ซูฉิงถูกคนดูถูก

“คงไม่ใช่เพราะเห็นว่าตัวเองมีเงิน แล้วจะไปหาซื้อตั๋วเข้ามาหรอกมั้ง”

คนโดยรอบยังมีตนที่หัวเราะเยาะซูฉิงและยังพูดจาใส่ร้ายป้ายสี ซูฉิงได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกรำคาญ

งานชุมนุมจิตรกรครั้งนี้ถือว่ายิ่งใหญ่มาก และไม่ใช่ว่ามีเงินแล้วจะสามารถซื้อตั๋วเข้ามาได้ จะต้องเป็นคนในวงการถึงจะมีสิทธิ์ ถึงจะได้รับเชิญให้เข้ามาได้

แต่คนอย่างซูฉิง อย่าว่าแต่จะได้รับเชิญมาเลย เธอไม่เคยเรียนเกี่ยวกับการเขียนพู่กันด้วยซ้ำ จะรู้เรื่องนี้ได้ยังไง

ซูฉิงก็หมดความอดทน คนมากมายที่ว่าเธอไม่มีความสามารถ นินทาเธอ ได้แต่นั่งหลบมุมอยู่คนเดียว

“พวกคุณพูดอะไรกัน!”

และทันใดนั้นเอง ซูฉิงก็ได้ยินเสียงคุ้นหู

พอเธอได้ยินก็หันไปตามเสียงก็เห็นเป็นหลินเจียวเจียวหน้าไร้แป้งเครื่องสำอาง ดูไร้ที่ติ และดูเหมือนว่าเธอยังมีชื่อเสียงในด้านการวาดภาพและการประดิษฐ์ตัวอักษรอีกด้วย

แต่วู่ซฺฉิงคิดไม่ถึงว่า หลินเจียวเจียวก็เป็นจิตรกรคนหนึ่งด้วย

จากนั้นหลินเจียวเจียวก็เดินมาทางซูฉิงแล้วก็นั่งลงข้างๆ เธอ