บัญชามังกรเดือด บทที่ 589 ข้อเสนอแนะสองข้อ
เถ้าแก่ใหญ่ดื่มเหล้า ก่อนที่สายตาแห่งความโกรธแค้นนั้นจะค่อยๆดับลง
ไม่รู้ว่าเขานั้นคิดถึงอะไรอยู่ เขาในตอนนี้นั้น มองไปแล้วสีหน้านั้นขาวซีดขึ้นเยอะ
เขานั้นเอ่ยปาก สีต่ำแหบพร่านั้นได้ก้องไปทั่วห้องขังคุกใต้ดิน
“ในเมื่อท่านนั้นเคยได้พบกับคนของวิหารเทพสังหารมาก่อน งั้นเรื่องพวกนั้น ก็ถึงเวลาที่จะบอกอะไรท่านบางอย่างแล้ว
“เมื่อพูดไปแล้ว เถ้าแก่ใหญ่ ข้ากับวิหารเทพสังหารนั้น เหมือนจะมีต้นกำเนิด ……”
ฉินเทียนกลืนน้ำลายเข้า ก่อนที่จะพยายามที่จะควบคุมความตื่นเต้นของเขาแล้วเอ่ยเสียงเบา “คืออะไรล่ะ?”
ตลอดที่ผ่านมา ฉินเทียนรู้ดีเถ้าแก่เขานั้นเป็นคนที่ลึกลับ แต่ว่าเขานั้นไม่เคยคิดว่า เถ้าแก่ใหญ่และวิหารเทพสังหารมีต้นกำเนิดด้วยกัน !
เรื่องนี้มันช่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหันจริงๆ เขานั้นตื่นเต้นมาก ถึงแม้กระทั่งเมื่อได้ยินเสียงไป ก็จะมีทั้งความประหม่าและตัวสั่นของเขา
เถ้าแก่ใหญ่มองไปที่รอยยิ้มของฉินเทียน รอยยิ้มที่ประหลาด
“ข้าเอ่ยว่า ข้านั้นเคยเป็นคนของวิหารเทพสังหารเจ้าเชื่อไหม?”
ฉินเทียนตะลึงและภายในใจก็สั่นไหว!
เขานั้นไม่เคยเห็นสายตาของเถ้าแก่ใหญ่แบบนี้มาก่อน ทันใดนั้น ภายในหัวของเขานั้นก็ผุดขึ้นมาถึงเทพเจ้าที่ชั่วร้ายนั้นได้หลั่งไหลเข้ามา
เขานั้นรีบลุกขึ้นจากเตียงทันทีแล้วคุกเข่าลงไปที่พื้น ก้มหัว แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หวาดกลัว “ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยอธิบายครับ!”
เถ้าแก่ใหญ่ยิ้มหัวเราะ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำ “ตกใจเจ้าแย่เลยสินะ?”
“อย่ากลัวไปเลยเด็กน้อย รีบเอ่ยขึ้นมาสิ”
ฉินเทียนที่เพิ่งเงยหน้า ก่อนที่จะเอามือนั้นไปจับกับของเตียงไม้ แล้วฟังเถ้าแก่ใหญ่ เล่าถึงเรื่องความลับในเมื่อก่อน……
“ไม่ปกปิดเจ้าว่า เมื่อตอนที่ข้ายังหนุ่ม ข้านั้นอยากที่จะแข็งแกร่งมาตลอด แม้แต่วิธีไร้ยางอายข้าก็ทำ จนมีครั้งหนึ่ง ได้ยินคนเขาเล่าว่า ทางแดนเหนือนั้นมีกลุ่มที่เก่าแก่ มีการฝึกฝนเป็นเอกลักษณ์ สามารถดึงศักยภาพสูงสุดของมนุษย์ออกมาได้……”
“ทางเหนือ?” ฉินเทียนใจสั่น เขานั้นเคยอ่านที่บันทึกอันเก่าแก่วิหารเทพสังหาร มันเป็นเหมือนเดินแดนที่เกิดใหม่สำหรับแดนเหนือที่เยือกเย็น
เถ้าแก่ใหญ่พยักหน้า ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “ดังนั้นที่นั่นจึงเป็นอาณาจักรของฝั่งแดนเหนือ แต่ว่า ทั้งแดนเหนือและตอนเหนือนั้น ใหญ่มากจนเกินไป
“พื้นที่อาณาจักรของแดนเหนือนั้น เป็นเพียงแค่พื้นที่ส่วนเล็กๆ”
