ตอนที่ 236 พูดเข้าเค้าความจริงแล้ว / ตอนที่ 237 ซือเหยี่ยนจะอยากรัดคอเขาให้ตาย

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 236 พูดเข้าเค้าความจริงแล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนทำไม่รู้ไม่ชี้ “คุณไม่ยอมจะลองด้วย ยังไม่ยอมให้ผมไปลองกับคนอื่นอีก เป็นแบบนี้ตลอดผมจะช้ำในได้นะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินจ้องเขาด้วยสายตาดุร้าย “ฉันไม่ยอมให้นายลองเหรอ แม่งเอ๊ย เมื่อคืนนี้ใครกันแน่ที่ไม่คิดถึงตัวเองรีบออกไปช่วยนาย ยังโดนนายจับพลิกไปคว่ำมาเหมือนกับกำลังจี่ขนมเปี๊ยะไปกับกระทะ ทำจนเอวฉันยกไม่ขึ้นแบบนี้”

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบจมูกปอยๆ “นั่นมันเมื่อวานไม่ใช่เหรอ วันนี้ยังไม่ได้ลอง”

 

 

           “นายอายุเท่าไหร่แล้ว ยังคิดจะลองทุกวันอีกเหรอ” เจียงมู่เฉินมองเขาด้วยท่าทีเหยียดหยาม

 

 

           ซือเหยี่ยนบริสุทธิ์ใจ เขายังหนุ่มยังแน่น ถ้าเวลานี้ไม่ลองทุกวัน ต่อไปตัวเองกับเจียงมู่เฉินอายุมากแล้ว ก็จะทำทุกวันไม่ได้แล้วนะ

 

 

           “ผมยังไม่ถึงสามสิบ ยังหนุ่มมากอยู่”

 

 

           เจียงมู่เฉินเดือดดาลจนอีกนิดเดียวจะกระอักเลือดออกมาแล้ว ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าซือเหยี่ยนพูดประโยคนี้ดูเป็นเกียรติมากอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           “เฉินเฉิน รอจนอายุมากขึ้น ระดับความยืดหยุ่นของร่างกายคุณก็ไม่ไหวแล้ว ถึงเวลานั้นท่ายากก็ท้าทายกันไม่ไหวแล้วเช่นกัน” ซือเหยี่ยนเอ่ยแนะนำด้วยความจริงใจ “ไม่งั้นตอนนี้พวกเราก็มาลองกัน บางทีต่อไปอาจยังพอไหว”

 

 

           เจียงมู่เฉินคว้าหมอนที่อยู่ด้านข้าง ฟาดเข้าไปเต็มๆ มือ “นายแม่งไปตายได้แล้ว”

 

 

           ……

 

 

           วุ่นวายกับซือเหยี่ยนตลอดทั้งเช้า สุดท้ายเจียงมู่เฉินก็กลัวว่าจะรบกวนเวลาซือเหยี่ยนทำงาน จึงจะเตรียมตัวกลับแล้ว ถ้ายังอยู่กับเขาต่อไป เกรงว่าตัวเองจะลงมือฆ่าซือเหยี่ยนหมกตู้จริงๆ

 

 

           เขาลุกยืนขึ้นมุ่งหน้าจะเดินออกไปข้างนอก แต่ซือเหยี่ยนกลับคว้าตัวเขาเอาไว้เสียก่อน กระตือรือร้นอยากจะไปส่งเจียงมู่เฉินลงไปมาก

 

 

           เจียงมู่เฉินจนใจ เขาก็แค่ลงลิฟต์ไปเอง ตัวเองรู้ทางอยู่ ต้องการให้เจ้าหมอนี่ไปส่งทำไม

 

 

           “คุณชายไม่ได้โง่ ลงตึกยังเป็นอยู่” เขามองรอยฟันบนคางซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง ยังชัดเจนมากทีเดียว “นายไม่กลัวจะโดนคนอื่นเห็นคางนายเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนยักคิ้วด้วยท่าทีสุขุม “ก็เพื่อให้พวกเขาเห็น ถึงได้จะลงไปไง”

