กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 790
กู้ชูหน่วนออกมาไปแล้ว

มู่ซินยังคงสับสนงุนงง

นี่คือลูกสาวของนางจริงหรือ?

เมื่อก่อนนั้นลูกสาวของเขาเป็นคนขี้ขลาด อ่อนแอ เขาอยากให้ลูกสาวของนางเป็นคนมีเกียรติและมีความเชื่อมั่นในตัวเองเหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไป

ตอนนี้……

ลูกสาวของเขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ แต่เขากลับรู้สึกมีบางสิ่งผิดแปลกไป

ไม่ว่าจะมองอย่างไร นางก็ไม่เหมือนลูกสาวของเขา

หรือว่าเป็นเพราะฟื้นขึ้นจากความตายจึงทำให้นิสัยเปลี่ยนไป?

มู่ซินไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจดี

ภายในห้องโถง

กู้ชูหน่วนก้าวเท้าเข้าไป ผู้ดูแลบ้านรองและผู้ดูแลบ้านคนที่สามต่างมีสีหน้าไม่พอใจ พวกเขาเห็นนางเป็นเทพแห่งโรคระบาด

นายท่านตระกูลมู่ยังดีกว่าพวกเขาอยู่บ้าง แต่สีหน้ายังคงเคร่งขรึม

“พูดมาเถอะว่ามาหาข้าเพื่ออะไร?”

“บังอาจ เจอนายท่านและพวกข้า แต่กลับไม่แสดงความเคารพอย่างนั้นหรือ?”

“ข้าไม่เคยคุกเข่าให้ทั้งเทวดาฟ้าดิน อย่างมากก็คุกเข่าให้พ่อและแม่ พวกเจ้าเป็นพ่อแม่ของข้าหรือ?”

“เจ้า……นายท่าน ท่านดูที่นางหยิ่งผยองเช่นนี้สิ ผู้หญิงป่าเถื่อนคนนี้ออกไปเพียงครึ่งเดือน กลับมาก็ไม่รู้กฏเกณฑ์และไม่เห็นใครในสายตาเลย”

กู้ชูหน่วนหาเก้าอี้นั่ง จากนั้นกวักมือให้คนใช้นำน้ำชาร้อนๆ มาให้นาง โดยนางไม่สนใจคำพูดของผู้ดูแลบ้านรองเลยแม้แต่นิดเดียว

ท่าทางที่เย่อหยิ่งเช่นนี้ ทำให้ผู้ดูแลบ้านรองและผู้ดูแลบ้านที่สามต่างรู้สึกไม่พึงพอใจอย่างยิ่ง

เมื่อก่อนที่นางเห็นพวกเขามีหรือที่จะไม่ก้มศีรษะให้ แม้แต่หายใจยังหายใจเบาๆ เลย แต่วันนี้กลับแปลกไป?

ผู้ดูแลบ้านรองกล่าวว่า “นายท่าน ท่านดูท่าทางของนางสิ ท่านได้โปรดไล่นางออกไปจากตระกูลมู่ เพื่อตระกูลไป๋หลี่จะได้ไม่มาสร้างความเดือดร้อนให้กับพวกเราอีก”

กู้ชูหน่วนนั่งไขว่ห้างและยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบร้อนๆ เล็กน้อยในลักษณะที่ผ่อนคลายและสบาย โดยไม่ตื่นตระหนกเพราะการเปลี่ยนแปลงของวันนี้

หัวหน้าของตระกูลมู่เป็นจิ้งจอกเฒ่า

เขาเหลือบมองไปที่กู้ชูหน่วนและพูดกับผู้ดูแลบ้านรองและผู้ดูแลบ้านที่สามว่า “พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ”

“นายท่าน……”

“ทำไม หรือว่า หรือว่าพวกเจ้าไม่เชื่อฟังแม้แต่คำพูดของข้า”

“พวกข้าไม่กล้าขอรับ”

ผู้ดูแลบ้านรองและผู้ดูแลบ้านที่สามพากันออกไปอย่างไม่สบอารมณ์และแทบอดไม่ได้อยากจะไล่กู้ชูหน่วนออกไปจากตระกูลมู่ จากนั้นตัดขาดความสัมพันธ์กับนางตั้งแต่นี้ต่อไป เพื่อจะได้ไม่เดือดร้อนและได้รับผลกระทบไปด้วย

หลังจากที่พวกเขาจากไป ภายให้ห้องเหลือเพียงกู้ชูหน่วนและนายท่านตระกูลมู่

นายท่านตระกูลมู่ต้องการให้นางเริ่มพูดขึ้นมาก่อน รออยู่นานแต่กู้ชูหน่วนก็ไม่เริ่มพูดออกมา

เขาจึงพูดเพียง “เจ้าก่อเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ขึ้น เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรล่ะ?”

