ตอนที่ 232 มาเกทับเหรอ / ตอนที่ 233 ปลิดชีพนายให้มันรู้แล้วรู้รอด

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 232 มาเกทับเหรอ

 

 

           ซูเตอร์จ้องเขาเขม็ง แววตาหวาดระแวง “นายคิดจะทำอะไร”

 

 

           “ฉันก็แค่รู้สึกประหลาดใจ ว่าซือเหยี่ยนมีดีอะไรถึงมีค่าพอให้นายชอบได้”

 

 

           “เจียงมู่เฉิน นายอย่ามาเล่นลูกไม้อะไรกับฉันที่นี่ คิดจะล้วงอะไรจากฉันที่นี่ ฉันจะบอกนายไว้ว่าไม่มีทาง ฉันเปิดเผยความลับกับนายไม่ได้หรอก”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางผลักไสไล่ส่งของเขา ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น “น้องชาย ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้ก็ได้ ฉันก็แค่ประหลาดใจ ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรอย่างอื่น”

 

 

           “หึ ไม่มีเจตนาร้ายเหรอ” ซูเตอร์ยิ้มเยาะ “ถ้านายไม่ได้มีเจตนาร้าย แล้วจะทำฉันจนเข้าโรงพยาบาลแบบนี้เหรอ”

 

 

           “นายคิดจะขึ้นเตียงกับซือเหยี่ยนขนาดนั้น ฉันในฐานะแฟน ถ้าไม่ทำอะไรเลย จะไม่ดูใจกว้างไปหน่อยเหรอ” เขาทำเสียงกระดกลิ้นเล็กน้อย “น่าเสียดาย ฉันคนนี้ใจแคบจะตาย จะให้ฉันมองตาปริบๆ เห็นนายขึ้นเตียงกับซือเหยี่ยน ฉันทำไม่ได้หรอก”

 

 

           “งั้นวันนี้นายมาเกทับฉันหรือไง”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มหัวเราะเบาๆ “ฉันเป็นคนแบบนั้นเหรอ วันนี้ฉันก็แค่มาเยี่ยม แล้วถือโอกาสถามไถ่ดูอาการบาดเจ็บของนายสักหน่อยเท่านั้นเอง”

 

 

           ซูเตอร์ยิ้มเยาะ “เจียงมู่เฉิน ฉันไม่ได้ถูกนายอัดจนกระทบสมอง ไม่ได้โง่ถึงขนาดจะเชื่อจริงๆ ว่านายจะมาใจดีได้ขนาดนี้”

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ “โอเค ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันก็จะไม่ทักทายนายตามมารยาทอีกต่อไปแล้ว” เขาพูดออกมาตรงๆ “ระหว่างฉันกับซือเหยี่ยนไม่หวังจะให้มีใครมาแทรกกลาง ถ้ามีวันหนึ่งซือเหยี่ยนเขารักนายเข้าแล้ว เลือกนาย ฉันจะไม่ว่าอะไร รับรองจะยอมหลีกทางให้…แต่ว่า ขอเพียงแต่ฉันไม่ได้เลิกกับเขา นายซูเตอร์! ก็จะไม่มีทางจะได้ยืนข้างกายซือเหยี่ยน” เขายิ้มหัวเราะเบาๆ “ฉันพูดแล้ว ว่าฉันคนนี้ใจแคบ ยอมให้คนอื่นไม่ได้”

 

 

           “เจียงมู่เฉินนายไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงได้เชื่อว่าซือเหยี่ยนทั้งชีวิตนี้จะมีคบกับนายแค่คนเดียว”

 

 

           “ฉันไม่มีความมั่นใจเรื่องนี้หรอก แต่ว่านายจำเอาไว้ จะเลิกหรือไม่เลิกกับซือเหยี่ยนก็เป็นฉันที่ตัดสิน ขอเพียงแต่ฉันยังไม่เลิกกับซือเหยี่ยน นายก็จะไม่มีความเป็นไปได้ใดใดทั้งสิ้น”

 

 

           “หึ” ซูเตอร์ทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “ถ้าซือเหยี่ยนเป็นฝ่ายบอกเลิกนายล่ะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง “งั้นนายกล้าทำให้เขาพูดได้ก็ลองดู!”