 

 

           …ยังกลยุทธขั้นเทพแบบนี้อีก สมองซือเหยี่ยนเป็นของเซียนโดยแท้จริง คิดไม่เหมือนคนทั่วไปโดยสิ้นเชิง

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ได้ใช้ลิฟต์ส่วนบุคคล แต่จงใจใช้ลิฟต์ธรรมดาเป็นพิเศษ ตอนที่ลงไปลิฟต์หยุดทุกชั้น และทุกครั้งที่มีคนเข้ามา จิตใต้สำนึกของทุกคนจะสั่งให้มองซือเหยี่ยนและเจียงมู่เฉินทั้งสองคนตลอด

 

 

           พอเห็นรอยฟันบนคางของซือเหยี่ยน แววตาก็จะลุกวาวทันที

 

 

           เจียงมู่เฉินหางตากระตุกอยู่ร่ำไป สายตาที่ตื่นเต้นส่งมาจากรอบข้างอยู่ตลอดเวลาทำให้เขาค่อนข้างจะปลง ในที่สุดเขาก็พบว่าซือเหยี่ยนเจ้าหมอนี่ไม่ปกติ แม้แต่คนในบริษัทนี้ก็ไม่ปกติกันหมด

 

 

           ลงลิฟต์กันจนมาถึงชั้นหนึ่ง ซือเหยี่ยนส่งเจียงมู่เฉินออกผ่านประตูไปด้วยสีหน้าท่าทางอ่อนโยน ยังไปส่งที่รถด้วยตัวเองด้วย

 

 

           คนที่เห็นฉากนี้ก็พากันตื่นเต้นคึกคักขึ้นมาในพริบตา เพียงไม่นานข่าวก็แพร่ไปในบริษัท ประธานซือส่งคุณชายเจียงออกจากบริษัทด้วยตัวเอง จุดสำคัญคือยังมีรอยฟันบนคางด้วย

 

 

           มีคนจำนวนไม่น้อยที่สงสัยใคร่รู้ในรอยฟันบนคางของซือเหยี่ยน มีบางคนถึงขึ้นอดไม่อยู่อยากไปหาเจียงมู่เฉินเปิดปากดูว่ารอยฟันตรงกันหรือเปล่า

 

 

           มีคนจับกลุ่มถกกันอย่างออกรสออกชาติ ซือเหยี่ยนที่ส่งเจียงมู่เฉินเสร็จเดินกลับเข้ามาเห็นพนักงานตื่นตัวกันชัดเจน ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ เชิดมุมปากขึ้นยกมือขึ้นมาลูบคลำรอยฟันบนคาง

 

 

           การกระทำของเขาทำให้คนรอบข้างที่เห็นเกือบจะตกใจจนฉี่จะราดแล้ว

 

 

           ทำไมตอนประธานซือลูบคาง สีหน้าอารมณ์ดูลึกซึ้งค่อนข้างแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก

 

 

           ภายใต้สายตาอยากรู้อยากเห็นทุกรูปแบบที่ส่งมา ซือเหยี่ยนเดินอย่างผ่าเผยกลับเข้าลิฟต์ไป เมื่อประตูลิฟต์ปิดในพริบตาเดียวทั้งตึกก็ระเบิดเสียงเซ็งแซ่ออกมา “เมื่อกี้ประธานซือยิ้มแล้วถูกต้องไหม”

 

 

           “แม่เจ้าเว้ย นี่คงจะไม่ใช่เป็นฝีมือคุณชายเจียงกัดหรอกใช่ไหม หรือทั้งสองคนตีกันข้างบน คุณชายเจียงตีไม่สู้ก็เลยใช้ปากประธานซือ”

 

 

           “แต่ว่า…คุณชายน้อยกัดประธานซือ แล้วประธานซือจะยังดูมีความสุขขนาดนี้ไปทำไม”

 

 

           หญิงสาวคนหนึ่งกัดนิ้ว เอ่ยด้วยสีหน้าแปลกใจ “หรือว่า ประธานซือเป็นพวกชอบโดนกระทำ”

