หลินจือตีเขาจริง ๆ สองสามครั้ง อยู่ๆเธอก็ร้องไห้ออกมาเพราะเธอรู้สึกผิดที่ทรยศต่อความรักของเขา แต่เธอไม่สามารถบอกเขาได้ บางทีเขาอาจจะรู้สึกดีขึ้นเมื่อเธอตีเขาแบบนี้
เทาเท่ไม่ได้ต่อต้านเลยแม้แต่น้อย และปล่อยให้เธอตีเขา
เธอไทำร้ายเขาใหเจ็บด้วยแรงเพียงเล็กน้อยนั้นไม่ได้ หลังจากที่เธอตีเสร็จ เขาก็ดึงเธอเข้าไปในอ้อมแขนและกอดเธอแน่น
หลินจือไม่ดิ้นรนอีกต่อไป เพราะมันไร้ประโยชน์ที่จะดิ้นรน
“คุณมายุ่งเกี่ยวกับผมก่อนเองนะ คุณเอาแต่พูดว่ารักผม ดีกับผมทั้งในบ้านและนอกบ้าน ทำอาหารก็อร่อยมาก คุณทำให้กระเพาะผมชินกับฝีมือการทำอาหารของคุณ คุณทำให้ผมหลงไหลคุณจนอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ ตอนนี้ไม่ต้องการผมอีกแล้ว” เทาเท่ฝังใบหน้าไว้ที่คอของเธอ “ผมเป็นคนที่ควรจะร้องไห้”
หลินจือยังคงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยในตอนแรก แต่หลังจากได้ยินคำพูดสุดท้ายของเทาเท่ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาในอ้อมแขนของเขา
เธอนึกภาพไม่ออกว่าเมื่อชายร่างใหญ่อย่างเทาเท่ร้องไห้แล้วจะเป็นอย่างไร และเธอก็ไม่ได้ตั้วใจไม่ต้องการเขา
เธอทนที่จะไม่ต้องการเขาได้อย่างไรกัน?
เธอรอเขามานานกว่าที่เขาจะตกหลุมรักเธอ
เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าพวกเขาจะไปทานอาหารกับไวท์และแม่ของเขา เธอรีบเตือนว่า “ไปกันเถอะ ไม่อย่างนั้นเราจะสายแล้วนะคะ”
เทาเท่คลายอ้อมกอดที่กอดเธอออกแล้วทั้งสองก็ออกไปด้วยกัน
เทาเท่เป็นจ้าภาพของอาหารกลางวันเ ซึ่งขอบคุณแม่ของไวท์สำหรับการแนะนำหมอคนนั้น
ชื่อแม่ของไวท์คือ วินญา อาชีพก็เป็นหมอเหมือนกัน และเป็นคนที่อยู่ด้วยกันได้ง่ายมาก เธอไม่มีความเย่อหยิ่งและอคติที่สตรีผู้มั่งคั่งและสูงศักดิ์หลายคนมี เมื่อเปรียบเทียบกับวีนา แม่ของเทาเท่แล้ว ไม่รู้ว่าจะเข้ากันได้ง่ายกว่ากี่เท่า
ระหว่างรับประทานอาหาร เธอมองไปที่เทาเท่และหลินจือแล้วพูดว่า “ลูกๆ ทั้งสองคนทนทุกข์ทรมานมามากแล้ว น้าหวังว่าครั้งนี้เราจะราบรื่นกัน พวกลูกก็จะได้อยู่กันอย่างสงบสุขและใช้ชีวิตได้ดี”
คำพูดของ วินญาเต็มไปด้วยการอวยพรสำหรับหลินจือและเทาเท่ ดูเหมือนจะไม่รู้เกี่ยวกับการเลิกกันของทั้งสอง หลินจือก็ตั้งใจไปอธิบายอะไรไม่ได้ ดังนั้นเธอก็แค่รับฟัง
หลังจากที่ วินญาพูดจบ ก็เหลือบมองไวท์ซึ่งมากับเธอ “ฉันไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฉันจะได้เห็นเงาของลูกสะใภ้ของฉัน”
นั้นไง นี่กำลังจะเร่งแต่งงานอีกแล้ว
เขาฟังคำเหล่านี้จนหูของเขาเป็นแก้วแล้ว ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเพิกเฉย
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขาเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลามีพรสวรรค์ที่หายากในเมืองเจสเวิร์ด เห็นได้ชัดว่าเขาถูกรายล้อมไปด้วยผู้หญิงจำนวนมากที่ชอบเขา แต่ทำไมแม่ของเขาเขาถึงมีความคิดที่ว่าเขาหาลูกสะใภ้มาแต่งงานด้วยไม่ได้ทุกวัน?