“ก่อเรื่องก็ก่อเรื่องสิ ข้าคิดเห็นอย่างไรจะสำคัญอะไรอย่างนั้นหรือ?”

นายท่านตระกูลมู่สำลัก

ผู้หญิงคนนี้ หยิ่งผยองต่อผู้ดูแลบ้านรองและผู้ดูแลบ้านที่สามก็แล้วไป

แต่นางกลับไม่เห็นเขาในสายตา

กู้ชูหน่วนวางถ้วยชาร้อนลงจากนั้นวางเผยรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ขึ้น

เมื่อเห็นรอยยิ้มนี้ นายท่านตระกูลมู่ก็รู้สึกขนลุกขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว

“ตาเฒ่า เจ้าเป็นนายท่าน ฉะนั้นในมือของเจ้าต้องมีเงินอย่างแน่นอน ให้ข้ายืมสักหนึ่งแสนตำลึงได้หรือไม่”

นายท่านตระกูลมู่แทบล้มทั้งยืน

แสนตำลึง?

ทั้งตระกูลมู่รวมกัน เกรงว่าจะมีไม่ถึงหนึ่งพันตำลึงด้วยซ้ำ จะมีแสนตำลึงมาจากไหน?

เขาตำหนิด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “บังอาจ หากจะนับอายุแล้ว ข้าเป็นถึงปู่ของเจ้า หากดูจากตำแหน่ง ข้าเป็นนายท่านของตระกูลมู่ ตาเฒ่าเป็นคำที่เจ้าควรเรียกอย่างนั้นหรือ”

“ข้าไม่เรียกเจ้าว่าตาเฒ่า เช่นนั้นข้าควรเรียกเจ้าว่าหลานอย่างนั้นหรือ?”

“เรียกข้าว่านายท่าน” นายท่านตระกูลมู่โกรธมาก

“ได้ นายท่านก็นายท่าน เช่นนั้นแสนตำลึงเจ้าจะให้ข้ายืมหรือไม่? หากให้ข้ายืมละก็ ภายในสิบวัน ข้าสัญญาว่าจะคืนให้เจ้าสิบเท่า”

“ไม่เลว”

“ฮึฮึฮึ ไม่ให้ยืมหรือว่าไม่มีให้ยืมกันแน่”

“มู่หน่วน……”

“ข้าก็อยู่ที่นี่ไง……”

“ข้ากำลังพูดเรื่องสำคัญกับเจ้า”

“ข้าก็จริงจังที่จะพูดเรื่องจริงจังกับเจ้า”

เพียงแค่ให้เงินนางไปซื้อตัวยาสมุนไพรบ้าง เช่นนั้นนางก็สามารถปรุงกลั่นยาจื่อหยางได้ ถึงตอนนั้นจะนำบางส่วนออกมาประมูลและบางส่วนจะนำไปรักษาอาการบาดเจ็บให้ท่านพ่อของนาง เช่นนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายไม่ใช่หรือ?

นายท่านตระกูลมู่ทำสีหน้าเคร่งขรึมเหมือนต้องการจะพูดอะไร

กู้ชูหน่วนพูดแทรกขึ้นมาก่อน “เหตุใดชีพจรการต่อสู้ของเขาถึงขาดไป?”

“เขา? เขาคนไหนหรือ? เจ้าหมายถึงพ่อของเจ้าน่ะหรือ ทำไมหรือ เจ้าลืมไปแล้วหรือ? ว่าตอนเด็กๆ เจ้าถูกคนของตระกูลไป๋หลี่รังแก พ่อของเจ้าไม่พอใจจากนั้นจึงมีการทะเลาะเบาะแว้งกับพวกเขา หลังจากนั้นก็ถูกคนของตระกูลไป๋หลี่ตัดเส้นชีพจรการต่อสู้ จากนั้นความสามารถในการต่อสู้ของเขาก็ถดถอยลง”

