เนื่องจากว่าความใจร้อนของคณะกรรมการ “ผลงาน” ของเฟิ่งชิงเฉินนั้น จึงได้ถูกวนส่งให้คณะกรรมการดูต่อ ๆ กันในทันที เมื่อเหล่าคณะกรรมการทั้งเจ็ดได้เห็นเช่นนั้น พวกเขาก็ได้แต่ตกตะลึงขึ้นมาพร้อม ๆ กันว่า เมล็ดข้าวก็สามารถเขียนอักษรลงไปได้ มิทันได้มีโอกาสได้มองตัวอักษรของเฟิ่งชิงเฉินอย่างละเอียดเสียที
นอกจากเสด็จอาเก้าแล้ว คณะกรรมการคนอื่น ๆ ก็เตรียมที่จะดูอีกรอบเช่นกัน ทว่า
เสด็จอาเก้ากลับถือ”ผลงาน” ของเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ทุกคนจึงได้แต่มองตากัน พร้อมกับยอมแพ้ที่เข้าไปสู้รบกับเสด็จอาเก้าในทันที
ตัวอักษรที่เฟิ่งชิงเฉินเขียนนั้น หาได้มีสิ่งที่พิเศษตรงใดไม่ เป็นเพียงตัวอักษรข่ายที่ตัวบรรจงเท่านั้ัน เสมือนกับเป็นการแกะสลักก็ไม่ปาน ทว่า มันกลับถูกเขียนลงบนเมล็ดข้าวเช่นนี้ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะเพิ่มคะแนนให้กับเฟิ่งชิงเฉินอย่างไม่รู้ตัว
จิตวิญญาณเก้าแคว้น ใครใคร่สนใจ
ความสงบก้าวไกล ก่อเกิดปัญญา
ล้วนแต่เป็นแปดอักษร อีกอันหนึ่งคือตัวอักษรเหยียน อีกอันคือตัวอักษรข่าย นับว่าเป็นการตัดสินที่ยากยิ่งนัก คณะกรรมการทั้งหกต่างพากันรวมตัวเพื่อปรึกษาหารือ คุณชายหยวนซีพลันกล่าวออกมาว่า ตัวอักษรของเฟิ่งชิงเฉินนั้นยอดเยี่ยม เฟิ่งชิงเฉินควรได้ชัยไป
ผู้อาวุโสเหยียนพลันกล่าวว่า ตัวอักษรของซูหว่านมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง เฟิ่งชิงเฉินก็มีเอกลักษณ์ของนางเช่นเดียวกัน ไม่อาจตัดสินได้ง่าย
บัณฑิตทั้งสามของสำนักจี้เซี่ยพลันออกตัวว่า ตัวอักษรของซูหว่านนับว่าเป็นการเขียนอักษรอย่างแท้จริง แต่ทว่า ตัวอักษรของเฟิ่งชิงเฉินนั้นกล่าวได้ยาก หากตัวอักษรข่ายพวกนั้น ได้มาเขียนลงบนผืนกระดาษแล้วละก็ ย่อมมิได้มีความพิเศษมากนัก ทว่า เมื่อมาเขียนลงบนเมล็ดข้าว กลับให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน
ซีหลิงเทียนเหล่ยพลันกล่าวออกมาว่า แต่นี่คือการประลองการเขียนอักษร ย่อมต้องตัดสินกันที่ความงดงามและเอกลักษณ์ของตัวอักษร ในเมื่อทั้งสองคนเขียนแปดอักษรเช่นนี้ พวกเราก็เริ่มตัดสินจากแปดตัวอักษรแทนเป็นอย่างไร
“ความคิดขององค์รัชทายาทเหล่ยไม่เลวเลย”บัณฑิตทั้งสามของสำนักจี้เซี่ยต่างพากันร่วมสมทบไปในทันที อีกทั้ง นั่นยังแสดงออกถึง ว่าพวกเขาเข้าข้างซูหว่าน