ทุกครั้งที่พบกัน แม่เขามักจะกระตุ้นให้เขาหาแฟนที่จะแต่งงาน หรือแนะนำให้เขารู้จักกับผู้หญิง เขาเบื่อแทบตาย
ไม่ใช่ว่าเขาหาไม่เจอเสียหน่อย มีจะเร่งเขาเพื่ออะไร?
ตามที่เขาคาดไว้ วินญาถามหลินจือด้วยรอยยิ้มว่า “มีผู้หญิงที่เหมาะสมรอบตัวหนูที่จะแนะนำให้ไวท์ของเรารู้จักไหม?”
ไม่รอให้หลินจือพูดอะไร วินญาก็พูดขึ้นมาเองว่า “เราที่เป็นหมอได้เห็นความตายมามากมาย ดังนั้นจึงไม่มีอคติต่อฐานะครอบครัวอะไรเหล่านั้น แค่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนดี และสามารถอยู่กับไวท์ด้วยใจเดียวก็พอ”
วินญาเป็นคนมีน้ำใจ เพราะรู้ว่าหลินจือถูกวีนาจู้จี้จุกจิกเกินไป ดังนั้นเธอจึงกลัวว่าหลินจือจะเข้าใจผิดว่าเธอจะสนใจเกี่ยวกับภูมิหลังของฐานะครอบครัวอะไรเหล่านั้นด้วย เลยจึงรีบอธิบายด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว
หลินจือยิ้มบางๆ “หมอไวท์มีความสามารถและโดดเด่น เขาไม่ต้องกังวลเรื่องการหาแฟนค่ะ”
“ทำไมไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ได้อย่าง?” วินญามีอาการปวดหัว “หนูดูสิ เทาเท่และนทีบดีต่างอำลาการเป็นโสดแล้ว โซเมนก็มีผู้หญิงมากมายอยู่รอบตัวเขา มีแต่เขา ไม่มีแฟนด้วยซ้ำ เหมือนพระเลย”
วินญาบ่นลูกชายตนเองอย่างไม่เกรงใจ ไวท์โกรธมากจนสีหน้าเปลี่ยน “แม่ครับ!”
“ลูกตะโกนอะไร?” วินญาบ่น “ถ้าลูกยังโสดแบบนี้ต่อไป แม่จะสงสัยว่าลูกชอบผู้ชายแล้วนะ”
ไวท์โกรธมาก เขาหยิบแก้วน้ำที่อยู่ข้างหน้าเขาแล้วดื่มน้ำอึกใหญ่เพื่อดับไฟความโกรธ
เทาเท่กลั้นหัวเราะอย่างสนุกสนานอยู่ข้างๆ หลินจือกลัวว่า วินญาจะคิดว่าไวท์ชอบผู้ชายจริงๆ จึงรีบพูดขึ้นอย่างร้อนใจว่า “หมอไวท์ก็เคยมีผู้หญิงมาก่อนค่ะ เขาจะไม่ชอบผู้ชายคะ”
น้ำที่ไวท์เพิ่งดื่มเข้าไปก็พ่นออกมาโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า เทาเท่รีบดึงหลินจือมากอดไว้ในอ้อมแขนของเขาทันเวลาเลยหลีกเลี่ยงได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ไวท์ถูกตัวเองสำลักและไอไม่หยุด
ตอนนี้หลินจือสร้างปัญหาแล้ว รู้หรือเปล่า?
ตามลักษณะนิสัยของแม่เขา ต้องจับหลินจือไว้แล้วบังคับให้ตอบว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครให้ได้
ว่าแล้ว เห็นแม่ของเขาหายจากอาการตกใจ คว้ามือหลินจือแล้วถามว่า “เขาเคยมีผู้หญิง? เป็นลูกสาวบ้านใคร หนูรู้จักไหม?”
วินญาดูเหมือนอยากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครเพื่อที่จะได้ไปสู่ขอเพื่อขอแต่งงานทันที หลินจือมองขึ้นไปที่ไวท์อย่างลำบากใจ
หากไวท์ต้องการให้แม่ของเขารู้เรื่องเกี่ยวกับการตัวตนอยู่ของซานา งั้นตอนนี้ก็ต้องนิ่งเงียบ เธอก็จะพูดออกมาเอง
ถ้าไวท์ไม่ต้องการให้แม่ของเขารู้ในตอนนี้ เขาจะรีบออกมาช่วยเธอและพูดเรื่องอื่นเพื่อให้ผ่านเรื่องนี้ไป
แต่หลินจือเดิมพันว่าตามท่าทีปัจจุบันของไวท์ที่มีต่อซานา ไวท์จะไม่ยอมให้แม่ของเขารู้ถึงการมีอยู่ของซานา
“แม่!” ไวท์ก้าวไปข้างหน้าและดึง วินญาออกไป คลึงหน้าผากแล้วพูดว่า “นี่คือสิ่งที่พวกเทาเท่และคนอื่น ๆ ล้อเล่นกับผม มีผู้หญิงคนไหนที่ไหนกันครับ”
เทาเท่ช่วยแก้สถานการณ์ในตอนนี้ให้ไวท์ได้ทันเวลา และยังช่วยหลินจือแก้สถานการณ์ด้วย “คุณน้าครับ นี่คือคำพูดที่พวกผมล้อเล่นกับไวท์ครับ หลินจือไม่รู้และคิดว่าเป็นความจริงครับ”
เทาเท่มีชื่อเสียงที่ดีต่อหน้าผู้ใหญ่เสมอ เมื่อเขาพูดแบบนี้ วินญาก็เชื่อขึ้นมาในทันที แต่เธอยังคงยืนยันกับหลินจืออย่างไม่ยอม “มันเป็นเรื่องล้อเล่นของพวกเขาจริงๆเหรอ?”
ด้วยท่าทีของไวท์ หลินจือย่อมไม่บอกเรื่องของซานาออกมา ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “หนูก็ได้ยินเทาเท่พูดค่ะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องล้อเล่นค่ะ”
วินญาปล่อยมือเธอด้วยความเสียดาย “ทำให้น้าดีใจไปเปล่าๆ น้ายังคิดว่าในที่สุดเขาก็รู้แจ้งแล้วเสียอีก”
วินญากระตือรือร้นกับเรื่องใหญ่ในชีวิตของไวท์ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลินจือคาดไม่ถึง แต่ไวท์เองก็ไม่ได้รู้แจ้งจริงๆ ถ้าเขารู้แจ้ง เขาจะไม่ปฏิบัติกับซานาแบบนั้น
วินญาลุกขึ้นยืนหลังจากผิดหวัง “น้าไปห้องน้ำก่อนนะ”
หลังจากที่ วินญาออกจากห้องส่วนตัว ไวท์ก็ทรุดตัวลงบนเก้าอี้และถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
หลินจือนึกถึงซานาขึ้นมาและอยากให้ไวท์รู้สึกไม่สบายใจ จึงถามไวท์ด้วยรอยยิ้มเบา ๆ “หมอไวท์คะ คุณรู้ไหมว่าซานาวางแผนที่จะลาออกและจากไปหรือยังคะ?”
“อะไรนะ?” ไวท์ซึ่งเพิ่งถอนหายใจด้วยความโล่งอก จู่ๆ ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้อีกครั้งและถามหลินจือด้วยความไม่เชื่อ “คุณพูดอะไรนะ เธอจะลาออก?”
หลินจือพูดอย่างสบายๆ “ใช่ค่ะ เมื่อคืนพวกเราคุยกันแล้วเธอบอกว่าเธอจะไปที่เมืองG กับควีน จะได้มีเพื่อนด้วย”
ใบหน้าของไวท์เต็มไปด้วยความโกรธ “เธอเพิ่งมาที่โรงพยาบาลของเราเพียงไม่กี่เดือนก็จะลาออก? สัญญาจ้างงานของเธอได้รับการลงนามตั้งหลายปีนะ!”
ดูเหมือนยังไม่หายโมโห เขาพูดอย่างโกรธเคือง “ เปลี่ยนใจไปมาแบบนี้อย่างเธอ โรงพยาบาลไหนจะกล้ารับเธอเข้าทำงาน?”
“ไม่ได้ ผมจะไปหาเธอ!” ไวท์ลุกขึ้นหยิบของของตนเองแล้วจากไปอย่างโมโห