 

 

           เขาพูดจบประโยคนี้ก็ออกจากห้องพักผู้ป่วยไป ซูเตอร์มองตามแผ่นหลังของเจียงมู่เฉินไป ความอำมหิตฉายสะท้อนขึ้นในแววตาแวบหนึ่ง เรื่องเมื่อคืนบวกกับเรื่องของซือเหยี่ยนอีก สองบัญชีแค้นนี้ เขาจะต้องสะสางกับเจียงมู่เฉินให้ดีๆ อย่างชัดเจนแน่นอน

 

 

           ……

 

 

           เจียงมู่เฉินออกจากโรงพยาบาลมา ก็มุ่งหน้าพุ่งตรงเข้าไปห้องทำงานของซือเหยี่ยน เขายืนอยู่หน้าประตูแล้วก็ถีบประตูเข้าไปทันที บานประตูอันเปราะบางโดนเขาถีบขนาดนี้ก็ไปกระแทกกับโต๊ะที่อยู่ด้านข้างจนเกิดเสียงดังสนั่น

 

 

           ซือเหยี่ยนกับไป๋จิ่งและอีกสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ข้างใน เห็นเจียงมู่เฉินยืนอยู่ตรงทางเข้าเตะประตูเข้ามา มุมปากก็อดจะกระตุกแล้วกระตุกอีกไม่ได้

 

 

           ยังเป็นไป๋จิ่งที่มีท่าทีตอบสนองก่อน เขารีบลุกยืนขึ้นเอ่ยด่วยหน้าตาทะเล้น “นี่คุณชายเจียงไม่ใช่หรือไง อะไรกัน มาลองทดสอบว่าประตูห้องทำงานของซือเหยี่ยนแข็งแรงหรือเปล่าเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “นายอยากให้ฉันช่วยทดสอบว่านายแข็งแรงหรือไม่แข็งแรงไหม”

 

 

           ไป๋จิ่ง “…”

 

 

           ดูท่าว่าไฟจะลุกใหญ่มากทีเดียว เขาต้องรีบหนีไป ป้องกันไฟลามมาเผาตัวจากตรงนี้

 

 

           “คือว่า ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้กะทันหันพอดีว่าฉันยังมีลูกค้าคนหนึ่งอยู่ ฉันขอตัวออกไปก่อนนะ” ไป๋จิ่งพูดจบก็รีบวิ่งออกไป เห็นไฟลูกนั้นของคุณชายเจียงแล้ว ถ้าไม่รีบหนีให้ไว รู้สึกว่าคนแรกที่คุณชายเจียงอยากจะลงดาบก็คือเขา

 

 

           ไป๋จิ่งลูบใบหน้าตัวเองไปมา คิดว่าตัวเองยังดีที่มีไหวพริบวิ่งออกมาไว

 

 

           เขาส่งข้อความหามั่วไป๋อย่างอ่อนแรง

 

 

           [คุณชายเจียงภูเขาไฟระเบิดแล้ว ยังดีว่าผมวิ่งเร็ว ไม่งั้นเกรงว่าคุณจะไม่ได้เห็นผมแล้ว]

 

 

           มั่วไป๋อ่านข้อความแล้วก็ตอบกลับไปส่งๆ

 

 

           [ไม่เป็นไร ตายแล้วฉันจะจัดงานศพให้นายเอง]

 

 

           

 

 

ตอนที่ 233 ปลิดชีพนายให้มันรู้แล้วรู้รอด

 

 

