“คุณ—“ หลินจือไม่ใช่คนที่ชอบทะเลาะวิวาท เผชิญหน้ากับคำพูดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเทาเท่ หลินจือรู้สึกหงุดหงิดมากจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง
เทาเท่กล่าวอย่างเย็นชา “คุณโกรธอะไรผม ผมถูกคุณทำให้โมโหจนเกือบตายไปแล้ว”
ปอดของเขาจะระเบิดด้วยความโกรธ เขาอยากจะบีบคอเธอจนตายไปเลย
กล้าที่จะสงสัยว่าวันข้างหน้าเขาจะหลงรักคนอื่น?
เขาไม่ใช่คนเจ้าชู้แบบนั้นสักหน่อย!
ไม่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อคลายความโกรธ
คิดในใจอย่างนี้ มือก็กอดเธอไว้ในอ้อมแขนโดยไม่ชักช้า ก้มหัวลงจูบเธออย่างแรง
กัดริมฝีปากที่อ่อนนุ่มของเธอคล้ายพายุที่โหมกระหน่ำ
หลินจือทั้งตีทั้งทุบและดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนของเขา เขาบ้าไปแล้วเหรอ? ไม่ต้องพูดถึงว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาสองคนในตอนนี้คือชายหญิงที่เลิกกันไปแล้ว มาพูดถึงสถานที่ในตอนนี้ ที่นี่คือหน้าตึกอพาร์ตเมนต์ของควีน ไม่รู้ว่าจะมีใครเดินออกมาจากอพาร์ตเมนต์เมื่อไหร่
กลางวันแสกๆ ทั้งคู่กอดจูบกันหน้าตึก ผิดศีลธรรมมาก!
“คุณมัไร้ยางอาย ฉันยังต้องการยางอาย!” เมื่อเทาเท่ปล่อยตัวเองในที่สุด หลินจือก็ต่อว่าเขาด้วยความโกรธด้วยใบหน้าแดงก่ำ จากนั้นก็หันหลังและวิ่งหนีไป
คาดไม่ถึงว่า เธอถูกกระชากกลับมาหลังจากวิ่งไปได้สองก้าว แล้วยัดเธอเข้าไปในรถอย่างไม่เกรงใจ
“ขึ้นรถ ผมส่งคุณกลับบ้าน” เทาเท่คาดเข็มขัดนิรภัยให้เธออย่างรวดเร็ว ซึ่งเทียบเท่ากับการมัดเธอไว้กับรถทางอ้อม
หลินจือพูดอย่างโกรธเคือง “ฉันจะนั่งแท็กซี่ไปเอง”
เทาเท่โน้มตัวลงเพื่อจับเธอไว้ หรี่ตาแล้วเตือนด้วยน้ำเสียงอันตราย “คุณรู้สึกว่าจูบเมื่อครู่นี้เบาเกินไปเหรอ? ต้องจูบคุณจนขาของคุณอ่อนแล้วเดินไม่ได้ถึงจะเชื่อฟังใช่ไหม?”
หลินจือเบิกตากว้างตกใจกับคำพูดไร้ยางอายของเทาเท่ “เทาเท่ คุณ คุณ ทำไมคุณถึงไร้ยางอายแบบนี้คะ?”
“นี่ก็ไร้ยางอายแล้วเหรอ?” เทาเท่ไม่มีเจตนาที่จะไตร่ตรองความผิดของตนเองแม้แต่น้อย แต่กลับเอนตัวไปที่ติ่งหูของเธอแล้วพูดว่าชิดหูว่า “ผมยังมีช่วงเวลาที่ไร้ยางอายมากกว่านี้อีกนะ ไม่ใช่ว่าคุณไม่เคยเห็นนี่”
หลินจือ “…”
ใบหน้าสวยแดงระเรื่อทันที เธอผลักเขาออกไป “คุณรีบขับรถเถอะค่ะ”
เธอไม่อยากคุยกับเขาแล้วจริงๆ คนๆ นี้เริ่มไม่มีความอายชั้นพื้นฐานมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว
เธออยากจะถามเขาจริงๆ ว่าเขารู้มั้ยว่าพวกเขาเลิกกันแล้ว?
