DC บทที่ 354: ร่วมเป็นพันธมิตร

 

“ถ้าเช่นนั้น พวกท่านคิดอย่างไรกับสถานการณ์เช่นนี้” ไป่ลี่ฮัวถามผู้อาวุโสสำนักหลังจากที่ใช้เวลาสองสามนาทีในการอธิบายสถานการณ์ให้กับพวกเธอ

 

“แม้ว่าเราอาจจะล่วงเกินผู้มีอิทธิพลจำนวนมากหากร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่ทั้งหมดนี้ก็คุ้มค่าถ้าพวกเราสามารถก้าวนำหน้าทุกคนในการพบปะกับนักปรุงยาคนนี้ และที่ดียิ่งกว่าก็คือถ้าเราสามารถสร้างความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนซึ่งกันและกัน”

 

“ข้าก็สนับสนุนความคิดในการร่วมเป็นพันธมิตรกับพวกเขาเช่นกัน ตราบเท่าที่พวกเขามีเซียนนักปรุงยาหนุนหลังอยู่ พวกเขาก็เกือบมิมีวันพ่ายแพ้”

 

“ฮึ่ม มินาประหลาดใจเลยที่เจ้าเด็กเลวนั่นกล้าที่จะทำตัวกร่างเช่นนั้นระหว่างการประมูล กลับกลายเป็นว่าเขามีคนหนุนหลังเป็นเซียนทั้งยังเป็นคนที่ค้นพบโอสถเขตปฐพีอีกด้วย”

 

“เช่นนั้นก็ถือว่าทุกคนที่นี่สนับสนุนการร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ถูกต้องหรือไม่” ไป่ลี่ฮัวถามพวกเธออีกครั้ง

 

ผู้อาวุโสนิกายพากันพยักหน้า

 

ไป่ลี่ฮัวเรียกซูหยางกลับมาในห้องไม่นานหลังจากนั้น

 

“หลังจากที่พูดคุยกับผู้อาวุโสส่วนหนึ่งของสำนักข้า พวกเราลงความเห็นที่จะร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย อย่างไรก็ตามพันธมิตรนี้จักยังคงอยู่ถ้าเซียนมีจริง ถ้าเจ้ากล้าหลอกข้าข้าจักจัดการเจ้าและนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยด้วยตนเอง”

 

ซูหยางยังคงมีท่าทางเยือกเย็น กล่าวขึ้นว่า “ท่านตัดสินใจได้ถูกต้อง เจ้าสำนักไป่”

 

เขาทำการนำเอาม้วนกระดาษออกมาสามม้วนจากแหวนมิติและวางพวกมันลงบนโต๊ะ

 

“นั่นคืออะไร” ไป่ลี่ฮัวถามอย่างรวดเร็ว

 

“วิชาการโคจรพลัง ในเมื่อถือว่าพวกเราอยู่ฝ่ายเดียวกันแล้วในตอนนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าจักช่วยท่าน ท่านสามารถเปิดดูมันได้หลังจากที่ข้าไปแล้ว” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า

 

“อย่างไรก็ตามถ้าสำนักหงส์สวรรค์เปิดเผยวิชาพวกนี้ให้กับคนอื่นหรือกล้าที่จะทรยศนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของข้า ข้าจักจัดการกับท่านด้วยตนเอง”

 

หลังจากที่กล่าวคำพูดเหล่านั้นแล้ว ซูหยางก็เริ่มเดินไปยังทางออก

 

แต่ก่อนที่เขาจะจากไป เขาก็กล่าวขึ้นว่า “อย่าลืมเด็กสาวที่หลับอยู่ด้านหลังท่าน”

 

“…”

 

ครั้นเมื่อเธอรู้สึกว่าซูหยางไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว ไป่ลี่ฮัวก็เปิดหนึ่งในม้วนกระดาษเพื่อมองดู

 

อย่างไรก็ตามหลังจากที่อ่านส่วนเล็กๆของเนื้อหาข้างในแล้ว ดวงตาเธอก็เปิดกว้างด้วยความตระหนก และเธอก็อุทานดังลั่น “วิชาการฝึกปรือระดับอัมพร”

 

ไม่กล้าที่จะเชื่อสายตาตัวเอง เธออ่านมันซ้ำอีกครั้ง และได้แต่งงงันกับความเป็นจริง

 

ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นไป่ลี่ฮัวก็วางวิชาระดับอัมพรกลับลงไปบนโต๊ะทั้งที่ยังอ่านเนื้อหาในนั้นไม่จบและหยิบเอาม้วนกระดาษม้วนที่สองขึ้นมา

 

“น-นี่…นี่คือ…” ไป่ลี่ฮัวมือสั่นสะท้านอย่างรุนแรงขณะที่มองดูภายในม้วนคัมภีร์

 

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นเธอก็วางมันกลับลงไปและหยิบม้วนคัมภีร์สุดท้ายขึ้นมา

 

“…”

 

หลังจากนั้นไม่นาน ไป่ลี่ฮัวก็เก็บวิชาทั้งสามไว้ในแหวนมิติของเธอและเริ่มหัวเราะราวกับคนบ้าหลังจากนั้น

 

“วิชาการฝึกปรือขั้นอัมพรหนึ่ง และวิชาการฝึกปรือขั้นเซียนสอง ฮ่าฮ่า… ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

ผู้อาวุโสสำนักที่รออยู่ด้านนอกห้องต่างพากันคิดว่าเจ้าสำนักของตนเองบ้าไปแล้วหลังจากที่พวกเธอต้องทนฟังอีกฝ่ายหัวเราะอย่างบ้าคลั่งมานานหลายนาทีโดยไม่หยุด

