ตอนที่ 2187 เรื่องราวอีกบทของหวาเซี่ย (28)
รอยยิ้มบนใบหน้าของฟู่ฉิงนิ่งไป หญิงสาวก้มหน้า “มหาวิทยาลัยหวาเซี่ยค่ะ”
พูดตามตรงแล้ว เธอไม่ได้อยากเรียนที่นั่นเลย แต่พ่อของเธอไม่ยอมให้เธอเสียโอกาสดีๆ แบบนี้ไปและยืนกรานให้เธอเข้าเรียนที่หวาเซี่ยให้ได้ ด้วยความที่ไม่อยากให้พ่อต้องผิดหวัง เธอจึงต้องจำใจบังคับตัวเองมาเข้าเรียนที่นี่…
แต่ทุกคนที่คณะก็รู้ดีว่าเธอคือลูกสาวของฟู่หรู จึงมีทั้งข่าวลือและเสียงก่นด่าคอยติดตามเธอไปทุกที่ จนทำให้เธอไม่มีเพื่อนที่มหาวิทยาลัยเลย ถ้าไม่ใช่เพื่อพ่อละก็ ป่านนี้เธอถอดใจไปนานแล้ว
“ลั่วเฟิงมาหาเหรอ” ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก แล้วฟู่หรูที่กำลังถือตะกร้าก็มายืนอยู่ที่ประตู
เมื่อได้เห็นอวิ๋นลั่วเฟิง เขาก็ยิ้มออกมาเหมือนไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ “ฉันกะเอาไว้แล้วว่าเธอจะมากินข้าวกลางวันด้วย นั่งก่อนสิ รอเดี๋ยวนะ ฉันจะเตรียมอาหารให้”
“อาจารย์” อวิ๋นลั่วเฟิงลุกขึ้นแล้วยิ้มกว้าง “นี่ก็บ่ายมากแล้ว อย่าให้ต้องวุ่นวายเลยค่ะ ออกไปกินข้าวข้างนอกกันดีกว่า”
ฟู่หรูนิ่งไปครู่หนึ่งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาพยักหน้าและพูดว่า “ตกลง งั้นเดี๋ยวฉันเอาผักพวกนี้ใส่ตู้เย็นก่อน จะได้เก็บไว้ทำอาหารเย็นแทน”
หลังจากนั้น ฟู่หรูก็เข้าไปเก็บโน่นเก็บนี่วุ่นวายอยู่ข้างใน อวิ๋นลั่วเฟิงใช้โอกาสนี้ไปเข้าห้องน้ำและโทรศัพท์หาหนานกงอวิ๋นอี้
เมื่อได้ยินเสียงเขา นางก็รีบพูดเข้าเรื่องทันที “หนานกง เจ้ามีวิธีหาเงินรึเปล่า”
“เงินรึ อวิ๋นลั่วเฟิง ถ้าเจ้าต้องการเงิน ข้าให้เจ้ายืมก็ได้”
“ไม่ใช่” อวิ๋นลั่วเฟิงส่ายหน้า “ข้าต้องการเงินหยวนก้อนใหญ่ แค่เงินนิดหน่อยน่ะไม่พอหรอก”
เพื่อจะแก้แค้น นางต้องรวบรวมทรัพย์สินเงินทองให้ได้จำนวนที่มากพอ…
หนานกงอวิ๋นอี้เงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้าจำเสวี่ยต่งได้รึเปล่า”
เสวี่ยต่งรึ ภาพเด็กหนุ่มสวมแว่นตาผุดขึ้นมาในความคิดของนาง
ดูเหมือนหนานกงอวิ๋นอี้จะเดาออกว่าอวิ๋นลั่วเฟิงจำชายที่พูดถึงได้ เขาจึงยิ้มและพูดว่า “เสวี่ยต่ง ครอบครัวของเจ้าหนอนหนังสือนั่นมีกิจการศูนย์แพทย์ของตระกูล ในเมื่อเจ้าเองก็มียาพลังฌานอยู่ในมือจำนวนมาก เจ้าก็แค่เอายาพวกนั้นไปที่ศูนย์แพทย์ของเจ้านั่น พอถึงตอนนั้น ก็จะมีผู้คนจำนวนมากแห่กันมาแย่งซื้อต่อให้เจ้าจะเรียกราคาสูงแค่ไหนก็เถอะ”
ดวงตาของอวิ๋นลั่วเฟิงเป็นประกายวิบวับ “จริงสินะ นี่เป็นวิธีที่ดีทีเดียว อีกอย่าง ข้ารู้ดีว่าปู่ของเจ้าเองก็มีอิทธิพลไม่น้อยและคนที่เจ้ารู้จัก…ก็ล้วนแต่กระเป๋าหนักทั้งนั้น เอาละ ช่วยข้าจองห้องที่ภัตตาคารชุนหยวนเสวี่ยทีสิ ข้าจะพาอาจารย์ไปกิน”
ชุนหยวนเสวี่ยจัดว่าเป็นภัตตาคารที่ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในเมืองหลวง หากใครที่ต้องการจะจองห้องจะต้องใช้เวลารออย่างน้อยหนึ่งปี แต่…ด้วยสถานะของปู่ของหนานกงอวิ๋นอี้แล้ว เรื่องนี้จึงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