เทาเท่เห็นว่าเธอนั่งอยู่ในรถอย่างเชื่อฟังก็ไม่ล้อเธอเล่นอีก เขานั่งตัวตรงและขับรถออกไป
“ส่งคุณกลับบ้านก่อน พักผ่อนสักพักแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า รับประทานอาหารกลางวันกับแม่ของไวท์ ตอนบ่ายเราจะออกเดินทางไป เมืองเออัน”เทาเท่กล่าวขณะที่ขับรถ
“เรา?” หลินจืองุนงงเล็กน้อย “อย่าบอกนะว่าคุณก็ไปเหมือนกัน?”
เทาเท่ส่งเสียงฮึดฮัดออกมาจากจมูก “หรือคุณนึกว่าเรื่องนี้เป็นของคุณคนเดียว?”
ร่างกายของเธอได้รับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็วเท่านั้นเขาถึงสามารถมีชีวิตที่มั่นคงและมีความสุขได้ ดังนั้นนี่ไม่ใช่เรื่องของเธอคนเดียวตั้งแต่ต้น แต่เป็นเรื่องของพวกเขาทั้งสองคน
หลินจือสามารถได้ยินความดื้อรั้นในคำพูดของเขาได้ เธอละสายตาจากเขาแล้วพูดเสียงเบาว่า “คุณยุ่งขนาดนั้น คุณไม่ต้องไปด้วยก็ได้”
หลินจือไม่ใช่ไม่อยากให้เขาไปด้วย แต่แค่รู้สึกสงสารเขา
ตอนนี้ควีนจากไปแล้ว เทียบเท่ากับเขาการสูญเสียผู้ช่วยคนสำคัญไป ต้องมีงานล้นมืออยู่กับเขาแน่ แต่เขายังตามเธอไปไกลถึงเมืองเออันอีก
และเขาเพิ่งกลับมาจากบ้านพักบ่อน้ำพุร้อนในเมืองเวลฟ์เมื่อคืนก่อน คิดดูแล้วช่วงนี้เขาตามเธอไปทุกที่…
เธออดที่จะสงสารเขาไม่ได้
ไม่ใช่ไม่รักเขาแล้วถึงแยกจากกัน เมื่อเห็นเขาเหนื่อยแบบนี้ เธอจึงรู้สึกเป็นห่วงธรรมดา
เทาเท่ตอบตามคำพูดของเธอ “ผมยุ่งมากจริงๆ แต่ผมจะไปกับคุณไม่ว่าผมจะยุ่งแค่ไหน ครอบครัวและธุรกิจจะจับไว้ในมือทั้งสองอย่าง”
“ครอบครัว?” หลินจือกระพริบตา จากนั้นก็รู้สึกโมโหอย่างยิ่ง และความเป็นห่วงเมื่อครู่นี้ที่มีต่อเขาหายไปจนไร่ร่องรอย
ใครเป็นครอบครัวของเขา เขาสามารถหยุดคิดร้ายและเบลอความสัมพันธ์ปัจจุบันระหว่างพวกเขาทั้งสองได้ไหม?
หลินจือไม่พูดอะไรกับเขาสักคนอีกต่อไป เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง
หลินจือก็กลับไปที่ที่ของเธอ เทาเท่ก็ไม่ได้ไปรบกวนเธอ
หลินจืออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วโทรไปหา บอกเรื่องที่ไวท์แนะนำหมอให้เธอ
แน่นอน จอร์แดนรู้ว่าไวท์ช่วยเหลือหลินจือเพราะเทาเท่ แต่จอร์แดนยังคงสนับสนุนหลินจือเพื่อไปพบหมอคนนั้น ตราบใดที่ยังมีความหวังไม่ว่าในกรณีใด เขาจะไม่ยอมให้หลินจือพลาดโอกาสนั้นไป
หากเธอสามารถฟื้นฟูได้ดีขึ้นจริงๆ เธอก็จะไม่ต้องทนทุกข์มากขนาดนี้
หลังจากคุยโทรศัพท์กับจอร์แดนเสร็จแล้ว หลินจือได้รับข้อความจากเทาเท่ “เตรียมตัวให้พร้อม เดี๋ยวจะออกไปแล้ว”
หลินจือรีบจัดการตัวเองและลงไปชั้นล่าง แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น เธอเห็นเทาเท่นั่งอยู่ที่บนโซฟาอย่างสบายใจในห้องนั่งเล่นของเธอ หลินจือตกใจไม่น้อย
หลังจากคิดดูแล้วเธอก็คิดได้ว่าเธอเป็นคนบอกรหัสผ่านของรหัสล็อคกับตัวเขาเอง เขาสามารถเข้ามาในห้องได้ธรรมดา ดูเหมือนว่าเธอจะต้องเปลี่ยนรหัสผ่านแล้วล่ะ
แต่ก่อนที่หลินจือจะพูดอะไร เทาเท่ก็ลุกขึ้นและเดินไปหาเธอ
เขายกมือขึ้นแล้วกอดเธอไว้ในอ้อมแขน เขาหลุบตาลงและจ้องมาที่เธอแล้วถามว่า “คุณไม่ระลึกถึงวันที่เราอยู่ด้วยกันที่นี่เลยเหรอ? อยู่ๆก็จะจากไปแล้วจากไปทันที?”