           ไป๋จิ่งตะลึงงัน ช่วงนี้เขาไม่มีเวลาไปปลูกต้นรักกับมั่วไป๋เลย เขามองข้ามตัวเองถึงขนาดนี้เชียวเหรอ

 

 

           คิดถึงเจียงมู่เฉินที่หัวร้อนไฟลุก แล้วมาคิดถึงมั่วไป๋อีก ไป๋จิ่งร้องไห้งอแงรู้สึกว่าตัวช่างน่าเวทนาเสียจริง พ่อไม่ถนอม แม่ไม่รัก

 

 

           อีกสองคนที่เหลืออยู่ในห้องทำงานเห็นไป๋จิ่งหนีไปแล้ว ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงต่อ หาข้ออ้างแล้วรีบแอบวิ่งออกไป ด้วยเหตุนี้ข้างในจึงเหลือเพียงเจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนกันอยู่สองคน

 

 

           ซือเหยี่ยนสีหน้าเรียบเฉยนั่งอยู่บนเก้าอี้ เจียงมู่เฉินสะบัดประตูแล้วเดินเข้าไปหาซือเหยี่ยน

 

 

           “ฉันคิดมาแล้ว เรื่องเมื่อคืนนี้ฉันจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับนาย แต่ถ้ามีครั้งหน้าอีก พวกเราสองคนจบกัน”

 

 

           เจียงมู่เฉินพูดจบก็จ้องซือเหยี่ยนเขม็งด้วยท่าทีเผด็จการ “นายได้ยินแล้วหรือยัง”

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้า “ได้ยินแล้ว”

 

 

           “นายรู้นิสัยฉันดี คำพูดที่ฉันพูดออกมา ฉันก็พูดคำไหนคำนั้นมาตลอด ขอเพียงแต่เป็นเรื่องที่ฉันตัดสินใจแล้ว แม้แต่ทางให้เรียกกลับคืนก็จะไม่มีทั้งนั้น”

 

 

           เขาจ้องมองซือเหยี่ยน เอ่ยเน้นหนักทีละคำ “ดังนั้น ฉันให้โอกาสนายได้อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น!”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาแล้วก็ถอนหายใจเล็กน้อย ส่งมือไปหา “ตอนนี้ยังโกรธอยู่เหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางเขาแบบนี้ก็หมดหนทางแล้ว เมื่อครู่นี้โกรธจนไม่ไหวออกไปขับรถวนอยู่รอบหนึ่งก็รู้ตัวว่าตัวเองไม่มีทางจะโกรธซือเหยี่ยนได้จริงๆ อยู่แล้ว ยามคิดถึงซือเหยี่ยน ใจก็อ่อนอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

           “แม่งเอ๊ย ไม่ช้าก็เร็วสักวันฉันจะอกแตกตายเพราะนาย” เจียงมู่เฉินอดจะมองบนใส่เขาไม่ได้

 

 

           “ขอโทษนะ เป็นความผิดผมเอง” ซือเหยี่ยนพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบเจียงมู่เฉิน

 

 

           ในใจเจียงมู่เฉินต่อให้ยังมีความโกรธอยู่บ้าง ตอนนี้ไฟที่ลุกมาเนิ่นนาน ก็มอดดับลงไปพอประมาณหนึ่งแล้ว โดนซือเหยี่ยนเอาน้ำเย็นเข้าลูบขนาดนี้ สบายใจขึ้นเยอะทีเดียว

 

 

           เขาเงยหน้ามองซือเหยี่ยนอย่างกล้ำกลืน “คุณชายหิวแล้ว” ซาลาเปาที่ตั้งใจซื้อมาเป็นพิเศษในตอนเช้ายังไม่ได้กินเลย

 

 

           ในใจซือเหยี่ยนบีบแน่น รีบให้คนไปเตรียมของกินมาให้เจียงมู่เฉิน เพียงไม่นานทุกอย่างก็ถูกส่งขึ้นมา ทั้งหมดเป็นของที่เจียงมู่เฉินชอบกินทั้งนั้น