“ฮ่าๆ ปู่ของข้าเพิ่งจะพูดถึงเจ้าอยู่เมื่อครู่นี้เอง บอกว่าท่านอยากจะขอบคุณเจ้าให้สมน้ำสมเนื้อ ถ้าเจ้าต้องการให้ท่านช่วยอะไรละก็ ท่านก็ยินดีช่วยอย่างเต็มที่ทีเดียว” เสียงของหนานกงอวิ๋นอี้ฟังดูชัดเจนแจ่มใส ด้วยอารมณ์ของเขาที่กำลังเบิกบาน
“โอ้ จริงด้วยสิ อวิ๋นลั่วเฟิง เมื่อกี้นี้หงหลวนเพิ่งจะตอบรับคำขอแต่งงานของข้า…”
เมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายพูด ริมฝีปากของอวิ๋นลั่วเฟิงก็ขยับเป็นรอยยิ้ม
“งั้นข้าก็คงต้องแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย แต่ถึงยังไง นี่ก็ไม่ใช่แคว้นเจ็ดเมืองแต่คือเมืองหวาเซี่ย ตอนนั้นเจ้าตามจีบสาวงามดาวมหาวิทยาลัยหวาเซี่ย แล้วนางก็คิดว่าเจ้าเป็นแค่ผู้ชายเดินดินธรรมดา ก็เลยไม่ยอมรับรัก ถ้านางมารู้เข้าว่าเจ้าคือหลานชายของท่านประธาน รับรองได้ว่านางจะต้องเป็นฝ่ายมองหาเจ้าเองแน่ๆ ถ้าถึงตอนนั้นแล้ว เจ้าจะทิ้งหงหลวนรึเปล่า”
หนานกงอวิ๋นอี้หัวเราะหึ “นั่นมันเป็นแค่ความหลงเท่านั้น และตอนนั้นข้าก็ไม่รู้จักว่าความรักเป็นยังไง จนกระทั่งข้าได้มาพบหงหลวนก็เลยได้รู้ว่านางคือคนที่ข้าอยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยตลอดไป…”
ตอนที่ 2188 เรื่องราวอีกบทของหวาเซี่ย (29)
“เพราะฉะนั้น ข้าจะไม่หันไปสนใจหญิงอื่นแล้วทอดทิ้งนางเป็นอันขาด ไม่อย่างงั้นขอเชิญเจ้าตีข้าให้ตายได้เลย!”
คำพูดของหนานกงอวิ๋นอี้เต็มไปด้วยความจริงใจจนทำให้อวิ๋นลั่วเฟิงค่อยคลายกังวล
ถ้าหากว่ามีใครถามนางว่าใครคือเพื่อนคนสำคัญที่สุดในแคว้นเจ็ดเมืองแล้วละก็ นางคงจะตอบว่าหงหลวนโดยไม่ลังเลเลยทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้…นางจึงปรารถนาจากใจว่าหงหลวนจะได้พบกับความสุข
“เจ้าเองก็สนิทกับครอบครัวของข้าดี ถ้าเจ้าอยากจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ทุกเมื่อ เราจะคอยเจ้าอยู่ที่ภัตตาคารชุนหยวนเสวี่ย” หลังพูดจบ นางก็วางสายและเดินออกมาจากห้องน้ำ แล้วนางก็ได้เห็นฟู่ฉิงที่กำลังเอาหูแนบประตูแอบฟังอยู่
เมื่อเห็นดังนั้น อวิ๋นลั่วเฟิงจึงยกมือขึ้นทาบหน้าผากด้วยความระอา “นี่เธอมาทำอะไรที่นี่น่ะ”
ฟู่ฉิงหัวเราะอย่างขัดเขิน “หนูแค่อยากรู้ว่าพี่โทรหาใครน่ะค่ะ”
“หนานกงอวิ๋นอี้น่ะ” ริมฝีปากของอวิ๋นลั่วเฟิงบิดโค้ง กลายเป็นรอยยิ้มบนใบหน้า
“อะไรนะคะ พี่หนานกงน่ะหรือคะ” ฟู่ฉิงสะดุ้งด้วยความประหลาดใจ “นี่เขาก็ยังมีชีวิตอยู่เหมือนพี่หรือคะ โอ๊ย จริงสิ หนูจำได้ว่าพี่หนานกงเคยตามจีบพี่ด้วย แล้วความสัมพันธ์ของพวกพี่ก้าวหน้าไปถึงไหนแล้วคะ”
หลังจากถามคำถามนั้นหลุดออกไป อวิ๋นลั่วเฟิงก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นยะเยือก ก่อนที่นางจะถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอด
อวิ๋นเซียวถามขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ “นี่เขาเคยไล่ตามเจ้ามาก่อนงั้นรึ”
“อือ” อวิ๋นลั่วเฟิงกะพริบตา “แล้วอย่างไรเล่า”
“เขาควรดีใจที่เจ้าปฏิเสธเขา” เสียงของชายหนุ่มทุ้มลึกและแหบพร่า แต่ก็ยังเจือด้วยความเยือกเย็น “ไม่อย่างงั้น ข้าคงจะต้องฆ่าเขา!”