 

 

           ‘…อืม…น้องสาวคนนี้ เหมือนเธอจะพูดเข้าเค้าความจริงบ้างแล้ว’

 

 

           

 

 

ตอนที่ 237 ซือเหยี่ยนจะอยากรัดคอเขาให้ตาย

 

 

           เรื่องที่ซือเหยี่ยนไปส่งคุณชายน้อยเจียงด้วยตัวเองแพร่สะพัดไปทั้งบริษัท ไป๋จิ่งเองก็ได้ทราบข่าวไปโดยปริยาย เขารีบหยิบมือถือออกมาส่งข้อความหามั่วไป๋

 

 

           [ช่วงวิกฤตกาลคลี่คลาย ผมไม่ต้องตายแล้ว]

 

 

           มั่วไป๋อ่านข้อความแล้วมุมปากกระตุกขึ้นมา ตอบกลับไปส่งๆ

 

 

           [ถ้านายอยากตาย ฉันจะลงมือช่วยนาย]

 

 

           เขาส่งไปเสร็จก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เสริมไปอีกประโยค

 

 

           [นายวางใจได้ ต่อให้ฉันลงมือฆ่านาย ก็ยังช่วยนายจัดงานศพได้อยู่]

 

 

           ไป๋จิ่งถือมือถือไว้ยืนฟุ้งซ่านอยู่ข้างหน้าต่าง ครั้งนี้เขาไม่เป็นที่โปรดปรานแล้วจริงๆ ใช่ไหม ไม่เป็นที่โปรดปรานแล้วจริงๆ ใช่ไหม

 

 

           คิดไม่ถึงว่ามั่วไป๋ของเขาจะยังอยากลงมือฆ่าเขาเองด้วย

 

 

           ไป๋จิ่งอยากร้องไห้ ยืนอย่างโดดเดี่ยวอยู่ริมหน้าต่างเศร้าสลดสักพัก ตัดสินใจจะต้องเป็นฝ่ายตีวงล้อมกลับไปกอบกู้ตำแหน่งของตัวเอง

 

 

           เขาทำแม้กระทั่งรีบวิ่งพุ่งเข้าไปห้องทำงานของซือเหยี่ยน เลียนแบบท่าทางของเจียงมู่เฉินใช้เท้าถีบประตูห้องทำงานของซือเหยี่ยน

 

 

           เขายืนอยู่ตรงนั้นคิดคำนึงว่าต้องมีพลังออกมา ต่อให้ไม่แรงเท่าเจียงมู่เฉินได้ ก็จะแย่กว่าเจียงมู่เฉินไม่ได้

 

 

           ซือเหยี่ยนนั่งอยู่ในห้องทำงานกวาดสายตามองไป๋จิ่งเล็กน้อย มีความเย็นยะเยือกอยู่ในสายตา เพียงครู่เดียวไป๋จิ่งก็หวาดกลัวจนพลังที่มีหายเกลี้ยง

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นประตูที่ถูกถีบเข้ามากวัดแกว่งไปมาอยู่ด้านข้าง แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ปิดประตูดีๆ แล้วออกไป”

 

 

           ไป๋จิ่งหวาดกลัวจนปิดประตูอย่างจริงจัง ยืนอยู่หน้าประตูสูดหายใจเข้าลึกๆ เคาะประตูด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง

 

 

           “เข้ามา”

 

 

           ตอนนี้เองที่ไป๋จิ่งถึงได้ผลักประตูเข้ามา ตอนที่เข้ามายังถือโอกาสพูดขอโทษกับประตูด้วย

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับที่ปวดกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

           “ฉันต้องการขอลากิจ” ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงดัง

 

 

           “ไม่อนุญาต!”

