กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 791
ยิ่งกู้ชูหน่วนหวนนึกกลับไปสมองก็ยิ่งเจ็บปวดรวดร้าวเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ท้ายที่สุดก็เจ็บปวดเสียจนนางเหงื่อแตก และทำได้เพียงส่ายศีรษะไม่กล้าหวนคิดถึงเรื่องนี้อีก

นางเดินสามก้าวในสองก้าวขวางทางของชายหนุ่มเอาไว้จากนั้นกวักมือเรียกเขา “คุณชายข้าดีดนิ้วทำนายดูแล้ววันนี้เจ้าช่างโชคดีนักจะได้คบค้ากับสหาย”

พัดก้านดำในมือของเซี่ยวอวี่เซวียนชะงักครู่หนึ่งพร้อมกับจ้องมองดูไปยังหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด

นางแต่งกายด้วยชุดเสื้อคลุมสีขาวขนห่านพร้อมด้วยเข็มขัดหยกสีขาวรอบเอวเผยให้เห็นถึงรูปร่างอันงดงามที่ปรากฏออกมานั้น

นางอายุประมาณสิบแปด ผิวนวลเนียนเรียบ ดวงตาและฟันประจักษ์ชัด เมื่อยิ้มขึ้นมาเผยให้เห็นลักยิ้มเล็กๆคู่หนึ่ง

สิ่งที่ทำให้เขามองไปด้านข้างคือแม้ว่าแม่นางผู้นี้จะไม่ได้งดงามเท่ากู้ชูหน่วน แต่ว่าดวงตาอันส่องประกายออกถึงความฉลาดแกมโกงนั้นคล้ายคลึงกับนางอยู่บ้างบางส่วน

“เจ้าคือ……”

“ข้าดีดนิ้วทำนายอีกครั้ง ข้าเป็นผู้สูงศักดิ์ในชีวิตของเจ้า หากเจ้าเป็นสหายกับข้าจะต้องมีอนาคตสดใสและสมดังใจหวังเป็นแน่”

สามปีผ่านไปและได้ผ่านพบการทำลายล้างตระกูลเซี่ยว อารมณ์ของเซี่ยวอวี่เซวียนสงบลงกว่าเมื่อก่อนมากมายนัก ใบหน้านั้นก็ได้ปรากฏความยากลำบากขึ้นมาอยู่บ้าง

ด้านหนึ่งเขาโบกพัดไปมาและอีกด้านหนึ่งก็กล่าวว่า “แม่นางต้องการสิ่งใดบอกมาเลยโดยตรงเถอะ”

“พูดง่ายสิ เจ้ารู้จักข้าหรือ?” จู่ๆกู้ชูหน่วนก็เข้ามาใกล้ทำให้ใบหน้าอันงดงามของตนขยายใหญ่ขึ้นอยู่ตรงหน้าของเขา

เซี่ยวอวี่เซวียนถอยหลังไปสองสามก้าวจากนั้นขมวดคิ้วและส่ายศีรษะ

“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่รู้จักข้า?”

“เหตุใดแม่นางถึงได้รู้สึกว่าข้าน้อยจะต้องรู้จักเจ้าเป็นแน่หล่ะ?”

หากว่าเป็นหญิงผู้อื่นเขาคงจะเกียจคร้านที่จะพูดเรื่องไร้สาระด้วยแม้เพียงคำเดียว แต่ดวงตาคู่นี้ช่างเหมือนกู้ชูหน่วนยิ่งนักซึ่งเซี่ยวอวี่เซวียนไม่ได้สะบัดแขนเสื้อจากไปราวภูตผี

“ก่อนหน้านี้ไม่รู้จักตอนนี้รู้จักก็ยังไม่สาย ข้าชื่อมู่หน่วน เจ้าหล่ะชื่ออะไร”

มู่หน่วน?

ชื่อก็มีคำว่าหน่วนด้วย?

