แดนนิรมิตเทพ บทที่ 662
พานเยว่ซานหันไปมองเขาด้วยสีหน้าเฉยเมย และถามด้วยความเย็นชาว่า “โลกฝึกบู๊แห่งเจียงหนาน เกี่ยวอะไรกับผม?”

ชายชราคนนั้นเกือบสำลักน้ำลายตาย ส่วนนักบู๊เจียงหนานที่สีหน้าเต็มไปด้วยความหวัง ตอนนี้พวกเขาต่างรู้สึกตกตะลึงเช่นกัน

แม้แต่พานรุ่ยหมิงและสมาชิกของตระกูลพาน ต่างก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน

เรื่องราวไม่ควรจะเป็นแบบนี้!

ผลลัพธ์ที่ถูกต้องคือหลังจากผู้นำตระกูลพานจะออกมาจากการปลีกวิเวกแล้ว แสดงพลังที่ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม ต่อสู้กับเฉินไต้ซือแห่งฮ่านหยาง แล้วกู้ศักดิ์ศรีของโลกฝึกบู๊แห่งเจียงหนานกลับคืนมา!

แต่ตอนนี้ผลกลับผิดคาด และผิดคาดมากมาย

สีหน้าของผู้นำหม่าและผู้อาวุโสเกาตกตะลึงเช่นกัน พวกเขามองสีหน้าที่จริงจังของพานเยว่ซานแล้ว อุปมาว่าไม่รู้จะทำอย่างไรดี

ผู้อาวุโสเกาส่ายศีรษะ “นิสัยของเจ้าเด็กคนนี้ยังคงเหมือนเดิม เขาไม่เคยเห็นโลกฝึกบู๊อยู่ในสายตา สิ่งที่เขาแสวงหามีเพียงพลังบำเพ็ญที่แข็งแกร่งกว่าและแดนที่สูงกว่าเท่านั้นโดยตลอดชีวิต”

“ในที่สุดตอนนี้เขาก็เจอคนที่สามารถชี้แนะตนเองได้ แล้วเจ้าเด็กคนนี้จะไม่คว้าโอกาสไว้ได้อย่างไร”

สีหน้าของผู้นำหม่าเต็มไปด้วยความหดหู่ และแอบถอนหายใจ “มิน่าเขาถึงเก่งกว่ารุ่นอาวุโส เขาใช้เวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่ปี ก็สามารถแซงผม ความพากเพียรในการแสวงหาบู๊โดยไม่คำนึงถึงอะไร ถ้าเป็นผม ทำแบบนั้นไม่ได้อย่างแน่นอน!”

พานเยว่ซานไม่ใช่คนโง่เขลา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถมองเห็นความแข็งแกร่งของเฉินโม่ได้อย่างชัดเจน แต่เพียงแค่อาศัยคำพูดที่เฉินโม่ชี้แนะเขาเมื่อสักครู่ ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าแดนของเฉินโม่นั้นสูงกว่าเขามาก ซึ่งการที่ให้เขาออกหน้าแทนโลกฝึกบู๊แห่งเจียงหนาน มันจะเป็นการหาเรื่องทำให้ตนเองอับอายขายหน้าเท่านั้น!

และตอนนี้พานเยว่ซานต้องการประจบเฉินโม่อีกด้วย ถึงแม้เมื่อสักครู่เขารู้แจ้งแล้ว แต่เขายังต้องการสร้างเคล็ดวิชาใหม่ และเป็นเคล็ดวิชาที่เปลี่ยนจากนักบู๊เป็นผู้บำเพ็ญโดยตรง หนทางที่ต้องเดินยังอีกยาวไกล ถ้าเฉินโม่สามารถชี้แนะเขาต่อไปได้ เขาก็สามารถเลี่ยงทางเบี่ยงได้มากมาย

“ผมได้ประโยชน์มากมายจากสิ่งที่เฉินซือชี้แนะเมื่อสักครู่มากมาย เชิญเฉินซือนั่งเถอะ เพื่อให้ผมแสดงมิตรภาพของเจ้าบ้าน!” พานเยว่ซานชี้ตรงที่นั่งวีไอพี และทำสัญญาลักษณ์มือเชิญ

“ไม่ต้อง ผมยังมีธุระ” เฉินโม่ปฏิเสธพานเยว่ซาน จากนั้นหันไปมองสมาชิกของตระกูลเว่ยที่หลบซ่อนอยู่ที่มุมห้อง

“ผมพูดแล้ว ผมพูดแล้ว อย่าฆ่าผม!”