นายท่านตระกูลมู่กล่าวอย่างเสียใจ “พ่อของเจ้ามีพรสวรรค์ในด้านศิลปพการต่อสู้ หากเส้นชีพจรการต่อสู้ของเขาไม่ถูกตัดไป ตอนนี้อย่างน้อยเขาคงสามารถไปถึงยอดฝีมือระดับสามแล้ว น่าเสียดาย……”

เดิมทีเขาคิดหวังจะให้มู่ซินเป็นนายท่านของตระกูลมู่คนต่อไป

แต่ใครจะไปคาดคิดว่าหลังจากนั้นจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

ความหวังของตระกูลมู่ได้ถูกทำลายลงตั้งแต่นาทีนั้นเป็นต้นมา

“มีวิธีไหนสามารถฟื้นฟูเส้นชีพจรการต่อสู้ของเขาได้บ้าง?”

“เจ้าอยากทำให้เส้นการต่อสู้ของพ่อเจ้ากลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างนั้นหรือ? เส้นชีพจรต่อสู้ถูกตัดไปแล้ว เช่นนั้นคงไม่ง่ายที่จะฟื้นกลับดังเดิม นอกเสียจากของเหลววิญญาณไท่อีที่อยู่ในไขกระดูก ซึ่งอาจทำให้ฟื้นกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ แต่ของเหลววิญญาณไท่ยีนั้นเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ หลายร้อยปีมานี้มียอดฝีมือจำนวนมากที่ต่างพากันค้นหาของเหลววิญญาณไท่ยี แต่ก็หาไม่พบ”

“ของเหลววิญญาณไท่ยีอยู่ที่ไหนหรือ?”

“เรื่องนี้ใครจะไปรู้ เล่าลือกันว่าอยู่ที่หุบเขาเจียงเจ๋อซาน แต่ไม่มีใครพบของเหลววิญญาณไท่ยีที่นั่น”

หุบเขาเจียงเจ๋อซานหรือ……

เช่นนั้นนางก็จะไปเสี่ยงดู

เพื่อที่จะหาของเหลววิญญาณไท่ยีมาให้ได้

จากนั้นทำการปรุงกลั่นยาเพื่อยกระดับความสามารถของตัวเอง จากนั้นทำลายตระกูลไป๋หลี่ให้ได้ เพื่อล้างแค้นให้กับท่านปู่หลิน

“ขอบคุณมาก ตาเฒ่า”

กู้ชูหน่วนวางถ้วยชาลงและเป่าปากเดินออกไปอย่างสบายใจ

นายท่านของตระกูลมู่ตกตะลึงตาค้าง

นี่……

ออกไปเช่นนี้หรือ?

เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่ามู่หน่วนต่างหากที่เป็นนายท่าน และเขาเป็นเพียงคนใช้ที่คอยแก้ข้อสงสัยให้กับนาง?

เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนเรียกให้นางมาจัดการเรื่องของตระกูลไป๋หลี่……

จากนั้นนายท่านตระกูลมู่ก็รู้สึกตัว แต่กู้ชูหน่วก็ได้เดินออกไปไกลแล้ว

และทิ้งไว้เพียงประโยคหนึ่ง “ตาเฒ่าดูแลพ่อของข้าให้ดี อีกไม่กี่วันข้าจะกลับมา”

“……”

ตาเฒ่าอะไรกัน……

ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเอาเสียเลย

และเหตุใดเขาต้องดูแลพ่อของนางด้วย?

เขาเป็นถึงนายท่าน

“ใครก็ได้มานี่หน่อย นำตัวของมู่หน่วนกลับมาเดี๋ยวนี้”

“นายท่านขอรับ คุณหนูสามได้ออกไปแล้ว นางออกไปเร็วมาก เกรงว่าจะตามไม่ทันขอรับ”

“สารเลว นางคงไม่ได้ไปที่หุบเขาเจียงเจ๋อซานหรอกนะ”

คนใช้หัวเราะเยาะและกล่าวว่า “นายท่าน หุบเขาเจียงเจ๋อซานเป็นสถานที่ที่อันตรายอย่างมาก จากนิสัยของคุณหนูสามแล้ว นางไม่กล้าไปหรอกขอรับ ที่นั่นแม้แต่ยอดฝีมือระดับห้าที่แข็งแกร่งก็ไม่กล้าเข้าไปสถานที่อันน่าสะพรึงกลัวนี้ง่ายๆ”

“ข้าว่านางกล้าหาญออก”