 

 

            ซือเหยี่ยนเห็นเจียงมู่เฉินนั่งขัดสมาธิกินอาหารเช้า แล้วยกมุมปากขึ้นอย่างขำๆ รอยยิ้มยังทิ้งรอยเอาไว้อยู่ที่มุมปาก ซือเหยี่ยนไม่รู้ว่าคิดถึงอะไรขึ้นมา เขาตัวแข็งทื่อหยุดชะงักไปนิดหนึ่ง เขากำหมัดแล้วกำหมัดอีก สุดท้ายก็ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ พลางส่งข้อความหาไป๋จิ่ง

 

 

           [ข้อตกลงเมื่อเช้ายกเลิก ปิดเป็นความลับชั่วคราว]

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นข้อความที่ถูกส่งออกไปสำเร็จแล้วก็หลับตาลง เขายังตัดใจเลิกกับเจียงมู่เฉินแบบนี้ไม่ลง เหมือนกับที่ไป๋จิ่งพูดไว้ ถ้าเขาให้ไป๋จิ่งเอาความลับไปแพร่กระจายข่าวให้รู้ถึงหูผู้ใหญ่ของสองตระกูลจริงๆ

 

 

           ตามนิสัยของเจียงมู่เฉินแล้ว ถึงเวลานั้นเจียงมู่เฉินต้องหักกันไปข้างให้ถึงที่สุดแน่นอน

 

 

         เขาถอนหายใจเล็กน้อย ถ้าระหว่างพวกเขาเดินกันไปถึงขั้นนั้นจริงๆ เกรงว่าจะไม่ทางให้เรียกกลับคืนมาได้อีกแล้ว

 

 

           ‘ส่วนเรื่องของซูเตอร์ เขาค่อยคิดหาวิธีอื่นจัดการก็แล้วกัน’

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นข้อความแล้วก็เลิกคิ้วเล็กน้อย แต่กลับรู้สึกโล่งใจ รีบตอบกลับไป [ได้]

 

 

           หลังจากซือเหยี่ยนเห็นข้อความไป๋จิ่งตอบกลับมา ถึงได้ลบข้อความนี้ทิ้ง

 

 

           เขาเอียงหน้ามองดูเจียงมู่เฉินที่นั่งอยู่บนโซฟาไม่ไกลนัก เขายกมุมปากขึ้นแล้วเดินเข้าไปหา พร้อมนั่งลงข้างๆ เจียงมู่เฉิน มองดูอีกฝ่าย “ผมเองก็ยังไม่ได้กินนะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง เดิมทีไม่อยากสนใจเขา แต่ก็รู้สึกใจอ่อนจนไม่สนใจไม่ได้ ทำได้เพียงแต่ยกส้อมขึ้นป้อนซือเหยี่ยน

 

 

           เจียงมู่เฉินป้อนไปด้วย ด่าตัวเองโง่ไปด้วย ทำไมเขาทำอะไรถึงยังคงเป็นเหมือนเดิมทุกครั้ง ใจร้ายกับซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่ไม่ลง

 

 

           พอคิดมาได้แบบนี้ก็อดจะขบกรามไม่ได้ รู้สึกว่าซือเหยี่ยนก็คือ ‘จอมตลบหลัง’    

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นสีหน้าดุร้ายของเขา ก็อดจะเลิกคิ้วไม่ได้ “คุณคงจะไม่ได้เห็นผมเป็นข้าวที่คุณกินอยู่หรอกใช่ไหม”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “ฉันอยากจะปลิดชีพนายให้มันรู้แล้วรู้รอดจริงๆ จะได้ไม่มาทำให้ฉันโกรธง่ายๆ ได้ทุกวัน”

 

 

           ซือเหยี่ยนทำหน้าซื่อๆ กะพริบตาปริบๆ “ผมตายไป ก็จะไม่มีใครทำให้คุณสบายแล้วนะ”