ด้วยชื่อของนางที่มีคำว่าหน่วนด้วยมุมปากของเซี่ยวอวี่เซวียนก็ขยับและตอบกลับว่า “เซี่ยวอวี่เซวียน”

“เซี่ยวอวี่เซวียน? งั้นต่อไปข้าจะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวเซวียนเซวียนนะ”

ร่างกายของเซี่ยวอวี่เซวียนสะท้านอย่างรุนแรงและพัดก้านดำที่โบกอยู่ในมือได้แข็งทื่อไปเลย

“เมื่อกี้เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”

“เสี่ยวเซวียนเซวียนไง น่าฟังจะตายไป”

กู้ชูหน่วนยกมุมปากขึ้นจากนั้นกอดไหล่ของเขาแล้วกล่าวอย่างสนิทสนมว่า “เสี่ยวเซวียนเซวียนข้าเห็นว่าเจ้าไม่เหมือนผู้ที่อยู่ในเมืองหลวง เจ้าก็มาสมัครเข้าร่วมสำนักศึกษาอี้เหอหรือ?”

เซี่ยวอวี่เซวียนผลักนางออกเว้นระยะให้ห่างจากเขา เสียงของเขาเย็นชาลงเล็กน้อยราวกับกล่าวตักเตือนว่า “ห้ามเรียกข้าว่าเสี่ยวเซวียนเซวียน”

“บุรุษผู้หนึ่งใจน้อยเช่นนี้ทำไมกัน? ไม่ใช่ว่าคนรักในอดีตของเจ้าก็เรียกเจ้าเช่นนี้หรอกนะ?”

รัศมีสังหารของเซี่ยวอวี่เซวียนประกายแว๊บผ่านไป อุณหภูมิของอากาศก็ลดลงด้วยเช่นเดียวกัน

กู้ชูหน่วนแสร้งทำเป็นตกใจและรีบถอยกลับไปยังโรงตีเหล็ก

“จุ๊ๆๆ ดูหน้าตาเป็นผู้เป็นคนแต่อารมณ์ก็ช่างบูดบึ้งนัก แต่ว่าผู้ใดให้เราเป็นสหายกันหล่ะ วางใจเถอะ ต่อไปท่านพี่จะปกป้องเจ้าเอง”

เซี่ยวอวี่เซวียนกล่าวสิ่งใดไม่ออกจากนั้นเดินหน้าต่อไปโดยไม่สนใจหญิงบ้าบอผู้นั้น

เขาทุ่มเทพยายามอย่างยากลำบากเพื่อมาถึงยังแผ่นดินใหญ่นี้

ไม่ว่าเช่นไรเขาก็จำต้องนำของเหลวจิตวิญญาณไท่ยี่มาให้จงได้

สามปีแล้ว……

นางไม่สามารถฟื้นคืนชีพมาได้ตลอดสามปีที่ผ่านมา

ว่ากันว่าดวงจิตไม่สมบูรณ์ ดวงจิตที่วิ่งหนีไปเช่นไรก็ค้นหากลับมาไม่ได้

ดวงจิตที่เหลืออยู่เนื่องจากถูกเก็บไว้ในกาขังวิญญาณเป็นเวลานาน ในตอนนี้พลังวิญญาณก็อ่อนลงเรื่อยๆ จะต้องได้รับการหล่อเลี้ยงจากของเหลววิญญาณไท่ยีจึงจะสามารถฟื้นตัวหรือแม้กระทั่งว่าคืนชีพขึ้นมาได้

เขาเกลียดชังนาง

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขายังต้องการค้นหาของเหลววิญญาณไท่ยีให้พบ

ชั่วขณะที่จากไปเซี่ยวอวี่เซวียนบังเอิญเห็นอาวุธลับที่ตีอยู่ในโรงตีเหล็กโดยไม่ตั้งใจ

ฝีเท้าของเขาหยุดราวกับถูกเทด้วยสารตะกั่ว เช่นไรก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้

อาวุธลับนี้……

เหตุใดถึงได้เหมือนกับอาวุธลับเฉพาะตระกูลของนาง?

เซี่ยวอวี่เซวียนก้าวไปด้านหน้าแล้วกล่าวว่า “เถ้าแก่ เจ้าตีอาวุธลับนี้ได้อย่างไร?”