ผู้อาวุโสเหยียนและคุณชายหยวนซีหาได้เอ่ยอันใดออกมาไม่ พวกเขาเป็นบัณฑิต พวกเขาต้องมีการวางท่าทางและอำนาจเสียหน่อย ถึงแม้ว่าตนเองจะเอียงเอนไปทางฝั่งใด ก็ไม่อาจแสดงออกมาได้อย่างโจ่งแจ้ง ซีหลิงเทียนเหล่ยเข้าใจในจุดนี้ เขาถึงได้จงใจเอ่ยออกมากระทบทั้งผู้อาวุโสเหยียนและคุณชายหยวนซี
เรื่องการแพ้ชนะของซูหว่านเขาหาได้สนใจไม่ เขาสนใจแต่เพียงเย่เย่ ในเมื่อเย่เย่คาดหวังให้ซูหว่านชนะ เขาย่อมต้องเอาหน้ากับเย่เย่เสียหน่อย เพื่อให้เย่เย่รู้สึกเป็นหนี้ต่อเขาเยอะ ๆ เมื่อถึงเวลานั้น แม้ว่าเย่เย่จะไม่เต็มใจ เขาก็จะยืนอยู่ข้างซีหลิงเทียนเหล่ยอย่างแน่นอน
ซีหลิงเทียนเหล่ยพลันมองผ่านเสด็จอาเก้าไปในทันที พร้อมกับหันไปพูดคุยกับบัณฑิตทั้งสามของสำนักจี้เซี่ย ถึงเรื่องการแพ้ชนะของซูหว่านกับเฟิ่งชิงเฉิน
“เสด็จอาเก้าพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อพระองค์ไม่มีข้อคิดเห็นในเรื่องนี้ กระหม่อมก็จะขอประกาศผลการประลองนะพ่ะย่ะค่ะ” ซีหลิงเทียนเหล่ยทำทีเป็นขอความคิดเห็นของเสด็จอาเก้าด้วยความสุภาพ สี่ในเจ็ดของคณะกรรมการ ต่างก็พากันนับว่าซูหว่านชนะในการประลองครั้งนี้ไปแล้ว ถึงอย่างไรเสด็จอาเก้าย่อมไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์อันใดได้
“ผลการประลอง? ผู้ใดพูดว่าผลการประลองออกมาแล้วกัน พวกเจ้าไม่เห็นหรือว่า นอกจากเมล็ดข้าวที่เฟิ่งชิงเฉินเขียนลงไปว่า “จิตวิญญาณเก้าแคว้น ใครใคร่สนใจ”แปดตัวอักษรนั้น ตรงปลายข้าวยังมีตัวอักษรอยู่ด้วย?” เสด็จอาเก้าค่อย ๆ ดันถาดรองไปทางด้านหน้าของผู้อาวุโสเหยียน
“ชิงเฉินรออยู่! ที่แท้เฟิ่งชิงเฉินก็ได้เขียนตัวอักษรลงไปที่ปลายข้าวด้วย นับว่าเป็นความตั้งใจที่ดี ” ผู้อาวุโสเหยียนอยากจะพูดออกมาเหลือเกินว่า สายตาของเสด็จอาเก้าช่างก้าวไกลเพียงใดกัน แม้ว่าตัวอักษรพวกนั้่นจะมิได้สะท้อนลงบนถาดแก้ว แต่พระองค์กลับมองเห็น เพียงแค่เมล็ดข้าวเม็ดเดียวเท่านั้น กลับแสดงให้เห็นถึงความน่าอัศจรรย์เสียมากมาย ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริง ๆ
“ที่แท้มีตัวอักษรอยู่ที่ปลายข้าวจริง ๆ ” คุณชายหยวนพลันขยับเม็ดข้าวไปมาเล็กน้อย พร้อมกับใช้ผลึกแก้วส่องลงไป เพื่อขยายตัวอักษร
หืม เฟิ่งชิงเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง นางมีเขียนลงไปที่ปลายเมล็ดด้วยหรือ?