ฉินเทียนพยักหน้า ก่อนที่จะนั่งเงียบๆมองเถ้าแก่ใหญ่เอ่ยต่อ
“หลังจากที่ข้าได้ยินข่าวมาแล้วนั้น ก่อนที่จะสละจากผู้มีพระคุณ แล้วไปทางตอนเหนือเพียงลำพัง”
“การต่อสู้พุ่งชนอย่างไม่ตั้งใจ เลยทำให้ถูกเลือก และเข้าไปยังในองค์กร”
“รอจนกระทั่งข้านั้นรู้ว่าองค์กรนั้นมีชื่อว่า ‘วิหารเทพสังหาร’ในตอนนั้น ก็ปาเข้าไปเป็นหลังจากนั้นสามปีแล้ว”
“แต่ก็เพราะเหตุนี้ ในระยะเวลาสามปี ข้านั้นแสดงออกมาได้ไม่เลว ดังนั้นเลยได้คัดเลือกให้เข้าไปอยู่ในกลุ่มย่อย
“ตอนนั้นพวกเขาเอ่ยว่า นี่เป็นกลุ่มย่อย ต้องเข้าไปทดสอบหนึ่งครั้ง หากเพียงแค่ผ่านการทดสอบ ก็สามารถเข้าร่วมกลายเป็นสมาชิกขององค์กรได้”
“สามารถเรียนรู้การต่อสู้รับขององค์กรได้”
“ข้านั้นเชื่อมั่นเป็นอย่างมาก เลยไปกลับกับพวกกลุ่มย่อย ก่อนที่จะถูกพาไปที่ห้องลับ”
“คิดถึงตอนนี้ ที่ไหนล่ะคือบททดสอบ นั่นมันเป็นการทดสอบที่ไร้มนุษยธรรมที่สุด”
“พวกเขานั้นอาสาใช้สารเคมีฉีดเข้าในเลือดของพวกข้า หลังจากที่รอพวกเขานั้นรอดูปฏิกิริยาของพวกเขา ก่อนที่จะออกมาเป็นตัวเลข”
“กลุ่มสิบแปดคน อีกครึ่งหนึ่งนั้น มีคนตายในห้องทดลอง และไม่ได้กลับออกมาอีกเลย”
ฉินเทียนรีบเอ่ยถามอย่างรีบร้อน“จะเอ่ยได้ก็ว่า ท่านและคนอีกไม่กี่คนนั้น ผ่านการทดสอบ แล้วก็ออกมาแล้ว?”
เถ้าแก่ใหญ่พยักหน้า
“หลังจากที่พวกเราออกมา ก็ได้ถูกแย่งแยกออกไปในทันที จนกระทั่งถึงตอนนี้ ข้านั้นก็ไม่เคยพบเจอคนอื่นอีกเลย”
“ในตอนนั้น ที่ข้านั้นได้ตื่นขึ้นมา รู้สึกได้ถึงองค์การที่ชั่วร้ายนี้ ก่อนที่จะหลบหนีออกมาได้”
“เพราะว่า ข้านั้นไม่ยอม อยากที่จะรู้ต้นตอรังของพวกเขา”
“เลยพยายามฝ่าฟันเข้าไป ข้านั้นได้รับการยอมรับจากพวกเขา หากทรยศแม้แต่ครั้งเดียว ก็คือตาย”
“ข้านั้นใช้แรงทั้งหมดที่มีของข้านั้น พยายามหลบหนีออกมา ……”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ สายตาคู่นั้นของเขานั้น ก็ได้เผยถึงอาการสั่น ราวกับว่าได้คิดถึงเหตุการณ์ที่สะเทือนใจในปีนั้น
ฉินเทียนนั้นเสียใจ ก่อนจะถามต่ออย่างไม่เต็มใจ“ ดังนั้นเลยจะเอ่ยว่า ท่านอาจารย์ ท่านนั้นไม่ได้เจอรังต้นตอของพวกเขางั้นหรอ?”
“ท่านยังรู้อะไรอีก?”
“รวมถึงในตอนหลังที่ท่านนั้นได้ก่อสร้างวิหารพญายมขึ้นมา เคยโดนตรวจสอบมาก่อนหรือเปล่ากัน?”
เถ้าแก่ใหญ่พยักหน้า
“ในตอนหลังข้านั้นมีพลังอำนาจ แน่นอนว่าโดนตรวจสอบ แต่ว่า องค์กรนี้หายไปในอากาศเอง”
“ไม่ว่าข้าจะตรวจสอบเช่นไร ก็ไม่สามารถแกะร่องรอยได้เลย”
ฉินเทียนกัดฟัน
พลังอำนาจความแข็งแกร่งของวิหารพญายมนั้น เขานั้นสามารถที่จะคิดออกมาได้ แต่พลังอำนาจเช่นนี้ ก็ไม่สามารถที่จะตรวจสอบหาร่องรอย?
เป็นไปได้หรอ?