“เป็นแม่นางคนนี้ที่ให้ตี”

เถ้าแก่ตีเหล็กชี้ไปทางกู้ชูหน่วนซึ่งยืนพิงเสาไม้อย่างเกียจคร้านตรงฝั่งหนึ่งกับเสาไม้ด้วยสายตาที่ชื่นชม

หากไม่ใช่ว่าภาพร่างเป็นของนางยังอยากจะตีอาวุธลับออกมาอีกสักหลายๆชุดมาขาย

เซี่ยวอวี่เซวียนขมวดคิ้ว

ความแข็งแกร่งของนางอยู่เพียงแค่ขั้นหนึ่งจุดเส้นวรยุทธ์เท่านั้น ต่ำมากเสียจนไม่สามารถต่ำลงได้มากกว่านี้อีกแล้วกลับสามารถรู้อาวุธลับอันร้ายกาจเช่นนี้ได้

และอาวุธลับนี้คล้ายคลึงกันกับอาวุธลับของนาง

เป็นเรื่องบังเอิญ?

หรือว่า……

ไม่……

เป็นไปไม่ได้

ในตอนนั้นเผ่าหยกพยายามอย่างเต็มที่เพื่อค้นหาเสี้ยวดวงจิตที่หายไปของกู้ชูหน่วน

แม้กระทั่งใช้วิชาต้องห้าม

ค้นหามานานสามปี ผลลัพธ์ก็คือ……

ดวงจิตนั้นได้สาปสูญไปอย่างสมบูรณ์แล้ว

ไม่มีผู้ใดให้ความอบอุ่นและหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณและเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งซึ่งจะค่อยๆจางหายไปตามกาลเวลาของโลก นางไม่สามารถเป็นเศษเสี้ยวดวงจิตนั้นได้

แม้ว่าจะใช่ก็เป็นเพียงเสี้ยวดวงวิญญาณเล็กๆดวงหนึ่งแล้วจะสามารถกำเนิดใหม่ได้เช่นไร?

กำเนิดใหม่แล้วนางจะไม่รู้จักตนเองได้อย่างไร?

“ต้องการหรือ? งั้นข้าจะมอบให้เจ้าหนึ่งชุด”

ช่างตีเหล็กเพิ่งตีเสร็จกู้ชูหน่วนก็โยนชุดหนึ่งแบ่งให้เขาโดยไม่ลังเลจากนั้นก็เก็บชุดหนึ่งของตนไว้แล้วเดินวางท่าวางทางจากไป

ก่อนจากไปนางขยิบตาให้เซี่ยวอวี่เซวียนแล้วยิ้มและกล่าวว่า “เสี่ยวเซวียนเซวียน จำไว้นะ ข้าชื่อมู่หน่วน”

เซี่ยวอวี่เซวียนตัวสั่นเทา ทั้งโกรธทั้งโมโหทั้งกล่าวสิ่งใดไม่ออก

เสี่ยวเซวียนเซวียนอีกแล้ว

หญิงผู้นี้ลักษณะท่าทางเหตุใดถึงได้เหมือนกับหญิงผู้นั้นไม่ผิดเพี้ยน?

เก็บอาวุธลับแล้วเซี่ยวอวี่เซวียนก็ไล่ตามนางไป

“เจ้าจะไปที่ใด?”

“หุบเขาเจียงเจ๋อซาน”

“เจ้าจะไปทำสิ่งใดที่หุบเขาเจียงเจ๋อซาน?”