ในที่สุด เด็กรุ่นหลังคนหนึ่งของตระกูลเว่ย ทนไม่ได้กับความหวาดกลัวก่อนที่ความตายจะมาเยือน เขายอมประนีประนอมแล้ว

“พูดออกมา” เฉินโม่ก้าวออกมา และวินาทีต่อมา เฉินโม่ก็มายืนอยู่ข้างกายเขาแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เขาถูกสมาชิกของตระกูลเว่ยที่จงรักภักดีลอบฆ่า

“คุณหนูเซวียถูกคุณชายเฉิงซ่อนอยู่ในบ้านของตระกูลเว่ย” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่น

เฉินโม่มองเขาและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “พาผมไปที่นั่น!”

“ครับ!” ชายหนุ่มรับปากทันที

เฉินโม่มองสมาชิกที่เหลือของตระกูลเว่ย แล้วดวงตาที่หรี่เบิกกว้างทันที เผยให้เห็นเจตนาฆ่าที่แรงกล้า “ในเมื่อพวกแกจงรักภักดีต่อตระกูลเว่ยมากขนาดนั้น ดังนั้นฉันก็จะทำให้พวกแกสมดังปรารถนา!”

แสงสีทองพุ่งออกมาจากกลางศีรษะของเฉินโม่ ผ่านคอของสมาชิกตระกูลเว่ยสิบกว่าคนอย่างรวดเร็ว จากนั้นได้ยินเสียงกระบี่ แล้วมลายหายไป

สมาชิกทุกคนของตระกูลเว่ยเสียชีวิตทันที รวมถึงเว่ยชางหยุนและเว่ยอวี้เหอที่หมดสติด้วย!

สำหรับสมาชิกของโลกฝึกบู๊แล้ว เฉินโม่ไม่จำเป็นต้องคิดมาก ฆ่าตายแล้วก็ช่างมัน เพราะว่ามันสามารถยับยั้งนักบู๊คนอื่นที่คิดจะวางแผนต่อต้านเฉินโม่ได้

ทั่วห้องโถงเงียบสงัด กลิ่นเลือดโชยไปทั่ว ผู้หญิงบางคนที่ไม่เคยเห็นโลกกว้าง เริ่มอาเจียน แต่พวกเธอพยายามไม่ให้เกิดเสียง ราวกับว่าพวกเธอกลัวว่าเฉินโม่จะได้ยิน

สายตาของทุกคนมองเฉินโม่ด้วยความหวาดกลัว โดยเฉพาะเจ้าสำนักที่ออกหน้าพูดแทนตระกูลเว่ยเสมอมา เขาก้มหน้าด้วยความตกใจและสั่นไปทั้งตัว

สีหน้าของพานเยว่ซานเย็นชา ด้วยสติปัญญาของเขาแล้ว ไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะรู้ว่าคนที่ตระกูลเว่ยกักขังเป็นใคร และคราวนี้ตระกูลเว่ยรนหาความตายเอง

จากชะตากรรมของตระกูลเว่ย ทำให้พานเยว่ซานเข้าใจเฉินไต้ซือที่อายุน้อยคนนี้มากยิ่งขึ้น

ผู้แข็งแกร่ง ไม่เคยเป็นคนใจอ่อน ศักดิ์ศรีของผู้แข็งแกร่งสร้างขึ้นมาจากซากศพนับไม่ถ้วน