เขานั้นมองไปที่สีหน้าของเถ้าแก่ใหญ่ แล้วรู้สึกว่า เถ้าแก่นั้นที่บอกมานั้นมันก็แค่ส่วนหัวภูเขาน้ำแข็งที่โผล่ออกมาจากน้ำเท่านั้นแหละ
แน่นอนว่าต้องมีข่าวที่ผิดบังตัวตนอยู่
เถ้าแก่นั้นยิ้มหัวเราะ ก่อนที่จะเอ่ยออกมา
“คิดไม่ถึงเลยนะ หลายปีผ่านมานี้ วิหารเทพสังหารนั้นกลับได้ออกโรงอีกครั้ง”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าเด็กน้อย ข้าจะให้คำแนะนำกับเจ้าสองอย่าง”
ฉินเทียนรีบเดินเข้าไป “ข้าฟังอยู่ครับ”
“อย่างแรก จำคำของข้าไว้ อย่าไปตรวจสอบถามพวกเขาก่อน หากหลบได้ให้หลบ”
“ที่สอง หากไม่ระวังจนไปพบเข้า หากฆ่าได้ ก็ฆ่าทิ้ง”
ความหมายของเถ้าแก่นั้นชัดเจนมาก หากหลบได้ให้หลบ หากหลบไม่ได้ ฆ่าได้ก็ให้ฆ่า
มองดูแล้วเหมือนเป็นคำเสนอแนะที่ขัดแย้งสองข้อนี้ แสดงให้เห็นถึงความหึงหวง เจ็บปวด เกลียดชังของเถ้าแก่ที่มีต่อวิหารเทพสังหาร
ฉินเทียนนั้นกลืนน้ำลาย ก่อนที่จะพยักหน้า“ข้าจะจำเอาไว้ครับ”
เถ้าแก่ใหญ่ยิ้มหัวเราะ“ โอเคแล้ว พวกเราทั้งสองคนนั้นก็ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว อย่ามาเอ่ยถึงแต่เรื่องหนักหน่วงอะไรพวกนี้เลย”
“พูดถึงเรื่องที่ดีใจหน่อย ใช่แล้ว เจ้ากำลังเพิ่งจะถามแค่สองคำถาม แล้วอีกคำถามหนึ่งล่ะ?”
ฉินเทียนนั้นอยากที่จะถามถึงเรื่องวิหารเทพสังหารแต่เมื่อมองเห็นดังนี้ เถ้าแก่ใหญ่นั้นถึงได้จบประโยคนี้เพียงคนเดียวไป
เขานั้นยิ้มอย่างขมขื่น “อีกคำถามหนึ่งก็ ไม่สามารถที่จะมีความสุขได้นะ”
“เถ้าแก่ ข้าจำได้ว่าท่านเคยให้ข้าอ่านหนังสือวิชาดาบเล่มหนึ่ง ตอนนี้ยังอยู่ไหม?”
เถ้าแก่ทำปากโอดโอย“ของชิ้นนั้นตอนแรกเจ้านั้นอ่านแล้วไม่ชอบไม่ใช่หรอ?เจ้ามีตำราราชาเทพแล้ว จะเอาของสิ่งนั้นไปทำอะไรกัน?”
“ไม่ใช่ข้าที่ต้องการ”
“อาจารย์ ข้านั้นมาเอาแทนเพื่อนของข้าต่างหาก”
เถ้าแก่ใหญ่เอ่ยถามตรงๆ “ของของข้า ไม่อนุญาตให้ส่งต่อคนภายนอก!”
ฉินเทียนจึงได้เอ่ยเล่าถึงเรื่องของจุยเฟิง
เถ้าแก่ใหญ่ถอดหายใจก่อนเอ่ย“ไม่คิดเลยว่า ในโลกตอนนี้ ยังมีคนดีเช่นนี้ ”
เขายื่นมือ ก่อนที่จะเอามือไปจับกับกองฟางหญ้า แล้วที่จะเอากระดาษแผ่นพับเล่มหนึ่งออกมาโยนให้กับฉินเทียน
“เอาไปให้เจ้านั่นไป”
“หนังสือวิชาดาบเล่มนี้ ข้านั้นได้มาโดยบางเอิญ อยากที่จะหาคนที่มีคู่ความลิขิตคู่กัน”
“ดูแล้วเหมือนจะหาเจอแล้ว”
“ขอบคุณมากท่านอาจารย์!” ฉินเทียนนั้นดีใจมาก จุยเฟิงแขนหักเพราะตนเอง ภายในใจของเขานั้นเสียใจมาโดยตลอด
มีหนังสือวิชาดาบเล่มนี้แล้ว ไม่แน่นะว่าจุยเฟิงนั้นก็จะสามารถเป็นเหมือนจอมดาบแขนเดียวก็ได้
หากเป็นเช่นนั้น เขานั้นน่าจะรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
ในความเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่ที่จุยเฟิงแขนหัก เขานั้นมีความคิดอยากที่จะช่วยจุยเฟิง เลยมาหาเถ้าแก่เพื่อที่จะขอเอาหนังสือวิชาดาบเล่มนี้