เมื่อครุ่นคิดไปมา นางก็ได้แต่พยักหน้าลง เหมือนว่าจะใช่ ยามที่นางกำลังฝึกเขียนนั้น นางได้ลองฝึกเขียนตัวอักษรที่ปลายข้าวดู มิคิดว่าตนเองจะเลือกโดนเม็ดนั้นเช่นกัน แต่สิ่งที่สำคัญก็คือสี่คำนั้น นับว่าแปลกประหลาดเสียจริง
นางจำได้ว่าเขียนลงไปเมล็ดข้าวว่า “ตั้งใจรอคอย ชิงเฉินสมหวัง” มิคิดว่าสุดท้ายแล้ว มันจะกลายมาเป็น “ชิงเฉินรอคอย”เสียได้ เอาเถอะ ถึงนางจะอธิบายไปอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์
เฟิ่งชิงเฉินได้แต่นั่งเงียบ ๆ มิได้พูดสิ่งใดออกมา พลันหันไปสบตากับแววตาที่ขบคิดของเสด็จอาเก้าพอดี เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่หลับตาลงพร้อมกับเบือนหน้าหนี
เสด็จอาเก้าคิดมากเกินไปแล้ว สิบสองคำนี้ หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับเขาไม่ “จิตวิญญาณเก้าแคว้น ใครใคร่สนใจ” เป็นเพียงความรู้สึกส่วนตัวของนางเท่านั้น
แต่เดิม นางอยากจะเขียนลงไปว่า “สหายรู้ใจอยู่ไกลไม่ห่างเหิน ไกลสุดหล้าอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน” ทว่า นางรู้สึกว่ามันดูจะสูงส่งเกินไป เรื่องของฉินไร้สายยังมิทันจางหาย นางมิอยากถูกตราหน้าว่าเป็น “สตรีอัจฉริยะ”อีก
เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินมิได้ออกเสียงออกมานั้น เสด็จอาเก้าพลันรู้สึกเจ็บปวดหัวใจของตนเองยิ่งนัก แต่เดิมใบหน้าของเขาก็หาได้มีเลือดฝาดไม่ เสด็จอาเก้ารู้ดีว่าสถานะของเขาในยามนี้มิใครดีนัก จึงมิอยากจะยุ่งเกี่ยวกับซีหลิงเทียนเหล่ยมาก จึงได้แต่แอบถอนหายใจออกมา อีกทั้งยังไม่ปล่อยให้ซีหลิงเทียนเหล่ยได้มีโอกาสพูดคุย เสด็จอาเก้าก็พลันเปิดปากพูดขึ้นมาว่า
“ตัวอักษรของเฟิ่งชิงเฉินก็งดงามเช่นกัน ในเมื่อพวกเรากำลังจะตัดสินคนแพ้ชนะ เพื่อแสดงถึงความยุติธรรมในการตัดสินใจ เช่นนั้นพวกเราก็ร่วมกันเขียนวงกลมชื่อของคนที่คิดว่าจะชนะ
จากนั้น ขันทีจะแจกกระดาษและถ่านไม้ให้พวกท่าน บนกระดาษจะมีนามของทั้งสองคนอยู่ด้านใน หากทุกคนคิดว่าผู้ใดควรที่จะชนะนั้น ก็ให้เขียนวงกลมลงไป จากนั้นก็พับกระดาษเพื่อหย่อนลงไปในกระบอกไม้ไผ่ เมื่อถึงเวลานั้น ก็จะให้เฟิ่งชิงเฉินและซูหว่านเป็นคนมาเปิดกระดาษด้วยตนเอง ชื่อของผู้ใดถูกวงกลมเอาไว้มากที่สุด ผู้นั้นก็ได้ชัยไป ” เสด็จอาเก้าที่เงียบมาตลอดทางนั้น เพียงพูดออกมาประโยคเดียวก็มีอำนาจที่ยากจะต้านทานเอาได้
เพียงแค่เสด็จอาเก้าพูดจบ ขันทีทั้งหลายก็พากันนำชื่อที่มีเขียนว่าเฟิ่งชิงเฉินและซูหว่านออกมา เพื่อส่งให้คณะกรรมการทั้งเจ็ดตัดสินใจ แม้แต่เสด็จอาเก้าก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เสด็จอาเก้าเตรียมการเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว!
“เสด็จอาเก้า ทำเช่นนี้ไม่ดีกระมัง?” ซีหลิงเทียนเหล่ยพลันขมวดคิ้วเป็นปม เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มีปัญหาเข้าแล้ว
เสด็จอาเก้าเพียงชำเลืองมองไปยังซีหลิงเทียนเหล่ย “มีสิ่งใดที่ไม่ดีกัน องค์รัชทายาทเหล่ยไม่คิดว่าวิธีของเปิ่นหวางยุติธรรมงั้นหรือ?”