 

ตามความเป็นจริงไป่ลี่ฮัวหัวเราะเสียงดังลั่นจนกระทั่งปลุกซูหยินให้ตื่นขึ้น

 

“อ-อาจารย์…” ซูหยินมองดูเธอด้วยดวงตาโต

 

“ในที่สุดเจ้าก็ตื่นขึ้นมา ซูหยิน ข้าต้องขอโทษที่อารมณ์เสียและทำให้เจ้าสลบไปด้วพลังการฝึกปรือของข้า นั่นเป็นอุบัติเหตุ” ไป่ลี่ฮัวหยุดหัวเราะเพื่อพูดกับเธอ

 

“นั่นมิเป็นไร…” ซูหยินส่ายหน้า “อย่างไรก็ตาม… เกี่ยวกับการตัดสินใจของข้าที่จะออกจากสำนัก…”

 

“เจ้ามิต้องพูดอะไรทั้งสิ้น” ไป่ลี่ฮัวยับยั้งเธอไว้ในทันใด “ขณะที่เจ้าหลับไป ข้าได้สนทนากับพี่ชายของเจ้า และพวกเราได้ข้อสรุปว่าสำนักหงส์สวรรค์ของพวกเราและนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของพวกเขาจะร่วมเป็นพันธมิตรกัน เจ้าสามารถเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในขณะที่ยังคงเป็นศิษย์ของสำนักหงส์สวรรค์ของพวกเราด้วยเช่นกัน”

 

“อ-อะไรกัน…” ซูหยินแสดงท่าทางมึนงงออกมาในเมื่อนั่นเป็นข้อมูลที่น่าตื่นตระหนกเกินไปสำหรับเธอในการย่อยสลายได้อย่างเหมาะสม

 

 

หลังจากที่ออกจากที่อยู่ของสำนักหงสวรรค์ ซูหยางก็กลับไปยังโรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะ ที่ซึ่งโหลวหลานจีและเหล่าศิษย์รอคอยเขากลับอย่างกระวนกระวาย

 

“สุดท้ายเจ้าก็กลับมา เจ้ามิได้วิ่งเข้าไปชนกับปัญหาอะไรใช่ไหม” โหลวหลานจีถามเขาทันทีที่เธอเห็นเขา

 

“ใจเย็นๆ มิมีอะไรเกิดขึ้นกับข้า” ซูหยางยิ้ม

 

“ขอบคุณสวรรค์..” โหลวหลานจีถอนใจโล่งอก

 

“อย่างไรก็ตามมีบางคนตามหาเจ้าอยู่ หวังชูเหริน… เธอมาที่นี่ไม่นานนักและตอนนี้รออยู่ในห้องของเจ้า”

 

“เช่นนั้นข้าก็จักไปพูดกับเธอในตอนนี้”

 

“หากว่าเจ้าเสร็จสิ้นธุระกับเธอแล้ว เราก็ควรจักสนทนากันสักครั้ง”

 

ซูหยางพยักหน้าและเข้าไปในห้องของตนเอง

 

เมื่อเข้าไปในห้องแล้ว หวังชูเหรินซึ่งนอนหลับผ่อนคลายอยู่บนเตียงของเขาก็ลุกขึ้นนั่งและพูดกับเขาว่า “ซูหยางในที่สุดท่านก็มาที่นี่ โปรดนั่งลง ข้าเพิ่งต้มชาไป”

 

ซูหยางเดินไปยังม้านั่งขณะที่หวังชูเหรินเทชาให้กับเขา

 

หลังจากที่นั่งลงและจิบชา ซูหยางก็กล่าวขึ้นว่า “เหตุเช่นไรทำไมเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่”

 

หวังชูเหรินตอบสนองด้วยเสียงน่าสงสาร “ท่านจะถามข้าอย่างนั้นจริงๆรึในตอนนี้ ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อท่านให้โอสถเขตปฐพีแก่ข้า แต่ท่านคิดบ้างไหมว่าข้าต้องทนแบกรับมากมายแค่ไหนยามเมื่อข้าเผยพวกมันที่โรงประมูล แม้ว่าข้าเฝ้าบอกพวกเขาให้รอ เจ้าพวกละโมบนี้ก็ยังเฝ้ารบกวนข้า กระทั่งท่านเจ้าซีก็ยังพยายามกดดันข้าให้เปิดเผยตัวตนของท่าน”

 

“ซูหยางท่านก็อยู่ที่โรงประมูลเช่นกัน ดังนั้นท่านควรจะรู้ว่าทำไมข้าจึงมาที่นี่ ท่านจะพบปะกับพวกเขารึ ไม่ว่าอย่างไรท่านก็เป็นนักปรุงยาที่พวกเขาตามหา”

 

“…”

 

เขาไม่ได้ตอบกลับในทันทีแต่จิบชาไปอีกสองสามคำก่อนที่จะพูดว่า “แน่นอน นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าต้องการให้เจ้าขายเม็ดยา”

 

“ท่านมั่นใจในเรื่องนี้รึ คนที่ท่านจักพบล้วนเป็นผู้ทรงอิทธิพลในยุทธภพซึ่งอย่างต่ำก็เป็นผู้ฝึกวิชาระดับสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณ ต่อให้เป็นข้าก็มิอาจจะปกป้องท่านถ้าพวกเขาคิดจะเล่นตลกอะไรสักอย่าง”

 

“นั่นมิมีปัญหา” เขาตอบอย่างใจเย็น