ถึงแม้ว่าจะไม่ชอบนิสัยของนาง แต่นายท่านตระกูลมู่ก็อดเป็นห่วงกู้ชูหน่วนไม่ได้

หุบเขาเจียงเจ๋อซานมีความอันตรายอย่างมาก มียอดฝีมือจำนวนมากที่เข้าไปแล้วก็ไม่ได้ออกมาอีกเลย

มีข่าวลือมาว่าที่นั่นไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้ายเท่านั้น แต่ที่นั่นยังมีสิ่งที่อันตรายอีกมากมาย

แม้แต่……

แม้แต่หลุมอากาศที่น่าสะพรึงกลัว

ที่สามารถทำให้ยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งสูญเสียกำลังความสามารถและกลายเป็นนเพียงคนธรรมดา

“เจ้าส่งคนออกไปจำนวนหนึ่งและรีบพาคุณหนูสามกลับมาให้ได้”

“ขอรับ”

กู้ชูหน่วนกลับไม่ได้ไปที่หุบเขาเจียงเจ๋อซานในทันที

แต่กลับไปยังหุบเขาลึกเพื่อเก็บพืชสมุนไพรเพื่อแลกเป็นเงินตำลึงและซื้อดาบสั้นรวมไปถึงอาวุธลับ

อาวุธลับของที่นี่นางไม่ชอบ เพราะมีพลังที่น้อยเกินไป รวมไปถึงรูปแบบก็เก่าแก่เกินไป

กู้ชูหน่วนลงมือวาดแบบด้วยตัวเอง เพื่อให้ช่างตีเหล็กจัดทำตามรูปแบบที่นางต้องการ

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้เสียเวลาไปกว่าสองสามวัน

“แม่นาง ดูไปแล้วท่านเป็นนักเรียนของสำนักศึกษาอี้เหอใช่หรือไม่” ช่างตีเหล็กถามพร้อมกับยิ้มออกมา

“อ้อ……เหตุใดถึงคิดเช่นนั้น?”

“อาวุธลับชิ้นนี้ที่ท่านออกแบบขึ้นช่างมีความงดงามมาก ข้าทำอาวุธมาเกือบครึ่งค่อนชีวิตยังไม่เคยเห็นอาวุธลับที่มีความละเอียดอ่อนเช่นนี้เลย บนโลกนี้นอกจากนักเรียนที่จบมาจากสำนักศึกษาอี้เหอแล้ว ก็ไม่มีใครที่มีความสามารถเช่นนี้แล้ว”

“สำนักศึกษาอี้เหอ……เก่งกาจมากเช่นนั้นเลยหรือ?”

“สำนักศึกษายังไม่เก่งกาจอีกหรือ? ที่นั่นถือเป็นสำนักศึกษาที่ดีที่สุดของรัฐปิงแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันเปิดเรียนของสำนักศึกษาแล้ว ข้าได้ให้ลูกชายของข้าไปสมัครที่นั่นด้วย แต่ไม่รู้ว่าจะได้รับคัดเลือกหรือไม่”

“สำนักศึกษาอี้เหอถือเป็นสำนักศึกษาที่มีความชอบธรรม ไม่เพียงผู้ร่ำรวยหรือมีตำแหน่งสูงส่งเท่านั้นที่สามารถเข้าเรียนได้ ประชาชนคนธรรมดาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมก็สามารถเรียนได้ เจ้าลองมองดูผู้คนตามท้องถนนในเมืองหลวงสิ มีคนจากพื้นที่อื่นมาเป็นจำนวนมาก ล้วนต่างก็มาเพื่อสำนักศึกษาอี้เหอกันทั้งนั้น”

กู้ชูหน่วนเงยหน้าขึ้นและมองไปยังกลุ่มคน

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แวบแรกนางก็ถูกคุณชายวัยหนุ่มคนหนึ่งดึงดูดเข้า

ในมือของคุณชายวัยหนุ่มนั้นถือพัดรูปกระดูกดำ เขาดูสง่างามและอ่อนโยน แต่ชุดที่เขาสวมใส่นั้นไม่ได้สวยงามมากนัก แต่กลับดูธรรมดา ที่เอวของเขามีหยกชั้นดีแขวนอยู่ บนหยกนั้นสลักตัวอักษร (เซี่ยว) เอาไว้

เมื่อเห็นใบหน้าของเขา กู้ชูหน่วนก็รู้สึกปวดหัวขึ้นทันที เหมือนจะมีความทรงจำบางอย่างแวบเข้ามา

บทที่ 789

บทที่ 791