มันยุติธรรม ทว่า ซีหลิงเทียนเหล่ยพลันขมวดคิ้วลง ในยามที่ซูหว่านกำลังจะได้ชัยเช่นนี้ การกระทำของเสด็จอาเก้าหมายความว่าอันใดกัน การรนหาที่ตายเช่นนี้? หาใช่วิธีการของเสด็จอาเก้าไม่
“วิธีการของเสด็จอาเก้านับว่ายุติธรรม ข้าตกลง” ทั้งผู้อาวุโสเหยียนและคุณชายหยวนซีต่างพากันพูดออกมา
ปรมาจารย์ด้านอักษรของบัณฑิตสำนักจี้เซี่ยทั้งสามนั้น ก็พยักหน้ายินยอมเช่นกัน น่าขันยิ่งนัก พวกเขาเพียงแค่พยักน่าชื่นชมผลงานของเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้น ก็พลันสัมผัสได้ถึงไอสังหาร จ้องมองมา พวกเขาจึงเปลี่ยนน้ำเสียงไปในทันที
ในเมื่อตรงมิได้นอนไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ต้องใช้วิธีการของเสด็จอาเก้าแล้ว ท้ายที่สุดแล้ว ผลลัพธ์จะออกมาเช่นไร หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขาไม่
“เสด็จอาเก้าเพคะ การตัดสินการประลองด้านอักษร หาได้ตัดสินเช่นนี้ไม่” ซูหว่านมิรู้ว่า ทั้งเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินคิดจะทำเช่นไรอยู่ แต่นางรู้ว่า ไม่อาจให้ความคิดของเสด็จอาเก้าถูกให้การยอมรับไปได้
“การประลองด้านอักษร ก็ไม่มีผู้ใดนำพู่กันหลงหาวมาเขียนอักษรเช่นกัน อีกทั้งยังไม่มีผู้ใดเขียนอักษรลงบนเมล็ดข้าวอีกด้วย ในเมื่อการประลองที่ต่างกันเช่นนี้ การตัดสินย่อมต้องแตกต่างกัน ทองแท้ย่อมมิกลัวไฟ ซูหว่านซิ่วมิมั่นใจในตัวอักษรของตนเองงั้นหรือ?”
คำพูดของเสด็จอาเก้าที่เอ่ยออกไปในแต่ละคำนั้น ราวกับน้ำมันที่ค่อย ๆ ราดลงไปบนกองเพลิง น้ำเสียงที่เจือไปในคำพูดนั้น แน่นอนว่าย่อมต้องมีความดูถูกดูแคลนปะปนไปด้วย แต่ทว่า น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปนั้น กลับดูเป็นธรรมชาติเสียจนไม่อาจโมโหพระองค์ได้
ซูหว่านโมโหยิ่งนัก อีกครู่หนึ่ง นางเกือบจะหักพู่กันหลงหาวในมือทิ้งเสีย นางเกลียดทั้งเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉิน พูดเพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถทำให้นางถึงทางตันได้
ในเมื่อสถานการณ์เช่นนี้ นางจะไปพูดสิ่งใดได้กัน?
ข้อเสนอของเสด็จอาเก้านับว่ายุติธรรมยิ่งนัก นางจะต้องมีความมั่นใจในตัวอักษรของตนเอง สายตาของซูหว่านพลันกวาดตามองไปยังผู้ตัดสินทั้งเจ็ดคน สุดท้ายแล้วสายตาก็มาตกอยู่ที่บัณฑิตของสำนักจี้เซี่ยทั้งสาม เมื่อเห็นสีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความพอใจแล้วนั้น ความกังวลภายในใจของซูหว่านก็ค่อย ๆ ลดลงไป
“ในเมื่อเสด็จอาเก้าคิดว่ามันยุติธรรม ก็เอาตามนี้เถิดเพคะ” ซูหว่านพลันถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง เพื่อรักษาระยะห่างต่อคณะกรรมการทั้งเจ็ด
เฟิ่งชิงเฉินที่เกียจคร้านในยามนี้ นางได้แต่ยืนหันหลังให้คณะกรรมทั้งหมดแทน
ในยามนี้ นางไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีกแล้ว ถึงอย่างไร การประลองในครานี้ นางย่อมต้องได้ชัยกลับไปอย่างแน่นอน!