เทาเท่รู้สึกโมโหเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรเมื่อเขาลงมาจากเขาเอสเลย์หลังจากเจอเรื่องร้ายแรงที่อาจตายได้ในวันนั้น แล้วกลับถูกบอกว่าเธอตัดสินใจที่จะจากไป
ถ้าไม่โกรธไม่โมโหก็จะไม่สลบไปทันที
“ไม่ระลึกค่ะ” หลินจือจงใจพูดคำที่ทำร้ายจิตใจ พยายามทำให้เขามีสติและมองเห็นความสัมพันธ์ปัจจุบันของพวกเขาอย่างชัดเจน
อีกอย่าง เขากดดันเธอ ถามเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อชำระบัญชีเหรอ?
แต่เธอบอกว่าเธอไม่ระลึก เทาเท่ไม่ได้โกรธเลย แต่ยกมือขึ้นและจิ้มจุดหน้าอกซ้ายของเธอ บ่นว่า “หัวใจของคุณมันแข็งจริงๆ มันทำด้วยหินเหรอ?”
เมื่อเทาเท่พูดประโยคนี้ น้ำเสียงของเขาคือจนปัญญา น้ำเสียงจนปัญหายังปนความเสียใจเล็กน้อยไว้ในนั้น แต่ในอารมณ์ที่ซับซ้อนของเขา บางอย่างที่ซ่อนอยู่ในใจคือความตามใจและรักใคร่
เขาตามใจเธอที่บอกว่าจะจากไปก็จากไปทันที ตามใจเธอพูดประโยคทำร้ายจิตใจ ตามใจให้เธอทำร้ายเขา…
หลินจือรู้สึกเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดทำให้ดวงตาของเธอแดงก่ำทันที
ระหว่างพวกเขาในตอนนี้กลับกลายเป็นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ในอดีตเธอตามใจเขา ตามใจให้เขาไม่แยแสกับเธอ ตามใจเขาที่ทำให้เธอผิดหวัง แต่ตอนนี้ เธอกลายเป็นคนที่ทำตามใจตัวเอง
ดวงตาเธอแดงก่ำแล้วดูเหมือนเธอกำลังจะร้องไห้ออกมา ทำให้เทาเท่ตกใจ
“ผม…” เทาเท่ทำอะไรไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง เขาถึงว่าเธอจะร้องไห้ เขาแค่ว่าเธอสองสามประโยคเพื่อระบายเท่านั้นเอง
อีกอย่างเขาไม่ได้พูดด้วยคำพูดหนักไม่ใช่เหรอ?
“ผมขอโทษ ผมไม่ควรพูดว่าหัวใจของคุณทำด้วยหิน” เขาขอโทษทันทีโดยไม่ลังเล ดูแล้วต่อไปพูดตามใจชอบแบบนี้ไม่ได้แล้ว
เขาขอโทษโดยไม่มีหลักการแบบนี้ กลับทำให้หลินจือรู้สึกผิดมากขึ้นแล้วน้ำตาด็ไหลอาบแก้มทันที
เทาเท่ตื่นตระหนกอย่างสมบูรณ์ หลังจากร่างแข็งทื่อชั่วขณะเขาก็รีบยกมือเช็ดน้ำตาให้เธอ “งั้นคุณตีผมเถอะ
แค่ขอให้คุณอย่าร้องไห้เลย”
เมื่อเธอหลั่งน้ำตา หัวใจของเขาก็แตกสลาย