ฟู่ฉิงนึกกลัวท่าทีของอวิ๋นเซียว แต่ก็รีบรวบรวมสติทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา เธอถามเสียงอ่อยๆ ว่า “นี่ฉันพูดอะไรผิดไปรึเปล่าคะ”
ผู้ชายคนนี้น่ากลัวเกินไป พี่ลั่วเฟิงทนเขาได้ยังไงกันนะ
“อาจารย์คะ” อวิ๋นลั่วเฟิงมองเลยไป และได้เห็นฟู่หรูกำลังเดินออกมาจากห้องครัว “รีบไปกันเถอะค่ะ ฉันบอกให้คนช่วยจองโต๊ะเอาไว้แล้ว”
ฟู่หรูลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ได้สิ”
เขาเริ่มครุ่นคิดถึงจำนวนเงินที่เขามีอยู่ในกระเป๋าว่าจะพอจ่ายสำหรับอาหารมื้อนี้หรือไม่…
…
ที่คฤหาสน์หรูหลังใหญ่ หนานกงหลานกำลังนั่งหัวเสียอยู่บนโซฟา ใบหน้าหมดจดของเธอเต็มไปด้วยความโกรธขึ้งเมื่อพูดขึ้นอย่างไม่เต็มใจนักว่า “แม่คะ ทำไมตาแก่หัวโบราณนั่นถึงยังไม่ตายอีกล่ะคะ พวกคนที่แม่ส่งไปไม่ได้ลงมือเต็มที่หรือยังไงกัน”
สีหน้าของจ้าวเหม่ยเสวี่ยเองก็ไม่พอใจนักเช่นกัน “ถ้าจะว่าไปแล้ว อาการบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้นมันไม่ควรที่จะรักษาได้ อวิ๋นลั่วเฟิงเป็นใครกัน ทำไมแม่นั่นถึงสามารถช่วยชีวิตตาแก่ที่บาดเจ็บปางตายขนาดนั้นเอาไว้ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หนานกงหลานก็กัดริมฝีปาก “หนูรู้จักอวิ๋นลั่วเฟิงค่ะ แม่นั่นโด่งดังมากที่มหาวิทยาลัยหวาเซี่ย แล้วก็มีข่าวลือว่าเธอหายตัวไปเพราะเหตุระเบิดนานถึงห้าปีทีเดียว หนูไม่คิดเลยว่าเธอจะกลับมาพร้อมกับหนานกงอวิ๋นอี้”
“หือ” จ้าวเหม่ยเสวี่ยเลิกคิ้วแล้วถามว่า “แล้วแม่นั่นเป็นคนยังไงกันล่ะ”
เมื่อพูดถึงอวิ๋นลั่วเฟิง แววรังเกียจชิงชังก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของหนานกงหลาน “ว่ากันว่าเธอเสียทั้งพ่อและแม่ไป แล้วก็ถูกลุงกับป้ารับไปอุปการะ แต่คิดไม่ถึงว่าแม่นั่นจะไม่สำนึกบุญคุณ แล้วก็รังแกลูกชายของลุงทั้งที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น! เธอเกือบจะบีบคอเด็กน้อยที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่นั่นตายเพราะอิจฉาที่ลุงกับป้ารักเด็กนั่น ที่สำคัญไปกว่านั้น พวกเขาไม่ได้แตะต้องทรัพย์สินที่พ่อแม่ของเธอทิ้งเอาไว้ให้แม้แต่น้อย แล้วก็เก็บรักษาเอาไว้ให้เธอเป็นอย่างดี…
…แต่ยัยผู้หญิงอกตัญญูนี่ก็ยังใส่ความว่าลุงกับป้ายึดเอาเงินทองของเธอไป จนพวกเขาเอาทรัพย์สินทั้งหมดไปบริจาคด้วยความโกรธจนไม่เหลือเงินไว้ให้เธอเลยแม้แต่แดงเดียว”