“ไปชื่นชมทิวทัศน์ ได้ยินมาว่าทิวทัศน์ที่นั่นงดงามเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร แล้วเจ้าหล่ะ”

“ข้าก็จะไปหุบเขาเจียงเจ๋อซาน”

“ตกปลา ได้ยินมาว่าปลาที่นั่นอร่อยยิ่งนัก”

“……”

“……”

กู้ชูหน่วนไม่เชื่อเซี่ยวอวี่เซวียน

ชายผู้นี้มีความรู้สึกที่ไม่ธรรมดา แม้ว่าจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดาแต่ไม่สามารถซ่อนความสูงส่งในตัวของเขาได้

การบำเพ็ญของนางต่ำเกินไป มองไม่ออกว่าชายตรงหน้านางอยู่ในระดับที่เท่าไหร

ที่แน่ใจได้คือชายผู้นี้ต้องเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์เป็นแน่และวรยุทธ์ไม่ต่ำต้อยอยู่แล้ว

เซี่ยวอวี่เซวียนก็ไม่เชื่อกู้ชูหน่วนเช่นกัน

หุบเขาเจียงเจ๋อซานเป็นสถานที่ใดกัน ที่นั่นอสุรกายอาละวาดแล้วยังมีหมอกพิษและอากาศพิษ ไม่ว่าผู้ที่วรยุทธ์แข็งแกร่งเพียงใดไปถึงที่นั่นก็จะถูกกดการบำเพ็ญทั้งหมดไว้จนกลายเป็นคนธรรมดา คนธรรมดาจะไปชื่นชมทิวทัศน์ที่นั่นได้อย่างไร

ทั้งคู่ต่างสงสัยในตัวตนของกันและกัน แต่ทั้งสองคนก็ยังคงเดินทางไปด้วยกันโดยปริยาย

หุบเขาเจียงเจ๋อซานเป็นหนึ่งในภูเขาอันใหญ่โตมหึมานับแสนภูเขา ที่นี่ล้อมรอบด้วยก่อนเมฆและหมอก ต้นไม้สูงตระหง่านเทียมฟ้า ภูเขาแต่ละลูกเชื่อมต่อกับภูเขาอีกลูกหนึ่งซึ่งมองไปสุดลูกหูลูกตา

ทั้งกู้ชูหน่วนและเซี่ยวอวี่เซวียนต่างก็ประสบปัญหาเสียแล้ว

หุบเขาเจียงเจ๋อซานกว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ จะไปหาของเหลววิญญาณไท่ยีจากที่ใด?

“ให้ สลายพิษ” เซี่ยวอวี่เซวียนหยิบยาอายุวัฒนะออกมาขวดหนึ่งแล้วเทยาสามเม็ดให้นางเผื่อเอาไว้

“ยาสลายพิษ ยานี้ราคาไม่ถูกนะ เสี่ยวเซวียนเซวียนดูไม่ออกว่าเจ้าจะมั่งคั่งเช่นนี้”

“สหายผู้หนึ่งมอบให้”

เซี่ยวอวี่เซวียนไม่ต้องการกล่าวสิ่งใดมากมายนักและตนเองก็กินไปหนึ่งเม็ดจากนั้นเดินตรงไปยังหุบเขาเจียงเจ๋อซาน

กู้ชูหน่วนก็กินลงไปหนึ่งเม็ดแล้วตามไปติดๆ

“นอกจากพวกเราสองคนแล้ว อย่างน้อยก็น่าจะมีคนสามกลุ่มเข้ามา”

กู้ชูหน่วนชี้ไปยังรอยเท้าบนพื้น

รอยเท้าแบ่งออกเป็นผู้คนสามกลุ่มโดยที่แต่ละกลุ่มมีผู้คนนับสิบ และรอยเท้านั้นเบาบางซึ่งวรยุทธ์น่าจะไม่เบา

เซี่ยวอวี่เซวียนยิ้ม “เจ้าสังเกตุได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนนัก”

“พาเสี่ยวเซวียนเซวียนมาด้วยข้าจะไม่ละเอียดได้อย่างไรหล่ะ ข้ายังจะต้องพาเจ้าออกไปอย่างปลอดภัยด้วยนะ”

ทุกครั้งที่นางเรียกเขาว่าเสี่ยวเซวียนเซวียน

ทำให้เซี่ยวอวี่เซวียนรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก

เพียงแค่สามคำนี้ก็เพียงพอที่เขาจะสังหารนางแล้ว

แต่เขาไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้เก็บนางไว้

หรืออาจเนื่องจากในตัวนางมีเงาของนางอยู่