 

 

           ‘…ปฏิเสธกันตรงๆ ขนาดนี้เชียว แม้แต่เหตุผลก็ไม่ต้องถามกันเลยเหรอ’

 

 

           “ฉันมีเหตุผลที่เหมาะสมจะขอลากิจ” ไป๋จิ่งแอบพูดต่อ

 

 

           ซือเหยี่ยนยักคิ้ว “ไม่รับ”

 

 

           ไป๋จิ่งน้ำตาตกใน ขาดแค่พุ่งตรงเข้าไปกอดขาซือเหยี่ยนเท่านั้น “ถ้านายไม่ปล่อยฉันไป เมียฉันก็จะไม่มีแล้ว ถ้าฉันต้องเป็นโสด รับประกันว่าฉันไม่จบกับนายแน่…ฉันจะบอกพ่อแม่นายแล้วก็พ่อแม่เจียงมู่เฉิน บอกว่าพวกนายสองคนคบกัน ทำให้พวกท่านจับพวกนานแยกจากกัน” เขาเริ่มข่มขู่เงียบๆ

 

 

           ซือเหยี่ยนหยุดการกระทำในมือลง กอดอกมองไป๋จิงจริงจัง “หืม นี่นายกำลังขู่ฉันเหรอ”

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้า “ชัดเจนว่าใช่”

 

 

           “แล้วถ้าฉันไม่ยอมตกลงล่ะ”

 

 

           “ฉันก็กระโดดตึก เมียไม่มีแล้ว ชีวิตจะมีความหมายอะไรอีก” สีหน้าท่าทางแบบนั้นเรียกว่าไม่ย่อท้อที่จะยืนหยัดต่อความถูกต้อง

 

 

           ซือเหยี่ยนยักคิ้ว พยักหน้าจริงๆ “ฉันเข้าใจแล้ว”

 

 

           เขากดต่อสายโทรศัพท์ “เสี่ยวหลิว เข้ามาหน่อย ถือเชือกติดมือมาด้วย”

 

 

           เสี่ยวหลิวรีบถือเชือกเข้ามา ราวกับคุ้นชินกับเหตุการณ์ทำนองนี้ไม่มีผิด ท่าทีเรียบเฉยอาการนิ่งอย่างมาก

 

 

           “ประธานซือ เชือกมาแล้วครับ”

 

 

           “ประธานไป๋ของนายอยากจะกระโดดตึก ฉันกับเขาเป็นเพื่อนกันมาหลายปี ยังมีความผูกพันกันอยู่ไม่น้อย ไม่ต้องให้เขาเสียแรงกระโดดตึกลงไปเอง ถือเชือกไว้ นายรัดคอประธานไป๋ของนายด้วยมือนายเองเถอะ จะได้ส่งเขาเป็นครั้งสุดท้าย”

 

 

           ‘…ไม่คาดคิดว่าซือเหยี่ยนจะอยากรัดคอเขาให้ตาย?’

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเสี่ยวหลิวที่เข้ามาประชิดตัวด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง ก็รีบวิ่งหันกลับออกไปทันที

 

 

           เสี่ยวหลิวไม่เห็นเงาคนในห้องทำงานแล้วถอนหายใจเงียบๆ “เชือกยังจะใช้อยู่ไหมครับ”

 

 

           “เก็บไว้ ถ้าประธานไป๋ของนายไม่ฟังความก็ใช้ต่อไป”

 

 

           เสี่ยวหลิว “…”

 

 

           คนที่อยู่ชั้นล่างของตึกยังคงตกอยู่ในภวังค์ในโลกของซือเหยี่ยน ทันใดนั้นก็เห็นไป๋จิ่งราวกับพายุพัดผ่านออกมา กิริยาท่าทางเร็วปานข้างหลังมีผีไล่ตามอยู่

 

 

           กระแสลมแรงผ่านไป ไป๋จิ่งก็พุ่งตัวออกจากตึกใหญ่จนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอย

 

 

           …คนที่เหลือมองหน้ากันไปมา วันนี้บริษัทเป็นอะไรไปกันแน่ หรือว่าเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้น

 

 

           ประธานซือมาก่อน ตามด้วยประธานไป๋ ยิ่งมายิ่งไม่ปกติ

 

 

           คนทั้งกลุ่มถอนหายใจเงียบๆ เป็นพนักงานของซือกรุ๊ปนี่เหนื่อยจัง